บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 419 ข่าว
เฉินตันจูเดินไปเดินมาอยู่ในห้องขัง ทั้งร้อนใจทั้งกังวล
ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปแล้ว การลอบสังหารขององค์รัชทายาทต่อองค์ชายหกกลายเป็นการสังหารอย่างโจ่งแจ้ง องค์หญิงจินเหยาอาจยังต้องอภิเษกเพื่อสานสัมพันธไมตรี
เหลวไหลเกินไปแล้ว
นางยืนอยู่ริมห้องขัง มองออกไปด้านนอก อดไม่ได้ที่จะเขย่าประตู ประตูใช้โซ่เหล็กล่ามเอาไว้ ตอนที่อาจี๋และองค์หญิงจินเหยามา ขันทีที่เฝ้าห้องขังจะเปิดประตูออก หากนางอยากออกไปจะเปิดประตูให้หรือไม่
เมื่อได้ยินเสียงของโซ่เหล็กดังขึ้นก็มีขันทีชะโงกหน้าจากระยะไกลมองมา ไม่รอเฉินตันจูพูด เขาก็หดหัววิ่งกลับไป
“นี่” เฉินตันจูตะโกนด้วยความขุ่นเคือง “วิ่งอันใดกัน ข้ายังไม่ทันพูดสิ่งใดเลย”
ดูท่าทางยังมีลักษณะของการถูกขัง ไม่อาจออกไปได้ตามใจ
โชคดีที่ไม่นานนัก อาจี๋ก็วิ่งมาบอกข่าวดีกับนาง “ฝ่าบาททรงฟื้นแล้ว สามารถพูดได้แล้ว”
องค์หญิงจินเหยาก็วิ่งมาอย่างรีบร้อน จับมือของเฉินตันจูทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้ “เสด็จพ่อทรงฟื้นแล้ว สามารถพูดได้แล้ว ถึงแม้จะพูดได้น้อยมาก เปลืองแรงมากก็ตาม”
เฉินตันจูจับมือขององค์หญิงจินเหยาด้วยความดีใจ “อย่างนี้ก็ดีขึ้นแล้ว จะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน”
องค์หญิงจินเหยาพยักหน้า “ใช่ ดังนั้นไม่ต้องกังวล ถึงแม้เวลานี้ข้ายังไม่ได้ทูลเรื่องนี้ต่อเสด็จพ่อ รอเสด็จพ่อดีขึ้นอีกเล็กน้อย หากเสด็จพ่อทรงรู้เรื่อง ย่อมไม่มีทางให้ข้าอภิเษกอย่างแน่นอน”
เฉินตันจูไม่สงสัยเรื่องนี้แม้แต่น้อย ถึงแม้ฮ่องเต้จะมีข้อบกพร่องไปบ้าง แต่พระองค์ก็ไม่ใช่จักรพรรดิที่อ่อนแอ
องค์หญิงจินเหยาจับมือของนาง “เจ้าก็ไม่ต้องกังวล รอเสด็จพ่อหายดีแล้ว ปัญหาของเสด็จพี่หกกับเจ้าย่อมต้องจัดการได้”
เรื่องนี้คงจะไม่ง่ายเหมือนเรื่องของท่านอ๋องซีเหลียง แต่เพียงแค่ฮ่องเต้ทรงมีสติ ได้ยินเสียงพูดของผู้อื่น สามารถให้นางพูดก็จะมีโอกาส เฉินตันจูพยักหน้าให้องค์หญิงจินเหยา “จะเป็นอย่างนั้น องค์หญิงจินเหยา เสด็จพี่หกของท่าน…”
“เสด็จพี่หกต้องไม่เป็นอันใด” องค์หญิงจินเหยาพูด “ข้าจะต้องไปดูแลเสด็จพ่อ เจ้ารออย่างวางใจเถิด”
พูดพลางเดินจากไปอย่างเร่งรีบ
ความจริงแล้ว นางอยากถามเรื่องของฉู่อวี๋หยง องค์หญิงจินเหยาสนิทกับฉู่อวี๋หยงตั้งแต่เด็ก นางอาจรู้เรื่องบางอย่าง แต่เมื่อมององค์หญิงจินเหยาเดินจากไป เวลานี้ภายในใจขององค์หญิงมีเพียงฝ่าบาท เฉินตันจูทำได้เพียงปล่อยไป อย่างนั้นรอก่อนเถิด
