บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 436 สั่นคลอน
องค์หญิงจินเหยาตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย อันที่จริงนางไม่กล้าเชื่อว่าตนเองกำลังฝันร้าย เพราะหลายวันนี้นางไม่กล้าแม้แต่จะหลับ
มืออ่อนนุ่มคู่หนึ่งลูบไล้หัวไหล่และหน้าผากของนาง ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงเบาพูดขึ้น “ไม่ต้องกลัวเพคะ ตื่นเถิด”
องค์หญิงจินเหยามองหญิงสาวตรงหน้า ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกตา สติของนางเริ่มกลับมา ก่อนจะนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้
“ตัน ตัน คุณหนูใหญ่” นางพูด
เฉินตันเหยียนยิ้มให้นาง “หม่อมฉันเป็นพี่สาวของเฉินตันจู เฉินตันเหยียนเพคะ”
องค์หญิงจินเหยารู้ว่านางเป็นผู้ใด ตอนนั้นที่เฉินตันจูป่วย นางเคยพบหน้าครั้งหนึ่งเมื่อมาเยี่ยมในห้องขัง เพียงแค่นึกชื่อไม่ออกเท่านั้น
“ข้ารู้ว่าพวกท่านอยู่ที่นี่” นางพูดอย่างรีบร้อน พลันมองซ้ายขวา พูดจาสะเปะสะปะ “ท่านลุงเฉิน เพียงแค่ข้าเห็นก็รู้ว่าเป็นเขา…จางเหยาเล่า”
ตอนนั้นนางจำเฉินเลี่ยหู่ได้ แต่เมื่อเห็นจางเหยาสลบไป นางที่ไม่เคยตระหนกมาตลอดทางก็ตระหนกขึ้นมา จากนั้นก็จำเรื่องราวไม่ได้แล้ว
จางเหยาตายแล้วหรือไม่
เฉินตันเหยียนลูบหัวไหล่ของนางอีกครั้ง “อย่ากังวล นายน้อยจางไม่เป็นอันใด หยวนไต้ฟูมาดูให้เขาแล้วเพคะ”
หยวนไต้ฟูหรือ จินเหยาโล่งใจ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “คนซีเหลียงนำกองกำลังมา ทางเมืองเฟิ่ง...”
เฉินตันเหยียนพูดด้วยเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง “องค์หญิง พวกหม่อมฉันรู้แล้ว มีทหารหลายคนมาแจ้งข่าวก่อนที่พวกท่านจะกลับมาแล้ว”
องค์หญิงจินเหยาโล่งใจ เอนกายพิงอยู่บนเตียงด้วยตัวที่อ่อนระทวย ใช่ นางกับจางเหยาถูกกับดัก เวลากลางคืน แต่ในชุมชนกลับไม่มีแสงไฟ เงียบสงัดราวกับไร้ผู้คน เห็นได้ชัดว่ากำลังระวังตัว
มีองครักษ์หนีรอดออกมาอย่างราบรื่นจริงด้วย
“ดีเสียจริง” นางพึมพำ จนกระทั่งเวลานี้ถึงได้หลั่งน้ำตาออกมา
ม่านประตูดังขึ้น หยวนไต้ฟูเดินเข้ามา “องค์หญิงทรงฟื้นแล้ว”
องค์หญิงจินเหยารีบนั่งตัวตรงพลันเช็ดน้ำตา “รู้ข่าวหมดแล้วใช่หรือไม่”
หยวนไต้ฟูพยักหน้า “มีคนกลับมาทั้งหมดสามคน คนหนึ่งเหลือเพียงลมหายใจเดียว เขาตายไปหลังจากพูดจบ อีกสองคน คนหนึ่งได้รับบาดเจ็บที่แขน อีกคนได้รับบาดเจ็บที่ขา แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต”
