บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 426 ฟื้น
ฟ้าสว่างขึ้นอีกครั้ง
เช้าวันนี้เมื่อขุนนางที่ปฏิบัติหน้าที่เดินเข้ามา องค์รัชทายาทก็กำลังเช็ดหน้าและมือให้ฮ่องเต้อย่างตั้งใจ
“ควรเสวยยาแล้วหรือไม่” ขุนนางเดินขึ้นหน้าดูฮ่องเต้ เห็นฮ่องเต้ยังคงไม่ได้สติ
หมอหลวงที่ปฏิบัติหน้าที่กล่าว “ยังไม่ถึงเวลา ทางห้องยามีหมอหลวงกำลังต้มยาอยู่”
“หวังว่าจะได้ผลจริง” ขุนนางถอนหายใจ แต่ก็คาดหวัง “ฝ่าบาทจะทรงฟื้นขึ้นมา”
แม้ว่าหลังจากฟื้นขึ้นมาจะพูดได้เพียงคำสองคำก็ตาม
พระสนมเสียน พระสนมสวีและบรรดาท่านอ๋องต่างเดินทางมา เมื่อได้ยินขุนนางพูดถึงเรื่องยา ก่อนจะมองฮ่องเต้ที่ยังไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย พระสนมสวีก็อดร้องไห้เสียงเบาอยู่ข้างเตียงฮ่องเต้ไม่ได้
“พระสนมสวี” องค์รัชทายาทเอ่ย “อย่าได้รบกวนฝ่าบาท”
พระสนมสวีพูดพลางร้องไห้ “หากการร้องไห้ของข้ารบกวนฝ่าบาทจนพระองค์ทรงฟื้นขึ้นมา ข้ายอมร้องไห้ทุกวันทุกคืน”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว สตรีผู้นี้เชื่อฟังมาระยะหนึ่งแล้ว เวลานี้เมื่อได้ยินว่าฮ่องเต้มีความหวังที่จะดีขึ้น นางก็ยโสขึ้นมาอีกครั้ง
พระสนมเสียนถอนหายใจอยู่ด้านข้าง “ตอนที่หูไต้ฟูอยู่นั้นเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว เวลานี้ชีพจรดีขึ้นแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นผลดีหรือผลร้ายกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง ผู้คนในห้องต่างมีสีหน้าซับซ้อน จะพูดอย่างไรดี ที่พระสนมเสียนพูดก็มีเหตุผล อาการของฝ่าบาทไม่มียารักษาได้ แต่ก็ไม่อาจใช้ยาใดก็ได้ หากสุดท้ายตายเพราะยา…สู้ป่วยตายเสียดีกว่า
องค์รัชทายาทมองสีหน้าของทุกคน สายตาหลุบต่ำลง พลางพูด “อย่าพูดเรื่องนี้เลย ยาใช้ไปแล้วก็เชื่อมันเถิด”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก หมอหลวงจางพาเหล่าหมอหลวงเดินเข้ามา เขาเดินเข้าไปตรวจดูฮ่องเต้ก่อน จากนั้นถามหมอหลวงที่ปฏิบัติหน้าที่เมื่อคืนว่ามีสถานการณ์ใดเกิดขึ้น จากนั้นให้นำยาเข้ามา
“วันนี้เสวยอีกวัน” เขาพูด “หากยังไม่ได้ผล ข้าจะปรับใหม่”