รอฮ่องเต้ทรงดีขึ้นมา เรื่องเป็นอย่างไรก็จะกระจ่างแล้ว
แต่เมื่อฮ่องเต้ทรงดีขึ้นจะเป็นเรื่องดีต่อฉู่อวี๋หยงหรือ
เฉินตันจูนั่งอยู่ในคุก ถอนหายใจเสียงเบา
ข่าวพระอาการของฮ่องเต้ดีขึ้นถูกแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้ว จนฮ่องเต้ทรงพูดได้แล้ว หลายวันต่อมา ในโรงน้ำชาบริเวณเชิงเขาดอกท้อเล่าต่อกันว่าฮ่องเต้ทรงขึ้นว่าราชการได้แล้ว
“รู้อยู่แล้วฝ่าบาททรงไม่เป็นอันใด ท่านมหาราชครูตั้งปณิธานว่าจะปิดประตูสักการะพระพุทธรูปหนึ่งร้อยแปดสิบวัน”
“ไม่เกี่ยวอันใดกับท่านมหาราชครู ท่านโหวโจวเป็นคนหาหมอเทวดาจากท้องถิ่นมาต่างหาก”
“ข้าจะรอดูว่าฝ่าบาทจะทรงสั่งสอนคนซีเหลียงอย่างไร”
ภายในโรงน้ำชาพูดเล่นกัน ลูกค้าที่นั่งอยู่ในโต๊ะด้านในฟังอย่างออกรสออกชาติ ไม่เพียงสั่งชาเหยือกที่สอง อีกทั้งยังสั่งผลไม้จานที่แพงที่สุด
สีหน้าดำทะมึนของหญิงชราขายชาเผยรอยยิ้มเล็กน้อยตอนส่งผลไม้มา
“ตรงนี้มีผลไม้ที่เก็บมาจากภูเขาดอกท้อ สุกวันนี้เก็บวันนี้ ไม่เร็วไม่ช้า ประจวบเหมาะพอดี” นางพูดพลางยิ้ม
ลูกค้าที่นั่งด้านข้างได้ยิน ส่งเสียงขึ้นมา “ท่านยาย เฉินตันจูวางยาพิษฮ่องเต้ ของบนภูเขาดอกท้อยังกินได้อีกหรือ”
บนใบหน้าของหญิงชราขายชาดำดุจก้นหม้อ “ผลไม้เกิดจากธรรมชาติ เกี่ยวอันใดกับเฉินตันจู”
“ของเฉินตันจูอย่างไรเล่า” ลูกค้าผู้นั้นเบ้ปาก
หญิงชราขายชาชี้เหยือกชา “น้ำนี้ก็มาจากพื้นที่ของเฉินตันจู หากวันนี้เจ้าดื่มแล้วตาย ข้าจะตายเป็นเพื่อนเจ้า”
ลูกค้าผู้นั้นหดหัว “แค่ล้อเล่นเอง เหตุใดท่านยายจึงต้องดุ” แต่เขาก็ไม่ได้ทิ้งน้ำชาแล้วจากไป
ลูกค้าคนอื่นต่างหัวเราะพร้อมสมน้ำหน้าเขา “อย่าล้อเล่นกับท่านยาย”
“อย่าเอ่ยถึงเฉินตันจูกับท่านยาย ท่านยายจะโกรธ”
“เฮ้อ เฉินตันจูทำผิดอันใหญ่หลวงแบบนี้ ท่านยายก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นเดียวกันใช่หรือไม่”
“ดูจากการค้าขายนี้…การค้าขายของท่านยายยังดีมาก”
หญิงชราขายชาไม่สนใจคำพูดของคนเหล่านี้ นางหันหน้ามองไปทางลูกค้าโต๊ะนี้ บัณฑิตหนุ่มหยิบผลไม้ป่าสีแดงลูกหนึ่งขึ้นมากิน ริมฝีปากของเขาก็กลายเป็นสีแดง งดงามหยดย้อย
“อร่อยเสียจริง” เขาชื่นชม “สมกับเป็นราคาที่แพงที่สุด”
หญิงชราขายชาเผยรอยยิ้มออกมาอีกครั้ง “บัณฑิตมีวิสัยทัศน์กว่าเสียจริง”