องค์หญิงจินเหยาพึมพำว่าขอบคุณสวรรค์ ก่อนจะถาม “ต้องการให้ข้าทำอย่างไร”
หยวนไต้ฟูพูด “องค์หญิงต้องทรงกลับไปนั่งบัญชาการที่ซีจิง ถึงแม้เริ่มเตรียมรับข้าศึกแล้ว แต่แม่ทัพทางนี้ไม่อาจถูกพวกเราควบคุม”
ทางนี้ พวกเรา เรื่องที่พูดราวกับซับซ้อนอย่างมาก เฉินตันเหยียนนั่งอยู่ด้านข้างด้วยความเงียบ เหมือนจะฟังเข้าใจแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ
องค์หญิงจินเหยาฟังเข้าใจ พวกเราย่อมหมายถึงฉู่อวี๋หยง ฉู่อวี๋หยงไม่ใช่แม่ทัพหน้ากากเหล็กอีกต่อไป อีกทั้งยังกำลังถูกตามล่า…
“เสด็จพ่อไม่ได้ล้างโทษให้เสด็จพี่หกหรือ” นางถามถึงเรื่องสำคัญ
หยวนไต้ฟูส่ายหน้า
ดังนั้นเสด็จพี่หกยังคงแบกรับโทษลอบทำร้ายฮ่องเต้และกำลังถูกตามล่าอย่างนั้นหรือ องค์หญิงจินเหยากำมือแน่น ตอนนั้นขุนนางวัดต้าหงหลูบอกนาง เมื่อฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมาก็ปลดองค์รัชทายาท พร้อมทั้งให้คนมายับยั้งงานอภิเษกของนางกับองค์รัชทายาทซีเหลียง เหตุใดเวลาผ่านไปนานเช่นนี้ พระองค์ยังไม่ได้ทรงเอ่ยถึงเสด็จพี่หก…
แต่ว่าสายตาขององค์หญิงจินเหยามืดมน อันที่จริงนางก็พอเดาได้ เสด็จพ่อทรงต้องการ…
หยวนไต้ฟูเห็นอารมณ์ของหญิงสาวจึงพูดเสียงเบา “องค์หญิง เรื่องนี้ไม่สำคัญ”
เรื่องนี้ไม่สำคัญ ฉู่อวี๋หยงก็เคยพูด องค์หญิงจินเหยาถอนหายใจ พลันเงยหน้าขึ้น “ใช่ เวลานี้เรื่องสำคัญคือการโจมตีซีเหลียงให้พ่ายแพ้”
นางลงมาจากเตียง กล่าวขอบคุณต่อเฉินตันเหยียน จากนั้นไปดูจางเหยาที่นอนหลับอยู่ห้องด้านข้าง จางเหยาอ่อนแออย่างมาก องค์หญิงจินเหยาเพิ่งเห็นว่าร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ว่าโชคดีที่ตัวไม่ร้อนอีกแล้ว
“องค์หญิงทรงวางพระทัย เขาพักรักษาไม่กี่วันก็หายดีแล้ว” หยวนไต้ฟูพูด
องค์หญิงจินเหยามองเฉินตันเหยียน “วานให้คุณหนูใหญ่ดูแลเขาด้วย”
เฉินตันเหยียนพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงทรงวางพระทัย หม่อมฉันจะดูแลเขาให้ดี”
องค์หญิงจินเหยามองจางเหยาอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามหยวนไต้ฟูออกไป เดิมทีนางอยากพบเฉินเลี่ยหู่ แต่มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบร่างของเฉินเลี่ยหู่ ทำได้เพียงจากไปก่อน