มีขุนนางอดพูดไม่ได้ “หากยังไม่ได้ผลก็พอเถิด หมอหลวงจาง ท่านรักษาฝ่าบาทไม่ได้ ทุกคนก็ไม่โทษท่าน”
หมอหลวงจางมองเขา “รักษาฝ่าบาทไม่ได้ ข้าจะโทษตัวข้าเอง”
ขุนนางผู้นั้นขุ่นเคือง “ท่านทำเพื่อให้ตัวเองสบายใจ แต่ท่านจะทรมานฝ่าบาทไม่ได้”
เมื่อเห็นคนทั้งสองกำลังจะเถียงกัน องค์รัชทายาทรีบห้ามปราม
เวลานี้บรรดาหมอหลวงในห้องยาก็ยกยาเข้ามา องค์รัชทายาทยื่นมือมารับ ในขณะที่กำลังจะนั่งลงป้อนยาที่ข้างเตียง ฉู่ซิวหยงที่เงียบอยู่เสมอพูดขึ้น “ช้าก่อน”
มือขององค์รัชทายาทชะงักลง ทันใดนั้นสายตาที่ยากจะปิดบังความเย็นชามองไปทางเขา
ผู้คนภายในห้องก็มองไปทางเขา
“หมอหลวงจาง” ฉู่ซิวหยงพูด “ข้าคิดว่าต้องระวังเรื่องยาเสียจะดีกว่า”
กำลังสงสัยเขาหรือ หมองหลวงจางร้อนใจ “ยาของกระหม่อม กระหม่อมจะรับผิดชอบเองพ่ะย่ะค่ะ” พูดพลางแย่งยามาจากมือขององค์รัชทายาท
มือขององค์รัชทายาทยังค้างอยู่ เขายังไม่ทันรู้ตัวว่าเหตุใดชามยาจึงถูกแย่งไป ใช่ ถูกต้อง เขาให้พระสนมเสียนเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้ทุกคนเกิดความสงสัย เมื่อสิ้นเรื่องจึงหันหัวลูกศรไปทางหมอหลวงจาง
แต่หัวลูกศรนี้หันเกินไปหรือไม่
“หมอหลวงจาง” องค์รัชทายาทรีบพูด “ทุกคนไม่ได้หมายความเช่นนั้น” จากนั้นจึงหันไปตำหนิฉู่ซิวหยง “อาซิว อย่าเสียมารยาท”
เขายื่นมืออีกครั้ง
“ข้าเชื่อใต้เท้าจาง ข้าจะป้อนยาให้ฝ่าบาทเอง”
ฉู่ซิวหยงไม่ได้เงียบและถอยหลังไปเหมือนแต่ก่อน หากแต่พูดต่อ “หมอหลวงจางดูยานี้ให้ดีเถิด ตกลงมันเหมือนกับของหูไต้ฟูหรือไม่”
หมอหลวงจางพูด “กระหม่อม…” เขาพูดพลางยกชามยาไว้ริมปาก ทำท่าเหมือนจะดื่มลงไป
หมอหลวงชราผู้นี้เสียสติแล้วหรือ ผู้คนรอบด้านกำลังจะห้ามปราม แต่ก็เห็นมือของหมอหลวงจางชะงักลง เขาไม่ได้ดื่มยาลงไป หากแต่วางไว้ใต้จมูกสูดดม สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
“…กระหม่อมจะไปปรับยาใหม่ด้วยตนเอง” เขาพูด
ผู้คนรอบด้านประหลาดใจ อีกทั้งขุ่นเคืองเล็กน้อย หมายความว่าอย่างไร ยาที่เขาทำเชื่อถือไม่ได้จริงหรือ ถึงขั้นต้องไปปรับอย่างกะทันหัน
เวลานี้บรรดาขุนนางต่างเดินทางมาถึง เมื่อได้ยินจึงทำสีหน้าไม่พอใจ
“หมอหลวงจาง! ตกลงท่านปรุงยาออกมาได้หรือไม่”
“พวกท่านกำลังใช้ฝ่าบาททดลองยาหรือ”
“เหลวไหลสิ้นดี!”