ฉู่อวี๋หยงผู้เป็นบัณฑิตชื่นชมขึ้นอีกครั้ง “ภูเขาดอกท้อสมกับเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ แม้แต่ผลไม้ก็เลิศรสอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”
หญิงชราขายชายิ่งดีใจ นางกดเสียงต่ำ “บัณฑิต ปีนี้เจ้าจะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกใช่หรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ การสอบแบบนี้เริ่มขึ้นเพราะเฉินตันจูที่อาศัยอยู่บนภูเขาดอกท้อ”
ดวงตาของฉู่อวี๋หยงอ่อนโยนลง “ใช่ คุณหนูตันจูมีความดีความชอบต่อบัณฑิตทั่วแผ่นดิน”
หญิงชราขายชาพูดเสริม “ใช่แล้วๆ ตอนนั้นนะ มีบัณฑิตวิ่งขึ้นเขามามอบภาพวาดขอบคุณคุณหนูตันจู บัณฑิตอย่างพวกเจ้ารู้ดีแก่ใจ” พูดพลางเรียกขานอาฮวา “เอาเมล็ดฟักทองมาอีกจาน ไม่เก็บเงิน”
เมล็ดฟักทองวางอยู่บนโต๊ะ หวังเจียนหยิบไปเต็มมือ ก่อนจะมองหญิงชราขายชาที่นั่งยองอยู่ข้างเตาไฟเหมือนกำลังเช็ดน้ำตา “สามารถเสียจริง ใช้ปากอย่างเดียวก็หลอกกินได้แล้ว”
ฉู่อวี๋หยงพูด “เพราะคุณหนูตันจูมีความสามารถ”
ไม่ห่างจากคุณหนูตันจูแม้แต่คำเดียว หวังเจียนได้ยินจนเบื่อ เขาโบกมือ “เอาเถิด เอาเถิด อย่าเพิ่งสนใจคุณหนูตันจูเลย”
ด้านข้างของพวกเขามีผู้ติดตามที่ปลอมตัวเป็นลูกค้าโรงน้ำชานั่งอยู่สองโต๊ะ ภายในโรงน้ำชาต่างพูดคุยอย่างสนุกสนาน ไม่มีคนสนใจทางนี้
หวังเจียนพลางกินเมล็ดฟักทองพลางพูดเสียงเบา “ฝ่าบาททรงดีขึ้นไม่ใช่เรื่องดีสำหรับท่าน เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว คำพูดที่พูดออกไปเหมือนน้ำที่สาดออกไป เก็บไม่กลับมาแล้ว”
ฉู่อวี๋หยงพูด “นำศรคำสั่งของข้ากลับไปทางซีจิง”
“ทำอันใด เคลื่อนย้ายคนทางนั้นมาหรือ” หวังเจียนพูด “พาคนบุกเข้าวังหลวงหรือ”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม “อย่างนั้นจะไม่เป็นไปตามความปรารถนาของผู้อื่นหรือ ศรคำสั่งให้พวกเขาเคลื่อนย้ายกองกำลังที่มากขึ้นในซีจิง”
หวังเจียนส่งเสียงจิ๊ปาก “ท่านกำลังเตรียมตัวโจมตีซีเหลียงแล้วหรือ ผู้อื่นไม่ให้โอกาสนี้แก่ท่านหรอก องค์รัชทายาทไม่ได้ตัดหัวของทูตซีเหลียงลงมา ต่อไปย่อมไม่มีทาง ฝ่าบาทหรือ ถึงแม้ฝ่าบาทจะทรงดีขึ้นก็ย่อมต้องไว้หน้าบุตรชายคนโตที่เขาโปรดปราน…”
“ฝ่าบาทไม่ทรงดีขึ้น” ฉู่อวี๋หยงขัดเขา หลุบตาลงพลันพูด “ดีขึ้นคงจะไม่ดี”
พระอาการของฝ่าบาทเป็นฝีมือมนุษย์ การกระทำในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่เพื่อให้ฝ่าบาทประชวรอย่างไร้สาเหตุเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์ต้องการควบคุมจิตใจคน