เมื่อเห็นคนหายลับไปจากชุมชน เฉินเลี่ยหู่ถือเสียมเหล็กเดินออกมาจากเรือนด้านหลัง ด้านนอกประตูมีบรรดาเด็กเล็กล้อมรอบเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“ตาเฒ่าเฉิน กับดักของพวกเราสามารถจับคนได้จริง”
“เวลานี้พวกเราควรทำอย่างไร”
เฉินเลี่ยหู่มองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม พลางใช้เสียมเหล็กชี้ไปด้านหน้า “ป้องกันทุกทิศให้เหมือนกำแพงเหล็ก”
…
ม้าที่วิ่งออกจากเมืองซีจิงไม่หยุดพักแม้แต่น้อย ม้าและทหารถูกเปลี่ยนตลอดทาง ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนดวงอาทิตย์ตก ในที่สุดก็มาถึงอี้จ้านแรกในเขตเมืองหลวง
“รายงานด่วนจากซีจิง” ทหารผู้นี้พูด พลางกลิ้งลงมาจากหลังม้า คนแทบจะสลบไป
ทหารในอี้จ้านเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว เขาพยุงอีกฝ่ายขึ้นมา จากนั้นอีกคนปลดจดหมายด้านหน้าตัวเขาลงมา ทหารคนใหม่ก็จูงม้าเตรียมพร้อมแล้ว เขารับจดหมายมาผูกไว้ตรงด้านหน้าแล้วพลิกตัวขึ้นม้าไป
แต่ทหารส่งสารที่สลบไปถูกหามเข้าห้องไปไม่เห็นว่าทหารคนใหม่นี้ไม่ได้นำจดหมายมุ่งตรงไปยังเมืองหลวง หากแต่วกเข้าป้อมอีกแห่งหนึ่ง
จดหมายถูกเปิดออกมาต่อหน้า
“ตีกันขึ้นมาแล้วหรือ” มีคนถามเสียงเบา
ทหารที่ถือจดหมายพยักหน้าให้เขา พลันมองเนื้อหาในจดหมาย บนใบหน้าไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย หากแต่พูดขึ้น “ข่าวส่งมาเร็วเสียจริง”
คนด้านข้างนั่งลง “องค์รัชทายาทซีเหลียงไม่ไหวเอาเสียเลย ขนาดนี้ยังรั้งไม่อยู่ พวกเขาจับองค์หญิงได้แล้วหรือไม่”
ทหารที่ถือจดหมายส่ายหน้า “ด้านบนไม่ได้บอก แต่ว่าไม่สำคัญแล้ว” พูดพลางเผาจดหมาย จากนั้นโยนทิ้งไป มองมันกลายเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ
ด้านนอกมีเสียงเกือกม้าดังขึ้น คนทั้งหลายภายในห้องรีบลุกขึ้นเดินออกมา
ทหารขบวนหนึ่งมุ่งหน้าเข้าป้อม ผู้นำขบวนถาม “ท่านโหวโจวลาดตระเวน มีสถานการณ์ใดหรือไม่”
คนทั้งหลายตอบรับอย่างเข้มงวด “ไม่มี”
แม่ทัพที่เป็นผู้นำพยักหน้า “เฝ้าระวังและป้องกันอย่างเข้มงวด”
คนทั้งหลายตอบรับ มองแม่ทัพผู้นั้นหันหลังจากไป คนที่เป็นผู้นำปัดมือเบาๆ เช็ดขี้เถ้าเล็กน้อยที่เปรอะเปื้อนบนนิ้ว
“พวกเราไม่ได้ไม่ฟังคำสั่งของท่านโหวโจว” เขาพูดพลางยิ้ม “ท่านโหวโจวบอกแล้ว ไม่ต้องสนใจสิ่งใด”
…
ราวกับได้ยินเสียงการต่อสู้เมื่อยืนอยู่บนกำแพงเมืองของเมืองซีจิง องค์หญิงจินเหยาพยายามมอง ถึงแม้จะมองสิ่งใดไม่เห็น แต่นางยังคงอดสั่นสะท้านไปทั้งตัวไม่ได้
