บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 457 พ่อลูก
เฉินตันจูย่อมมีมโนธรรม แต่มีใจอื่นหรือไม่ก็ไม่แน่ใจนัก
ฉู่อวี๋หยงถอนหายใจ
“ความจริงสามารถเข้าใจได้” หวังเจียนพูดด้วยท่าทางจริงจัง เขาเอ่ยเตือนฉู่อวี๋หยง “คุณหนูตันจูปฏิบัติต่อจางเหยาไม่ธรรมดา ท่านทรงอย่าลืม จางเหยาถูกคุณหนูตันจูลักพาตัวกลับมาจากท้องถนน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่นางดูหมิ่นกั๋วจื่อเจี้ยนเพื่อจางเหยาในภายหลัง”
พูดจบ เขาก็อดหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้
ไม่เพียงเท่านั้น ฉู่อวี๋หยงคิดภายในใจ ก่อนพบจางเหยาบนท้องถนน เฉินตันจูก็รอเขามาเป็นเวลานานมากแล้ว นางเปิดร้านยาในเวลานั้นก็เพื่อจางเหยา
“อีกอย่าง ไม่เพียงแค่จางเหยา” หวังเจียนรู้สึกว่าวันนี้สดชื่นกว่าปกติ “องค์ชายทรงเรียกพี่ชายของโจวเสวียนมาช่วยก่อน”
ฉู่อวี๋หยงเหลือบมองเขา พอจะเดาได้ว่าเขาต้องการพูดสิ่งใด
“นายน้อยใหญ่โจวพบกับโจวเสวียนในคุกแล้ว อีกทั้งยังโน้มน้าวโจวเสวียนให้กลับซีจิงกับเขาได้แล้ว” หวังเจียนพูดด้วยรอยยิ้ม พลันเลิกคิ้ว “เขาได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้ว อีกทั้งฝ่าบาทยังทรงอนุญาต เหลือเพียงแค่องค์ชายแล้ว…องค์ชายจะทรงให้เขากลับซีจิงไปหรือไม่”
ทางซีจิงมีคุณหนูตันจูอยู่เชียวนะ
ความสัมพันธ์ระหว่างโจวเสวียนกับคุณหนูตันจูก็ไม่ธรรมดา
นางรู้ความลับที่แม้แต่พวกเขายังไม่รู้อย่างเรื่องที่โจวเสวียนเห็นเหตุการณ์โจวชิงถูกลอบสังหารกับตาตนเอง
โจวเสวียนกลับบอกเฉินตันจู มันต้องเป็นความสัมพันธ์อย่างไรกัน
เวลานั้นโจวเสวียนปฏิเสธการอภิเษกกับองค์หญิงจินเหยาอย่างดุเดือด เวลานี้ดูแล้วความไม่อยากถูกยึดอำนาจทางการทหารเป็นเพียงเรื่องรอง เรื่องหลักคือความรักที่มีต่อเฉินตันจู
ฉู่อวี๋หยงโบกมือ “อย่าคิดมาก คุณหนูตันจูไม่รู้สึกต่อโจวเสวียน”
หวังเจียนส่ายหน้า “ไม่แน่ คุณหนูตันจูเป็นคนที่มีเมตตา คำนึงถึงผู้อื่นมากกว่า เวลานี้โจวเสวียนน่าสงสารเพียงใด ปมในใจก่อนหน้านี้ก็ปล่อยวางลงแล้ว ได้ยินว่าเขาคิดจะร่ำเรียนไปพลางเฝ้าสุสานของโจวชิงไปพลาง”
ฉู่อวี๋หยงโกรธหวังเจียนจนหัวเราะออกมา “หวังไต้ฟู ท่าน…”
“เอ๊ะ อย่าทรงรีบร้อน อย่าทรงหาเรื่องไล่ข้าไป ข้ายังพูดไม่จบ” หวังเจียนกระโดดลงจากบนเก้าอี้ เขาถกแขนเสื้อเป็นเชิงว่าในที่สุดวันที่ข้ารอคอยก็มาถึง “องค์ชายสาม ไม่ใช่ ฉู่ซิวหยงร้องออกเดินทางศึกษาร่ำเรียนต่อสำนักเส้าฝู่ องค์ชายทรงรู้แล้วใช่หรือไม่”