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการตำหนิของเหล่าขุนนาง หมอหลวงจางไม่โต้แย้งแม้แต่น้อย เพียงแค่มองไปยังเหล่าหมอหลวง “ทุกคนหารือกันอีกครั้งก่อน” จากนั้นถามขึ้น วันนี้ผู้ใดปฏิบัติหน้าที่ในห้องยา ทางนี้ผู้ใดปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าผู้ใดปฏิบัติหน้าที่ล้วนไปด้วยกัน…
คราวนี้องค์รัชทายาทไม่พูดสิ่งใด สายตาของเขากวาดผ่านทุกคนในห้อง สบตากับหมอหลวงที่ยืนอยู่ด้านหลังผู้คน หมอหลวงผู้นั้นสีหน้าซีดเผือด องค์รัชทายาทส่ายหน้าให้เขาเบาๆ ถึงแม้หมอหลวงจางจะพบว่ายามีปัญหาโดยบังเอิญ แต่ไม่ต้องกังวล เวลานี้ในวังหลวงเขาใหญ่ที่สุด หมอหลวงจางจะสืบสิ่งใดได้
เสียดาย ทำได้เพียงหาวิธีอื่น อีกทั้งยังต้องป้อนให้ฝ่าบาทก่อนที่ยาใหม่จะออกมา มิฉะนั้นหากยาได้ผลจริงจะยิ่งจัดการยาก
องค์รัชทายาทยืนอยู่ที่เดิมมองดูผู้คนที่กำลังถกเถียงกันอย่างไม่ใส่ใจ เขาเหม่อลอยจนกระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ยานี้มีปัญหาใด”
เสียงนี้ไม่ดังมาก แต่ก็ไม่ใช่น้ำเสียงตำหนิด้วยความโกรธเคือง หากแต่เป็นการซักถามด้วยความสงบปะปนไปด้วยความอยากรู้
แต่เมื่อองค์รัชทายาทได้ยิน เขาก็รู้สึกเหมือนมีฟ้าผ่าลงมาที่ศีรษะ
“ใช่ ยานี้มีปัญหาใด”
คนในห้องได้ยินก็ถามขึ้นตาม
แต่คราวนี้ไม่มีคนคล้อยตามเขามากขึ้น หากแต่เงียบเสียงลง สายตาของทุกคนมองไปทางเตียง
เนื่องจากก่อนหน้านี้องค์รัชทายาทจะทรงป้อนยา พระสนมสวีที่นั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียงจึงหลีกทาง เวลานี้ข้างเตียงมีเพียงองค์รัชทายาทกับขันทีจิ้นจงที่ยืนอยู่
เวลานี้องค์รัชทายาทผงะ ขันทีจิ้นจงโน้มตัวไปทางเตียง พยุงคนผู้หนึ่งออกมา การเคลื่อนไหวของเขาช้ามาก ราวกับกำลังพยุงเครื่องกระเบื้องที่แตกง่าย
ใบหน้าซีดเซียวของฮ่องเต้ปรากฏต่อสายตาของผู้คนอย่างช้าๆ สายตาของเขากวาดผ่านทุกคน จับจ้องไปยังหมอหลวงจาง
“ยานี้มีปัญหาใด” เขาถามอีกครั้ง “หลายครั้งก่อนให้ข้ากิน แต่คราวนี้ไม่ให้”
องค์รัชทายาทคุกเข่าลง เรียกด้วยเสียงสั่นเครือ “เสด็จพ่อ…”
คำว่าเสด็จพ่อทำให้ทุกคนในห้องตั้งสติได้ เสียงคุกเข่า เสียงตะโกนรวมทั้งเสียงร้องไห้ของพระสนมสวีดังก้อง
คนรอบด้านตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ต่างตกใจเมื่อได้ยิน พวกเขาต่างมองหน้ากัน ฮ่องเต้สวรรคตแล้วหรือ
คนจำนวนมากขึ้นวิ่งมาทางนี้
แต่ด้านนอกตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ถูกเฝ้าอย่างเข้มงวด ทุกคนต่างถูกรั้งไว้ด้านนอก ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นจากภายในตำหนัก