“เมืองเฟิ่งต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนั้นใช่หรือไม่” นางพูดเสียงเบา
องครักษ์นายหนึ่งยืนอยู่ข้างกายนางพูดขึ้น “องค์หญิงโปรดระงับความเศร้า เมืองเฟิ่งได้รับความเสียหายมาก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ถูกบุกรุก ราษฎรกว่าครึ่งรักษาชีวิตเอาไว้ได้”
องค์หญิงจินเหยาสูดลมหายใจ พลางถาม “แนวป้องกันรอบด้านซีจิงเป็นอย่างไร”
องครักษ์พูดเสียงเบา “ตู้จวิ้นเว่ยดูแลเรื่องสงคราม พวกเราไม่อาจทราบได้”
หยวนไต้ฟูส่งองครักษ์ผู้นี้มา แต่เขาเป็นเพียงทหาร เรื่องความคืบหน้าของสงคราม การโยกย้ายกองกำลัง ล้วนไม่ใช่เรื่องที่เขารู้ได้
องค์หญิงจินเหยาหันหลังลงจากกำแพงเมือง “ข้าไปถามแม่ทัพตู้”
เมื่อได้ยินว่าองค์หญิงจินเหยามาเยือน แม่ทัพตู้ไม่ได้ปฏิเสธการเข้าพบ เพียงแต่ตอนองค์หญิงซักถามสถานการณ์สงครามนั้น เขาไม่ยอมพูดแม้แต่น้อย
“องค์หญิงท่านไม่ต้องกังวล ทางซีจิงมีกองกำลังสองหมื่นนาย อีกทั้งรายงานด่วนไปทางราชสำนักแล้ว ทางเมืองหลวงจะส่งกองกำลังสนับสนุนมาอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกองกำลังของซีเหลียง” เขาพูด พลางเกลี้ยกล่อมองค์หญิงจินเหยา “ขอองค์หญิงโปรดเสด็จกลับเมืองหลวงโดยเร็วเถิด”
ถามไปถามมา องค์หญิงจินเหยาไม่ได้รับคำตอบแม้แต่น้อย ทำได้เพียงสะบัดแขนเสื้อเดินออกมาด้วยความโกรธ เมื่อนางเห็นแม่ทัพหลายคนเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ องค์หญิงจินเหยาก็ชะงักฝีเท้าลง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงถกเถียงดังขึ้นจากภายใน แม่ทัพทั้งหลายเดินออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
“อย่างนี้ไม่ได้!”
“เพียงแค่ป้องกันแต่ไม่จู่โจมย่อมต้องตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ”
“แม่ทัพตู้รอสิ่งใดอยู่กันแน่”
“รอตราพยัคฆ์ มิฉะนั้นราชสำนักจะรู้ได้อย่างไรว่าเขามีความชอบในการรักษาชายแดน”
“องค์รัชทายาทเกิดเรื่องแล้ว เขากำลังวิตกกังวล”
คนทั้งหลายจากไปพร้อมเสียงนินทาด้วยความโกรธ องค์หญิงจินเหยายืนขมวดคิ้วอยู่ที่เดิม ก่อนจะหันกลับไปมองที่อยู่ของแม่ทัพตู้ สาวรับใช้สองคนกำลังเดินเข้าไป เปลี่ยนชาและของว่างให้แม่ทัพตู้ที่อยู่ด้านใน…เวลานี้แล้ว แม่ทัพตู้ยังมีอารมณ์ดื่มชาอีกหรือ!