ฉู่ซิวหยงถูกปลดเป็นสามัญชน แต่ว่าจวนท่านอ๋องฉีไม่ได้ถูกเรียกคืน เขายังคงพักอยู่กับพระสนมสวี หลังจากที่เขาปฏิเสธงานอภิเษกแล้ว ฉู่ซิวหยงไม่ได้อยู่ห่างไกลจากผู้คนเหมือนที่ทุกคนคาดเดา หากแต่เดินทางไปร้องต่อสำนักเส้าฝู่ว่าจะออกไปศึกษาร่ำเรียน…ถึงแม้ไม่มีบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายแล้ว แต่ฉู่ซิวหยงยังต้องได้รับการดูแลจากสำนักเส้าฝู่
นอกจากนี้ ฉู่ซิวหยงรู้เรื่องบางเรื่องมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย เขาเงียบไปชั่วขณะ พลางถามหวังเจียน “เขายังมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเพียงใด”
พิษที่ค้างอยู่ในร่างกายของฉู่ซิวหยงไม่ได้ถูกขจัด เพียงแต่ประกาศว่าหายดีแล้วภายใต้การช่วยเหลือของหมอหลวงจางเท่านั้น ความจริงแล้วเขาใช้พิษอีกชนิดหนึ่งในการข่มพิษที่ค้างเอาไว้ เวลานี้ร่างกายของเขาเสียหายอย่างมาก
หวังเจียนครุ่นคิด “ไม่กี่ปี”
ช่างเป็นข้อสรุปที่ไร้หนทางและโหดเหี้ยม
“เขารู้ เขารู้ดีกว่าข้า” หวังเจียนพูดเสริม
ฉู่อวี๋หยงส่งเสียงตอบรับในลำคอ “เวลานี้คิดได้แล้ว ออกเดินทางไปอยู่พื้นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ก็ยังไม่สาย”
หวังเจียนกระแอมไอเสียงเบา “สถานที่แรกที่เขาจะไปหลังออกจากเมืองหลวงคือซีจิง”
เมื่อพูดจบ เขาก็สะบัดแขนเสื้อวิ่งหัวเราะออกไปโดยไม่รอฉู่อวี๋หยงพูดตอบ
ฉู่ซิวหยงก็มีความสัมพันธ์อันไม่ธรรมดากับคุณหนูตันจูเช่นเดียวกัน พวกเขาเคยแอบจูงมือกันภายใต้สายตาของโจวเสวียน คุณหนูตันจูก็เคยหวั่นไหว หากต่อมาฉู่ซิวหยงไม่ได้รีบร้อนในการร่วมมือกับท่านอ๋องฉี จำเป็นต้องผลักคุณหนูตันจูออกไปก่อน เวลานี้ จิ๊ๆๆ
ฉู่อวี๋หยงเอ๋ยฉู่อวี๋หยง เจ้าไม่เป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ละทิ้งการออกจากเมืองหลวง ละทิ้งอิสรภาพเพื่อคุณหนูตันจู แต่เวลานี้เจ้ากลับถูกกักขังไว้ในเมืองหลวง มีเพียงคุณหนูตันจูที่ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ
ดูว่าเจ้าจะทำอย่างไรต่อไป!
บนโลกนี้ไม่มีเรื่องใดเป็นอุปสรรคต่อฉู่อวี๋หยงได้
เพียงแต่เมื่อนึกถึงคุณหนูตันจู เขายังอดกุมขมับไม่ได้
ภายในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ ขันทีจิ้นจงที่ยืนอยู่ข้างเตียงเห็นเข้า จึงอดหัวเราะไม่ได้ เขาพูด “องค์รัชทายาททรงเป็นอันใด ผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่วันก็เริ่มกุมขมับเหมือนฝ่าบาทเสียแล้ว…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาก็ผงะไปเล็กน้อยเพราะนึกถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา
“คงไม่ใช่คุณหนูตันจูเกิดอันใดขึ้นใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮะ? ฮ่องเต้ที่แสร้งหลับอยู่บนเตียงแทบจะลืมตาขึ้นมาทันที ฮ่า!