…
“ฝ่าบาท” ขุนนางทั้งหลายน้ำตานองหน้า พวกเขาคลานเข่าไปข้างเตียง “ฝ่าบาท พระองค์ทรงฟื้นแล้ว”
ฮ่องเต้มองพวกเขาที่ยื่นมือมา พลางจับมือกับพวกเขาทีละคน “ใช่ ข้าฟื้นแล้ว ทำให้ทุกคนเป็นกังวลแล้ว”
ถึงแม้ลมหายใจของเขาจะยังแผ่วเบา แต่น้ำเสียงของเขาชัดเจนหนักแน่น ทรงมีสติอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่ฝ่าบาทที่ทรงพูดได้เพียงสองคำเหมือนก่อนอีกแล้ว อีกทั้งพระองค์ยังทรงนั่งขึ้นมาได้
บรรดาขุนนางต่างหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ “รีบประกาศข่าวดีนี้ต่อแผ่นดิน”
ฮ่องเต้โบกมือ “เรื่องนี้ยังไม่รีบ ข้ามีเรื่องต้องจัดการก่อน…หมอหลวงจาง”
ทุกคนต่างผงะไป ก่อนจะเงียบลง สายตามองไปทางหมอหลวงจาง
หมอหลวงจางคุกเข่าอยู่ที่มุมห้อง ก่อนหน้านี้บรรดาขุนนางเบียดเข้ามาด้วยความตื่นเต้น บรรดาพระสนมและท่านอ๋องต่างหลีกทาง บรรดาหมอหลวงย่อมต้องถอยหลังเช่นเดียวกัน
“หมอหลวงจาง” ฮ่องเต้ชี้ไปที่ชามยาในมือของเขา “ยานี้มีปัญหาใดกันแน่ เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมป้อนให้ข้า”
ฮ่องเต้ถามเป็นครั้งที่สาม คนที่โง่เพียงใดก็ควรจะรู้ว่ามีปัญหา
หมอหลวงจางโน้มตัวทูล “ยาชามนี้ถูกคนเปลี่ยนยาชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงไร้ประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
อะไรนะ!
ภายในห้องเงียบสงัด ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจ มีขุนนางไม่น้อยลุกขึ้นยืนถาม “เป็นไปได้อย่างไร”
“ผู้ใด”
“ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงไม่ได้สติ กระหม่อมไม่กล้าทูล ดังนั้นจึงปิดบัง เตรียมตัวนำคนกลับไปสืบสวนพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงจางพูด พลันยกชามยาขึ้นมา “เวลานี้ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดสืบให้กระจ่าง”
ฮ่องเต้ตอบรับ “จิ้นจง สืบ”
ขันทีจิ้นจงโน้มตัวตอบรับ
…
เนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับการลอบทำร้ายฮ่องเต้ ดังนั้นทุกคนจึงไม่มีผู้ใดจากไป พวกเขาต่างรอผลการสอบสวน ในเวลาเดียวกันก็ต้องถูกสอบสวนอย่างละเอียด ทุกคนที่ปรากฏตัวล้วนต้องสงสัย
ความดีใจที่ฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมาถูกแทนที่ด้วยความตกตะลึงที่ฮ่องเต้ถูกลอบทำร้าย บรรดาขุนนางต่างมีสีหน้าหนักใจ บ้างนั่งเงียบ บ้างพูดคุยเสียงเบา
บรรยากาศภายในตำหนักบรรทมตึงเครียดกว่าตอนฮ่องเต้ประชวรเสียอีก