…
ภายใต้ค่ำคืนของซีจิง ในเมืองปราศจากความหายนะจากสงคราม มีเพียงความสงบและตึงเครียด
สำนักตูเว่ยที่สว่างไสวมีเสียงของฝีเท้าดังขึ้นอย่างโกลาหล แสงไฟมืดสลัว มีเสียงปะทะกันรวมทั้งเสียงร้องดังขึ้น มีเงาคนเคลื่อนไหว มีเงาคนล้มลง
แม่ทัพตู้ถูกลากออกมาจากในห้อง เขามองคนที่ยืนอยู่ในห้องโถง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“องค์หญิง?” เขาตะโกน “พระองค์ทรงทำอันใด”
องค์หญิงจินเหยาถอดผ้าคลุมพลันมองเขา “ข้าคิดจะให้แม่ทัพตู้ท่านได้พักผ่อน ข้าจะรับอำนาจทางการทหารไว้เอง”
ก่อกบฏหรือ ไม่ใช่ องค์หญิงจินเหยาเป็นองค์หญิง นางไม่อาจก่อกบฏบ้านของตนเอง แม่ทัพตู้คิดจะอ้าปากตะโกน แต่ก็ตะโกนไม่ออก ทำได้เพียงดิ้นด้วยความโกรธ “องค์หญิง พระองค์อย่าทรงเหลวไหลเลย! เวลาใดกันแล้ว! กระหม่อมไม่มีทางมอบตรากองทัพให้พระองค์หรอก ไม่มีผู้ใดฟังคำบัญชาของพระองค์…”
ในขณะที่เขาพูด บรรดาทหารที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาล้อมห้องโถงเอาไว้ เห็นผู้ที่ยืนอยู่ในห้องโถงคือองค์หญิง ทันใดนั้นก็ลังเล
แม่ทัพตู้ตะโกน “จับพวกเขาเอาไว้!”
แม่ทัพออกคำสั่ง ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นองค์หญิง พวกเขาก็ทำได้เพียงฟังคำสั่ง บรรดาทหารกำลังจะพุ่งเข้ามา
องค์หญิงจินเหยายกมือขึ้น โบกป้ายรูปปลาไปมาใต้แสงไฟ “หยุด!”
เมื่อเห็นป้ายรูปปลานี้ บรรดาทหารราวกับไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด แต่ก็มีทหารครึ่งหนึ่งที่หยุดลง
“จับพวกเขาเอาไว้” องค์หญิงจินเหยาพูดอีกครั้ง
บรรดาทหารที่หยุดลงเปลี่ยนทิศทางอาวุธในมือไปทางบรรดาทหารข้างกายตนเอง กระแสน้ำที่เดิมทีจะหลั่งไหลไปในทิศทางเดียวกลายเป็นสองฝั่งในทันที
นี่?
แม่ทัพตู้ผงะไป เขามองป้ายรูปปลาในมือขององค์หญิงจินเหยา “สิ่งใดกัน มันคือสิ่งใด ผู้ใด…”
เขายังไม่ทันได้พูดจบประโยคก็ถูกหยวนไต้ฟูที่อยู่ข้างกายฟาดฝ่ามือลงไป แม่ทัพตู้สลบอยู่บนพื้น ทันใดนั้นอาวุธกระทบกัน บรรดาทหารที่เหลือก็ถูกจับกุม
เมื่อเห็นแม่ทัพตู้และผู้อื่นต่างถูกจับกุมไป หยวนไต้ฟูชื่นชมองค์หญิงจินเหยา “องค์หญิงทรงเด็ดเดี่ยว”
ในมือขององค์หญิงจินเหยาถือป้ายรูปปลาเอาไว้ พลันพึมพำ “ไม่ปิดบัง ความจริงแล้วเวลานี้ข้ายังตัวสั่นอยู่”
นางไม่เคยคิดว่าจะต้องทำเรื่องเช่นนี้ แต่ไม่เป็นอันใด เมื่อนึกย้อนไป ระยะนี้นางทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมามากมายแล้ว
หยวนไต้ฟูยิ้ม