ฉู่อวี๋หยงไม่ปฏิเสธ
ขันทีจิ้นจงหัวเราะออกมา “คุณหนูตันจูก่อเรื่องขึ้นในซีจิงด้วยหรือ”
“ไม่ถือว่าก่อเรื่อง” ฉู่อวี๋หยงพูด “เพียงแค่มีเรื่องบางอย่างที่ข้าจำเป็นต้องเดินทางไป ดังนั้น…”
เขาเหลือบมองฮ่องเต้ที่นอนหลับตาอยู่บนเตียง แต่รอยยิ้มของเขาแทบจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว
“ระยะนี้เรื่องในราชสำนักต้องไหว้วานให้เสด็จพ่อแล้ว”
มุมปากของฮ่องเต้เม้มปากทันที ลมหายใจของเขาผ่อนยาว…
ขันทีจิ้นจงที่ยืนอยู่ข้างเตียงกระจ่าง เขาทำสีหน้าเศร้าโศก “ฝ่าบาททรงบาดเจ็บสาหัส บรรดาหมอหลวงกำชับว่าอย่างน้อยครึ่งปีไม่อาจ…”
“ไม่ต้องลุกขึ้น”
“ฉู่อวี๋หยงพูดขัดเขา “เสด็จพ่อเพียงแค่ทรงนอนพูดและอ่านฎีกาก็พอ”
พูดพลางยื่นมือไปเขย่าหัวไหล่ของฮ่องเต้
“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ พระองค์ทรงตื่นขึ้นมา กระหม่อมมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับบ้านเมืองจะทูลกล่าว”
เรื่องสำคัญเกี่ยวกับบ้านเมืองหมายความว่าอย่างไร ฮ่องเต้เคยมีบทเรียนแล้ว มันหมายความว่าเรื่องของบ้านเมืองสำคัญที่สุด แม้ว่าฮ่องเต้จะประชวรอย่างไรก็ต้องลุกขึ้นมาจัดการเรื่องในราชสำนัก ฉู่อวี๋หยงให้หมอหลวงเหล่านั้นฝังเข็มทองด้ามยาวให้เขา อีกทั้งให้คนกลอกยาที่ขมปี๋…ทำให้เขาไม่กล้าสลบเป็นเวลาสามวัน
น่าโมโหยิ่งนัก ฮ่องเต้ทำได้เพียงลืมตาขึ้นด้วยความโกรธ “เจ้าจะทรมานข้าให้ตายใช่หรือไม่! ตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ให้เจ้าไปแล้ว ตำแหน่งฮ่องเต้ก็ให้เจ้าแล้ว เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก!”