หวังเจียนต้องการพูดบางอย่าง แต่ถนนด้านนอกโรงน้ำชามีเสียงเกือกม้าดังขึ้น ปะปนไปด้วยเสียงแส้ ผู้คนบนถนนรีบหลบหลีก ท่ามกลางฝุ่นควันตลบอบอวลมีขบวนคนและม้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาไม่ได้สวมชุดทหาร ดูเหมือนจะเป็นราษฎรธรรมดา แต่พกอาวุธ อีกทั้งยังถือธงคำสั่งที่บรรดาทหารถึงจะมีได้ ตัวตนไม่ต้องเอ่ยออกมาก็ชัดเจน
“ขบวนที่คุ้มกันหมอเทวดาออกจากเมืองหลวง” หวังเจียนจำได้ ก่อนจะมองผู้ติดตามที่อยู่โต๊ะด้านข้าง “ไปสืบข่าว”
หูไต้ฟูแอบออกจากเมืองหลวงอย่างลับๆ แต่ย่อมไม่อาจปิดบังพวกเขาได้ อีกทั้งพวกเขายังส่งคนเฝ้าจับตาดูตามหลัง
ผู้ติดตามตอบรับ พลันหยิบหมวกสวมไว้บนหัว เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
…
“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท”
ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ตื่นตระหนกขึ้นเพราะเสียงหนึ่ง องค์รัชทายาทลุกขึ้นยืน เฝ้าอยู่ด้านหน้าของฮ่องเต้ องค์หญิงจินเหยาและพระสนมสวีต่างออกไปด้านนอก
ขันทีฝูชิงวิ่งเข้ามาอย่างโซซัดโซเซ ก่อนจะคุกเข่าอยู่ด้านหน้าองค์รัชทายาท
“องค์รัชทายาท ไม่ดีแล้ว หูไต้ฟูตกเหวระหว่างทางพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฮ่องเต้ที่ถูกองค์หญิงจินเหยาป้อนยาอยู่นั้นถลึงตาโต ก่อนจะสลบไป
ถ้วยยาในมือขององค์หญิงจินเหยาหล่นลงพื้นแตกกระจาย
“ฝ่าบาท…”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันที หลังคาของตำหนักบรรทมแทบจะถล่มลงมา
สวรรค์…
เมฆดำปกคลุมไปทั่ววังหลวง ขุนนางราชสำนักสิบกว่าคนเดินตรงเข้ามาในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้อย่างเร่งรีบ
องครักษ์หลวงด้านนอกตำหนักบรรทมของฮ่องเต้กระจายตัวไปทั่วทุกพื้นที่ ขันทีและนางในก้มหน้ายืนนิ่ง อีกทั้งยังมีขันทีอีกคนคุกเข่าอยู่หน้าพระตำหนัก ตบหน้าของตนเองทีละครั้งจนใบหน้าบวม เลือดไหลออกทางปากและจมูก…แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ทุกคนก็ยังคงจำได้ว่าอีกฝ่ายคือฝูชิง
ฝูชิงเป็นขันทีใหญ่ขององค์รัชทายาท แต่เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาสภาพอนาถเช่นนี้
“ฝูชิงตะโกนว่าหูไต้ฟูเกิดเรื่องต่อหน้าฮ่องเต้ ทำให้ฝ่าบาทตกใจจนสลบไป” ขุนนางที่เข้าเวรอยู่ทางนี้รู้รายละเอียด อธิบายต่อทุกคนเสียงเบา
เหล่าขุนนางโกรธแค้นขึ้นมาทันที “สมควรโบย!”
โบยจนตายก็ไม่เกินกว่าเหตุ!
ฝูชิงในฐานะคนข้างกายขององค์รัชทายาท เหตุใดจึงบุ่มบ่ามเช่นนี้!