“แม่ทัพตู้ผู้นี้เชื่อถือไม่ได้เสียจริง” เขาพูด “องค์หญิงทรงแย่งอำนาจทางการทหารมาเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว”
สายตาของเขาจับจ้องไปยังป้ายรูปปลาในมือขององค์หญิงจินเหยา
“ตราพยัคฆ์เป็นของฝ่าบาท ป้ายรูปปลาเป็นสิ่งที่องค์ชายหกใช้ในค่ายทหารหลายปีนี้”
องค์หญิงจินเหยามองป้ายรูปปลาด้วยสีหน้าซับซ้อน นางย่อมรู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร
มันเป็นเรื่องที่ผิดอย่างร้ายแรง เมื่อใช้ป้ายนี้ ความผิดของฉู่อวี๋หยงก็เป็นเรื่องที่แน่นอน ไม่อาจย้อนกลับไปได้อีก
มิน่าเสด็จพี่หกถึงทรงบอกว่าเขาไม่โทษเสด็จพ่อ เขาช่าง…
องค์หญิงจินเหยาสูดลมหายใจเข้า “เวลานี้ข้าต้องการเพียงให้ราษฎรของซีจิงและต้าเซี่ยปลอดภัย เสด็จพี่หกมอบมันให้ข้าก็เพื่อสิ่งนี้”
หยวนไต้ฟูพยักหน้าตอบรับ แต่ก็ลังเล “มีป้ายรูปปลา อีกทั้งแย่งอำนาจทางการทหารมาได้แล้ว แต่ยังมีอีกหนึ่งปัญหาคือแม่ทัพ”
ไม่ใช่มีกองกำลังนับหมื่นก็สามารถทำสงครามได้ จะวางขบวนโยกย้ายกองกำลังอย่างไร จะป้องกันหรือจู่โจมอย่างไรล้วนต้องอาศัยแม่ทัพบัญชาการ
“กระหม่อมเป็นเพียงไต้ฟู” หยวนไต้ฟูพูดด้วยสีหน้าละอาย “กระหม่อมทำสงครามไม่เป็น”
องค์หญิงจินเหยายิ้มขมขื่น “ข้าก็ไม่เป็น” แต่ดวงตาของนางลุกวาว “มีแม่ทัพ! มีแม่ทัพที่เก่งมาก!”
หยวนไต้ฟูก็นึกได้ในเวลาเดียวกัน
เฉินเลี่ยหู่
แต่…
เฉินเลี่ยหู่เป็นคนของท่านอ๋องอู๋องค์ก่อน เขายอมเป็นปรปักษ์กับราชสำนักเพื่อท่านอ๋องอู๋ เพียงแต่เพราะท่านอ๋องอู๋ไม่เป็นท่านอ๋องอู๋ด้วยตนเองแล้ว เฉินเลี่ยหู่ย่อมจำเป็นต้องถอยออกมา
เขาไม่พอใจต่อราชสำนักและฝ่าบาท
องค์หญิงจินเหยาพนมมือ “ข้าเชื่อคุณหนูตันจู”
หยวนไต้ฟูยิ้มขมขื่น “กระหม่อมก็เชื่อคุณหนูตันเหยียน”
แต่เฉินเลี่ยหู่ไม่เอาแม้แต่บุตรสาวเพื่อท่านอ๋องอู๋
เขาจะยอมช่วยเหลือหรือ
นอกจากนี้ เขาเชื่อถือได้หรือ
…
ความมืดปกคลุมแผ่นดินใหญ่อีกครั้ง ทางเมืองหลวงสงบเงียบเพราะไม่ได้ยินเสียงคร่ำครวญในสนามรบ
บริเวณเชิงเขาดอกท้อมีเงาคนปรากฏขึ้น ตามมาด้วยเสียงนกขัน ราวกับมีนกจำนวนมากบินออกมาในยามกลางคืน รวมตัวอยู่บนถนนใหญ่กลายเป็นเสียงเกือกม้า
“ข่าวถูกรั้งเอาไว้” หวังเจียนเร่งม้า ไล่ตามฉู่อวี๋หยงที่อยู่ด้านหน้าสุด “ไม่ได้ถูกส่งเข้ามาในเมืองหลวง”
ฉู่อวี๋หยงถาม “สืบทราบสถานที่กับคนแล้วหรือไม่”
เฟิงหลินพยักหน้าอยู่อีกทาง “สืบทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่อวี๋หยงมองไปยังความมืดด้านหน้าด้วยความเงียบ