บรรดาพระสนมยังสามารถแสดงอารมณ์ได้ตามใจ พระสนมเสียนป้อนน้ำแกงฮ่องเต้หนึ่งชาม ส่วนพระสนมสวีนั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียง
“เอาเถิด” ฮ่องเต้หยิบผ้าเช็ดปาก พูดพลันขมวดคิ้ว “เจ้ามาร้องไห้ข้างหูข้าทุกวัน หูของข้าจะหนวกอยู่แล้ว”
พระสนมสวีได้ยินจึงยิ่งร้องไห้หนักขึ้น “ฝ่าบาท” นางจับแขนเสื้อของฮ่องเต้ไม่ยอมปล่อยออก “หม่อมฉันบอกแล้วว่าเสียงร้องไห้ของหม่อมฉันสามารถปลุกพระองค์ให้ทรงฟื้นขึ้นมาได้”
ฮ่องเต้หัวเราะ “พูดเรื่องใดกัน” ก่อนจะมองคนอื่น “ความจริงข้าฟื้นนานแล้ว เพียงแต่เพิ่งพูดได้เมื่อวาน”
คนอื่นได้ยินจึงตกตะลึงอีกครั้ง ฮ่องเต้ทรงฟื้นนานแล้วหรือ เมื่อวานก็ทรงพูดได้แล้ว แต่กลับปิดบังทุกคน หมายความว่าอย่างไร
ก่อนจะเชื่อมโยงกับยาที่ฮ่องเต้เสวยถูกคนเปลี่ยนในวันนี้…
ฮ่องเต้มองสีหน้าตกตะลึงของทุกคน จากนั้นจึงยิ้มออกมา “อีกอย่างนับแต่ข้าเริ่มป่วย ความจริงข้าไม่ได้หมดสติ เพียงแค่ลืมตาไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่ข้าได้ยินตลอด ในใจก็กระจ่างอยู่เสมอ”
ทุกคนตะลึงจนลุกขึ้นยืน พระสนมสวีก็หยุดร้องไห้ ส่วนองค์รัชทายาทที่นั่งอยู่สีหน้าย่ำแย่กว่าเก่า
“ระยะนี้เกิดเรื่องใดขึ้น พวกเจ้าทำสิ่งใด พวกเจ้าถกเถียงเรื่องใด ข้าล้วนได้ยินอย่างชัดเจน” ฮ่องเต้พูด น้ำเสียงของเขาแหบพร่า “จินเหยาของข้า…”
องค์รัชทายาทคุกเข่าลง ก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “กระหม่อมไร้ความสามารถ ขอเสด็จพ่อโปรดลงโทษ”
ทุกคนในห้องต่างรีบคุกเข่าลงก้มหน้าขออภัยโทษ
สายตาของฮ่องเต้เหมือนกำลังจ้องมองพวกเขา แต่ก็เหมือนไม่ได้มอง
“ไร้ความสามารถไม่ใช่ความผิดเสมอไป” เขาพูดอย่างเชื่องช้า “แต่…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ขันทีจิ้นจงก็นำองครักษ์รักษาพระองค์เข้ามา พร้อมทั้งโยนหมอหลวงผู้หนึ่งลงบนพื้น
“ฝ่าบาท หาคนที่เปลี่ยนยาพบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาพูด
สายตาของฮ่องเต้มองมา เขาพินิจหมอหลวงผู้นั้น อีกฝ่ายเป็นหมอหลวงที่ไม่โดดเด่นอย่างมาก เขาไม่เคยพบมาก่อน
“เหตุใดเจ้าจึงปองร้ายข้า” ฮ่องเต้ถาม
หมอหลวงผู้นั้นตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น “ฝ่าบาท กระหม่อม กระหม่อมหมดหนทาง กระหม่อมถูกบังคับ…”
ใบหน้าของฮ่องเต้ไร้อารมณ์ “ผู้ใดบังคับเจ้าให้ปองร้ายข้า”
หมอหลวงนั้นราวกับไม่กล้าพูด เขาถูกขันทีจิ้นจงเตะเข้าที่เอวเบาๆ เขาก็ตะโกนขึ้นมาราวกับหมูที่ถูกเชือด ขดตัวเป็นก้อนอยู่บนพื้น
“ข้าพูด ข้าพูด องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท…”