บรรยากาศระหว่างพ่อลูกชะงักไปทันที
ฉู่อวี๋หยงเป็นองค์รัชทายาทย่อมมาจากการเรียกร้องของเขาเอง คำพูดที่กล่าวเอาไว้ในตำหนักบรรทมเวลานั้นว่านอกจากกระหม่อม ผู้อื่นล้วนไม่เหมาะสมยังคงดังก้องอยู่ในหูของขันทีจิ้นจง…ด้วยเหตุนี้ ขันทีและนางในจำนวนมากที่อยู่ในตำหนักบรรทมเวลานั้นล้วนถูกขังเอาไว้หลังจากเกิดเรื่อง
หากเรื่องแบบนี้ถูกแพร่กระจายออกไป ฉู่อวี๋หยงย่อมไม่อาจทิ้งชื่อเสียงที่ดีเอาไว้ในประวัติศาสตร์เมื่อเขาขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้
เวลานั้นฉู่อวี๋หยงก็ไม่ได้เอ่ยด้วยความโกรธ อีกทั้งเขายังทำเช่นนั้นจริง เขาปลุกฮ่องเต้ขึ้นมา ลงโทษคนจำนวนหนึ่งแล้ว จากนั้นตนเองเป็นองค์รัชทายาท
ความจริงแล้วการกระทำนี้หากว่ากันตามประวัติศาสตร์ก็ถือว่าเป็นการบีบเค้นให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์
แต่เมื่อเห็นการเผชิญหน้าระหว่างพ่อลูก ขันทีจิ้นจงไม่ได้เฝ้าอยู่ข้างเตียงเหมือนแต่ก่อน หากแต่ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
“เสด็จพ่ออย่าทรงคิดว่า แต่ก่อนกระหม่อมเคยกล่าวไว้ มีเพียงผู้ที่ไร้ความสามารถจึงจะกลัวผู้อื่นมีชีวิตอยู่” ฉู่อวี๋หยงพูดเสียงเบา
ฮ่องเต้โกรธจนแทบจะลุกขึ้นนั่ง…แต่มันจะลำบากไม่น้อย ถึงแม้เขาจะไม่ได้บาดเจ็บถึงขั้นสลบไป แต่บาดแผลของเขาจะปริออกอย่างแน่นอน
“ได้ๆ ข้ารู้แล้ว เจ้ามีความสามารถที่สุด!” เขานอนลงพลันก่นด่า “เหตุใดเวลานี้จึงต้องให้ข้าที่ไร้ความสามารถจัดการเรื่องในราชสำนัก”
ฉู่อวี๋หยงไม่โต้เถียง เพียงแค่กล่าวขึ้น “ถึงแม้กระหม่อมไม่อยู่ในราชสำนัก แต่ต้าเซี่ยยังคงมีกระหม่อม พวกเขาไม่กล้าทำอันใด เสด็จพ่อทรงสามารถรับมือได้”
ฮ่องเต้โกรธจนหัวเราะออกมา “ข้าต้องขอบใจเจ้า?”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม “เสด็จพ่อไม่ต้องทรงเกรงใจกับกระหม่อม” พูดพลางโน้มตัวห่มผ้าห่มให้ฮ่องเต้ “เวลาดึกแล้ว เสด็จพ่อทรงพักผ่อนเสียเถิด”
ฉู่อวี๋หยงจากไปแล้ว แต่เสียงก่นด่าในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เขาเห็นข้าเป็นผู้ใด”
“ไร้ประโยชน์ก็บอกว่าข้าไม่คู่ควรกับการเป็นฮ่องเต้”
“เมื่อจำเป็นก็ดึงข้าออกมาอีก…”
“ข้าเจ็บหนักเพียงนี้! เขายังเป็นคนอยู่หรือไม่”
ขันทีจิ้นจงถือถ้วยชายืนฟังฮ่องเต้ต่อว่าอย่างตั้งใจอยู่ข้างเตียงเขาทั้งพยักหน้าตอบรับ พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ทั้งทูลถามแทรกขึ้นมา “ฝ่าบาทจะทรงดื่มน้ำชาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ก่นด่าจนเหงื่อตก “ไม่ดื่มน้ำ…ข้าหิวแล้ว”
ขันทีจิ้นจงรีบเรียกขานบรรดาขันทีตัวน้อยให้ไปนำมื้อดึกมา บรรดาขันทีตัวน้อยรีบออกไป ทางตำหนักบรรทมของฮ่องเต้สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ
“ฮ่องเต้ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่ใช่หรือ ดูท่าทางยังกระปรี้กระเปร่ามาก”