เสียงเกือกม้าและเสียงดาบราวกับหยาดฝนที่กระทบลงบนป้อมในยามค่ำคืน เขามองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า บรรดาทหารยามที่ถูกจับกุมได้ง่ายในป้อมต่างมีสีหน้าตกใจ พวกเขาก็สวมชุดทหารของต้าเซี่ย
“พวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน!” ทหารยามผู้นำตะโกน “บังอาจ…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็เห็นเงาดาบสว่างขึ้น ศีรษะของเขาลอยขึ้นมา จากนั้นตกลงบนพื้น
บรรดาทหารยามที่เหลือส่งเสียงตกใจ ก่อนจะเห็นม้าสีดำตัวหนึ่งเดินออกมา คนบนม้ามีผมสีดำหน้าขาวราวกับหยก เขาเพียงแค่สวมชุดคลุมสีดำธรรมดาก็มีบารมีที่น่าเกรงขามอย่างยิ่ง
ทหารยามผู้หนึ่งจ้องมองด้วยความผงะ ก่อนจะนึกถึงภาพที่งดงามมากภาพหนึ่ง ทันใดนั้นก็พูดขึ้น “องค์ องค์ชายหก…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ฉู่อวี๋หยงก็ยกมือชักดาบที่เอวออกมา ศีรษะและเสียงของทหารยามผู้นั้นหายลับไปพร้อมกัน
โหดเหี้ยมเหลือเกิน ไม่พูดแม้แต่คำเดียวก็ลงมือตัดหัวคน บรรดาทหารที่เหลือรู้สึกเพียงขาอ่อนระทวย คนผู้นี้คือองค์ชายหกที่ป่วยจนไม่พบผู้คนจริงหรือ
ความกลัวของพวกเขาอยู่ได้ไม่นาน ฉู่อวี๋หยงโบกมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย คราวนี้ไม่มีดาบลอยมา หากแต่ให้ผู้อื่นจัดการบรรดาทหารยามที่เหลือ
หวังเจียนมองฉู่อวี๋หยงอยู่ด้านข้าง เขาอดไม่ได้ที่จะเหม่อลอย เวลานี้หากเฉินตันจูอยู่ นางย่อมต้องสงสัยว่าชายหนุ่มที่เย็นชาผู้นี้คือฉู่อวี๋หยงหรือไม่ ดูว่านางยังกล้าแสดงท่าทีออดอ้อนแสร้งโง่ เอาแต่ใจต่อหน้าเขาหรือไม่
หญิงสาวที่น่าสงสาร เริ่มแรกไม่รู้ลักษณะที่แท้จริงของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ต่อมาก็ยังไม่รู้นิสัยภายใต้ภาพลักษณ์ภายนอกที่อ่อนโยนขององค์ชายหกอีก
หวังเจียนดึงสติกลับมา พลางถาม “ต้องส่งข่าวของซีจิงไปยังเมืองหลวงหรือไม่”
ใบหน้าขาวของฉู่อวี๋หยงเย็นชา “ไม่ต้อง พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้”
เขาโกรธจริงแล้ว หวังเจียนถามด้วยความลังเล “อย่างนั้น…”
ฉู่อวี๋หยงมองไปยังทิศทางของซีจิง “สั่งกองทัพทหารม้าทางเหนือนำกองกำลังสองขบวนมุ่งหน้าช่วยเหลือซีจิง”
หวังเจียนผงะ หากเคลื่อนไหวคราวนี้ แผ่นดินย่อมสั่นคลอนทั้งหมด
ฮ่องเต้ย่อมต้องรู้ว่าแท้จริงแล้วกองกำลังไม่ได้อยู่ในมือของเขาแล้ว
ฉู่อวี๋หยงพูดเสียงเรียบ “ควรให้เขารู้แล้ว”
หวังเจียนไม่พูดอีก เขามองไปยังท้องฟ้าทิศตะวันตก หวังว่าทางนั้นจะประคองไว้ได้