“เฮ้อ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน” ขุนนางที่เข้าเวรกลับเห็นใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินฝูชิงตะโกนประโยคนั้นออกมา ขาของเขาก็แทบจะอ่อนระทวย นึกถึงตอนที่เหล่าท่านอ๋องนำทัพล้อมรอบเมืองซีจิง เขายังไม่กลัวเช่นนี้
พระอาการของฮ่องเต้ใกล้จะหายดีแล้ว แต่ไต้ฟูกลับตายอย่างกะทันหัน ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
หัวใจของเหล่าขุนนางเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับ พวกเขาลากเท้าเดินเข้าตำหนักบรรทม
ตำหนักบรรทมโกลาหล บรรดาพระสนมและองค์หญิงต่างคุกเข่าอยู่ที่ห้องด้านนอก คราวนี้องค์รัชทายาทก็ไม่ได้เอ่ยห้าม เขายืนอยู่ในห้องด้วยสีหน้าซีดเซียว หมอหลวงจางนำเหล่าหมอหลวงรายล้อมอยู่ด้านข้างเตียง
“องค์รัชทายาท” ขุนนางเดินขึ้นหน้า “ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทมองไปทางเขา “โทษข้า ข้าควรไปด้วยตนเอง แม้คนที่ตกม้าจะเป็นข้าก็ตาม”
บรรดาขุนนางมองท่าทางเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและพูดจาสะเปะสะปะขององค์รัชทายาท ทั้งเศร้าโศกทั้งร้อนใจ “องค์รัชทายาท พระองค์ทรงตั้งสติพ่ะย่ะค่ะ!”
ในขณะที่พวกเขากำลังพูด หมอหลวงจางก็พูดขึ้น “ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสิ้นเสียงนี้ ทุกคนต่างดีใจ รีบหลั่งไหลเข้าไปข้างเตียง องค์รัชทายาทอยู่ด้านหน้าสุด
“เสด็จพ่อ” องค์รัชทายาทคุกเข่าอยู่ข้างเตียง เรียกขานทั้งน้ำตา
ฮ่องเต้ลืมตามองเขาด้วยสายตาที่เหม่อลอย พลันอ้าปาก แต่ก็เปล่งเสียงไม่ได้เหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
แต่อาการนี้ดีกว่าที่จินตนาการเอาไว้มากแล้ว อย่างน้อยยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนต่างเรียกขานฝ่าบาททั้งน้ำตา “ทรงฟื้นแล้วก็ดี”
ฮ่องเต้ไม่ได้ฟื้นขึ้นมานานนัก เขาจ้องมององค์รัชทายาทอยู่สักพักก็หลับตาลง
องค์รัชทายาทเรียกหาหมอหลวงอีกครั้ง
หมอหลวงจางพูดปลอบ “ไม่เป็นอันใด ไม่เป็นอันใด ฝ่าบาทเพียงแค่บรรทมไปเท่านั้น”
ทุกคนวางใจขึ้นมาก พวกเขาต่างรายล้อมหมอหลวงจางพลันถามพระอาการของฝ่าบาท
ถึงแม้หมอหลวงจางจะดูสุขุมเหมือนเคย แต่ภายในดวงตามีความโศกเศร้าที่ยากจะปิดบัง “ฝ่าบาททรงไม่เป็นอันใด แต่หากไม่มียาของหูไต้ฟู เกรงว่า…”
ใช่ หากบรรดาหมอหลวงสามารถรักษาได้ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ต้องการหูไต้ฟู
“หูไต้ฟูไม่ได้ทิ้งสูตรยาเอาไว้หรือ” ทุกคนต่างซักถาม
หมอหลวงจางยิ้มขมขื่น “ไต้ฟูกล่าวว่าเป็นสูตรลับของตระกูล ถ่ายทอดให้บุรุษแต่ไม่ถ่ายทอดให้สตรี เขายอมรักษาฝ่าบาท แต่ไม่ยอมนำสูตรลับออกมา…”