“กลางวันพระองค์เสวยไปไม่น้อย กลางคืนยังจะเสวยมื้อดึกอีก”
มีขันทีและนางในจำนวนไม่น้อยถกเถียงกัน
ฉู่อวี๋หยงพูดจริงทำจริง เขาหายตัวไปจากราชสำนักอย่างรวดเร็ว เรื่องราชการให้ไปทูลถามฮ่องเต้ บรรดาขุนนางต่างดีใจอย่างมาก มีคนจำนวนไม่น้อยไม่ได้ถูกฉู่อวี๋หยงโบย แต่พวกเขาก็อดกลั้นความไม่พอใจมานานแล้ว ในที่สุดเวลานี้ก็มีโอกาส
ผู้คนต่างถือฎีกาที่เตรียมเอาไว้มาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในทันที มีทั้งทูลอย่างเปิดเผยและทูลอย่างเป็นนัยว่าการลงโทษของฉู่อวี๋หยงไม่เหมาะสม
“ฝ่าบาททรงไม่สนพระทัยไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” มีคนถึงขั้นหลั่งน้ำตา
ฮ่องเต้ที่นอนอยู่บนเตียงยิ่งโกรธมากกว่าเดิม เพราะคนโง่เขลาอย่างพวกเจ้าไม่อาจรับมือกับฉู่อวี๋หยงได้ ทำให้ข้าก็ต้องลำบากเช่นนี้
อีกทั้งยังต้องตื่นเช้ามาฟังวาจาเหลวไหลของพวกเจ้า…เมื่อคืนเขากินมื้อดึกไปจึงนอนดึกมาก
เวลานั้น ฮ่องเต้จึงชี้หน้าด่าบรรดาขุนนางที่หลั่งน้ำตา “ไม่เหมาะสมอย่างไร ข้าห่างจากราชสำนักเพียงกี่วัน กฎที่ข้ากำหนดไว้ก็กลายเป็นไม่เหมาะสมแล้ว! ในสายตาของพวกเจ้ายังมีข้าอยู่หรือไม่!”
เมื่อถูกต่อว่าอย่างไม่ลืมหูลืมตา บรรดาขุนนางต่างฉงน
เมื่อเผชิญหน้ากับฉู่อวี๋หยง พวกเขายังสามารถวางมาดขุนนางเก่าได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ อีกทั้งยังเป็นฮ่องเต้ที่ทรงได้รับบาดเจ็บหนัก ทุกคนจึงทำได้เพียงคุกเข่าขออภัย
หากทำให้ฮ่องเต้โกรธจนเป็นอันใดขึ้นมา พวกเขาคงต้องทิ้งหน้าในประวัติศาสตร์แล้ว…ชื่อเสียงแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องการ
หลายวันต่อมา การว่าราชการกลายเป็นการทรมาน พูดอยู่ดีๆ ฮ่องเต้ก็ทรงโกรธขึ้นมา ต่อว่าจนทุกคนคิดถึงฉู่อวี๋หยงไม่น้อย
ถึงแม้ฉู่อวี๋หยงจะอารมณ์ร้อน อีกทั้งลงโทษโบยคนเหมือนจักรพรรดิที่ชอบใช้ความรุนแรง แต่เขาไม่เคยต่อว่าผู้อื่น เขาทำเพียงแค่นั่งฟัง เมื่อไม่เห็นด้วยก็เอ่ยว่าไม่เห็นด้วยโดยตรง คราวก่อนโบยคนก็เกิดขึ้นหลังจากถูกอาละวาดมานานหลายวันจึงโกรธ แต่เขาก็พูดเพียงลากออกไปโบย
เมื่อครุ่นคิดขึ้นในเวลานี้ แบบนี้ยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อยก็ไม่ถูกต่อว่า
เฮ้อ ไม่รู้องค์รัชทายาทไปที่ใดแล้ว พระองค์คงจะไปหาหมอและยาให้ฮ่องเต้แล้วใช่หรือไม่ ช่างเป็นองค์ชายที่กตัญญูต่อเสด็จพ่อเสียจริง
เมื่อขันทีจิ้นจงได้ยินคำกล่าวของบรรดาขุนนาง เขาไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงแค่มองพวกเขาด้วยความเห็นใจยิ่งขึ้น
ต่อมา ฮ่องเต้มีแต่จะต่อว่ารุนแรงกว่าเดิม ไม่แน่ว่าอาจจะเลียนแบบฉู่อวี๋หยงโบยคนเสียด้วย
เฮ้อ ปริมาณมื้อดึกก็ต้องเพิ่มให้มากขึ้น เวลานี้ฮ่องเต้สิ้นเปลืองกำลัง ย่อมต้องกินมากขึ้นกว่าเดิม