เวลานั้น หูไต้ฟูรักษาฝ่าบาทสำเร็จแล้ว ทุกคนจึงไม่บังคับเขา แต่ไม่มีคนคิดว่าเขาจะเกิดอุบัติเหตุ
ช่าง…บรรดาขุนนางต่างถอนหายใจ แต่เวลานี้ก็ไม่อาจถอนหายใจได้อย่างเดียว
“องค์รัชทายาท” ทุกคนต่างมองไปทางองค์รัชทายาท “พระองค์ต้องทรงเข้มแข็งขึ้นมา ฝ่าบาททรงเป็นเช่นนี้แล้ว”
องค์รัชทายาทจับมือของฮ่องเต้พลันคุกเข่าอยู่ข้างเตียง เขาเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “ข้ารู้” เขาไม่ได้หันกลับมา หากแต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “จิ้นจง”
ขันทีจิ้นจงตอบรับ
“ส่งคนไปสืบเรื่องหูไต้ฟูตกเหว ต้องหาศพของหูไต้ฟูให้เจอ”
หลังจากเกิดเรื่อง ทหารส่งสารมาทูลรายงาน เหวนั้นทั้งลึกทั้งชัน ยังหาศพของหูไต้ฟูไม่เจอ…แต่หากตกลงเหวเช่นนี้ลงไป โอกาสรอดริบหรี่
ขันทีจิ้นจงตอบรับ บรรดาขุนนางเข้าใจความหมายขององค์รัชทายาท หูไต้ฟูสำคัญเช่นนี้ ร่องรอยในการเดินทางเป็นความลับเช่นนี้ ข้างกายยังมีองครักษ์ลับของฮ่องเต้ แต่ยังตกเหวได้ เรื่องนี้ย่อมไม่ใช่อุบัติเหตุ
“ส่งคนไปที่บ้านของหูไต้ฟู ซักถามเพื่อนบ้านข้างเคียง หาสมุนไพรบนเขาให้เจอ สูตรลับมาจากความคิดของคน เมื่อได้สมุนไพรมา สำนักหมอหลวงนำไปทดลองทีละสูตร”
ขันทีจิ้นจงตอบรับอีกครั้ง หมอหลวงจางก็น้อมรับคำสั่งอยู่ด้านข้าง
“ทุกท่าน” องค์รัชทายาทสูดลมหายใจอีกครั้ง “เตรียมเข้าท้องพระโรง”
ทิ้งฮ่องเต้ที่ทรงหลับใหลอยู่บนเตียงเพื่อไปว่าราชการ บรรดาขุนนางไร้ซึ่งความไม่พอใจแม้แต่น้อย หากแต่ยังภูมิใจและชื่นชม
“องค์รัชทายาททรงพระปรีชาสามารถ” พวกเขาต่างถวายบังคม
สร้างความมั่นคงในราชสำนักและต้าเซี่ยเพื่อฮ่องเต้เป็นเรื่องที่องค์รัชทายาทสมควรทำเมื่อเผชิญกับวิกฤต
องค์รัชทายาทยังคงหันหลังให้ทุกคน เขาจ้องมองฮ่องเต้อย่างตั้งใจราวกับอาลัยอาวรณ์ ซุกศีรษะลงบนมือของฮ่องเต้
นอนมาเป็นเวลานาน มือของฮ่องเต้ผอมแห้งเล็กน้อย ไม่อาจปิดบังใบหน้าขององค์รัชทายาทได้ อีกทั้งยังไม่อาจปิดบังมุมปากที่ยกขึ้นของเขาได้
รอยยิ้มปรากฏขึ้นเพียงชั่วขณะ องค์รัชทายาทเงยหน้าพูดกับฮ่องเต้เสียงเบา “เสด็จพ่อทรงพักรักษาให้ดี อีกประเดี๋ยวกระหม่อมจะมาอยู่กับพระองค์”
พูดพลางเดินออกไปด้านนอก บรรดาขุนนางต่างหลบทาง บรรดาพระสนมและองค์หญิงที่อยู่ห้องด้านนอกต่างหยุดร้องไห้ บรรดาท่านอ๋องก็มองมา
“พวกเจ้าดูแลเสด็จพ่อให้ดี” องค์รัชทายาทพูด
บรรดาท่านอ๋องตอบรับ มองส่งองค์รัชทายาทเดินออกไปท่ามกลางการรายล้อมจากบรรดาขุนนาง
ภายในตำหนักบรรทมยังคงสงบเงียบ ทุกคนราวกับลืมร้องไห้
เวลานี้ร้องไห้ก็ไร้ประโยชน์
คราวนี้ถึงเวลาของฮ่องเต้จริงๆ แล้ว หูไต้ฟูที่สามารถรักษาฮ่องเต้ก็ถูกสวรรค์รับไปแล้ว
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง