บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 417 รอ
บัณฑิตอายุน้อยเดินไปตามทางไม่ไกลนักก็ครุ่นคิดหาที่พักเท้า
บ่าวรับใช้ชราแบกชั้นวางตำรายิ้มเย้ยหยัน “สามวันแล้ว เวลาในการเดินทางยังไม่มากเท่าการพักผ่อน เวลานี้ท่านกำลังหนีตาย ไม่ใช่เดินทางเพื่อร่ำเรียน”
ฉู่อวี๋หยงที่กำลังหนีตายมองไปยังหมู่บ้านด้านหน้า พลันพูดขึ้น “ตำแหน่งนี้ง่ายต่อการป้องกัน ยากต่อการโจมตี เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับพักผ่อน”
หวังเจียนวางชั้นวางตำราลงกับพื้นด้วยความรำคาญ “ของบ้านี่แบกจนข้าเหนื่อยแทบตายแล้ว ติดตามท่านไม่เคยมีเรื่องดี ตอนนั้นข้าไม่ควรเห็นแก่ได้เลยเสียจริง”
ฉู่อวี๋หยงปลอบเขา “อย่าพูดอย่างนั้นเลย ท่านติดตามผู้ใดก็ไม่เคยมีเรื่องดีอยู่แล้ว”
หวังเจียนโกรธจนหัวเราะออกมา เขามองใบหน้าสะอาดสะอ้านของชายหนุ่ม…แม้จะบอกว่าเป็นการหนีตาย แต่พวกเขาแค่หนีออกมาจากจวนองค์ชายหก ไม่ได้หนีออกจากเมืองหลวง แม้แต่รูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่ได้ตั้งใจปลอมแปลง เพียงแค่ทาแป้งเล็กน้อย เปลี่ยนรูปร่างของคิ้ว ตา จมูกและปากเล็กน้อย
เขาพูดด้วยความโกรธ “เหตุใดจึงให้ข้าปลอมตัวเป็นชายชราแต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆ ที่ท่านเชี่ยวชาญกว่า”
ฉู่อวี๋หยงพูด “หวังไต้ฟู ท่านเป็นคนชราแล้ว ไม่ต้องปลอมตัว”
หวังเจียนโกรธจนอยากกระอักเลือก เขาถลึงตามองชายหนุ่มตรงหน้าที่หลุดพ้นจากจวนองค์ชายหกและวังหลวง ท่าทางและคำพูดของเขานับวันยิ่งเหมือนกับตอนที่ปลอมตัวเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก…ความสามารถล้นหลามจนไร้ความเกรงกลัว
ถึงเวลานี้ก็คงไม่มีสิ่งใดต้องกลัวอีก
“เหตุใดจึงไม่กลับซีจิง” หวังเจียนถาม “รอองค์รัชทายาทยื่นมือเข้าไปถึงซีจิง การเคลื่อนไหวคนทางนั้นคงจะไม่ง่ายแล้ว”
ฉู่อวี๋หยงพูดเพียง “ไม่รีบ”
หวังเจียนยิ้มเย้ยหยัน “เพราะจะเฝ้าเฉินตันจูอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”
เมื่อเดาได้ว่าฮ่องเต้จะทรงระลึกถึงองค์รัชทายาทในเวลาที่ใกล้ตาย ฮ่องเต้ย่อมต้องทรงกำจัดอันตรายทั้งหมดให้องค์รัชทายาท อีกทั้งยังจะทรงเปิดเผยว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กคือฉู่อวี๋หยงต่อองค์รัชทายาท พวกเขาก็รีบออกจากจวนองค์ชายหก อีกทั้งยังรู้ว่าเฉินตันจูจะเดือดร้อนด้วย
พายุขององค์รัชทายาทไม่เป็นผลต่อฉู่อวี๋หยง แต่กับเฉินตันจูเล่า?
“ท่านก็ได้เห็นกับตาแล้ว เหล่าองครักษ์ลับของฮ่องเต้ยังไม่ถึงหน้าประตูจวนของเฉินตันจู โจวเสวียนก็ถึงก่อนแล้ว อีกทั้งเขายังยกดาบขึ้นมาปะทะกับเหล่าองครักษ์ลับ”
เวลานั้นพวกเขาดูอยู่ด้านข้าง จนกระทั่งเห็นเฉินตันจูถูกโจวเสวียนส่งไปวังหลวง
“ภายในวังหลวง องค์รัชทายาทเฝ้าดูเพียงแค่ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ บริเวณอื่นอยู่ในมือของฉู่ซิวหยง”
หวังเจียนพูดพลางเหลือบมองฉู่อวี๋หยง พลันยิ้มอย่างมีนัย
“มีฉู่ซิวหยงอยู่ คุณหนูตันจูไม่มีทางลำบาก หากพูดถึงเรื่องเยื่อใย พวกเขาก็มีไม่น้อย”
ฉู่อวี๋หยงได้ยินจึงพยักหน้า “คุณหนูตันจูช่างเป็นที่รักใคร่สำหรับผู้พบเห็นเช่นนี้เสมอ”
หวังเจียนกลอกตา มีเพียงเขาที่สามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้อย่างหน้าไม่อาย คุณหนูตันจูช่างเป็นที่เกลียดชังสำหรับผู้พบเห็นเสียมากกว่า
“อย่างไรก็ตาม เฉินตันจูไม่เป็นอันตราย ท่านอย่าสนใจเลย พวกเรารีบกลับซีจิงเถิด”
ฉู่อวี๋หยงส่ายหน้า “ข้าไม่ชอบการฝากความหวังไว้บนตัวของผู้อื่น”
หวังเจียนขมวดคิ้ว “เวลานี้ท่านจะทำอย่างไรได้ ถึงแม้จะจับท่านไม่ได้ แต่หากประกาศว่าท่านลอบสังหารฮ่องเต้ บนแผ่นดินนี้ก็จะไร้ที่ยืนของท่าน”
ฉู่อวี๋หยงโบกมือให้เขา “ไม่ใช่ข้าจะไร้ที่ยืน แต่เป็นตัวตนขององค์ชายหกต่างหาก”
หวังเจียนกลอกตาอีกครั้ง เวลานี้ตัวตนของแม่ทัพหน้ากากเหล็กตายไปแล้ว ตัวตนขององค์ชายหกก็ต้องตายอย่างแน่นอน เมื่อไร้ซึ่งตัวตน เขาจะทำอย่างไรได้อีก
“ฉู่อวี๋หยงเดินจนมาถึงวันนี้ ไม่ได้อาศัยตัวตน” ฉู่อวี๋หยงพูดพลันมองไปยังทิศทางของซีจิง
ในฐานะโอรสของฮ่องเต้ นอกจากจวนที่ถูกลืมแห่งหนึ่งแล้ว เขาไม่ได้สิ่งใดแม้แต่น้อย เขาใช้เวลาดิ้นรนถึงสามปีจึงจะร่ำเรียนอยู่ข้างกายแม่ทัพหน้ากากเหล็กได้
เขาปลอมตัวเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กมีชีวิตอยู่ถึงเวลานี้ก็ไม่ใช่เพียงเพราะตัวตนของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก หากเขามีสิ่งใดที่ไม่อาจเทียบแม่ทัพหน้ากากเหล็กได้ ไม่เพียงตัวตนของเขาจะหายไป ชีวิตของเขาก็จะจบสิ้นด้วย
หลายปีที่เขาอยู่ในกองทัพ หลายครั้งที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เขาล้วนพึ่งพาตนเองในการเอาชีวิตรอด หาใช่ตัวตนไม่
เวลานี้ไม่มีตัวตนของแม่ทัพหน้ากากเหล็กและองค์ชายหกแล้วอย่างไร
ฉู่อวี๋หยงมองไปยังทิศทางของซีจิง
“ข้ามีตัวตนอย่างไร ข้าเป็นคนตัดสิน”
…
เฉินตันจูพลิกอ่านหน้าสุดท้ายของตำราภายในคุก เมื่อนางโยนตำราลงบนโต๊ะก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น
“อาจี๋เจ้ามาพอดี” นางพูด “ขโมยตำราจากห้องทรงพระอักษรของฝ่าบาทมาให้ข้าอีก”
“เจ้ายังบังอาจขโมยตำราในห้องทรงพระอักษรของฝ่าบาท!” เสียงขององค์หญิงจินเหยาดังขึ้น
เฉินตันจูลุกขึ้นยืนด้วยความตกตะลึงและความดีใจ นางมองหญิงสาวที่เดินเข้ามา ไม่ได้พบเจอเป็นเวลานาน ใบหน้าขององค์หญิงจินเหยาดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย
“องค์หญิง ท่านทรงเป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางเดินขึ้นมาจับมือของอีกฝ่าย พลันถามด้วยความห่วงใย
เดิมทีองค์หญิงจินเหยามีคำถามมากมาย อีกทั้งยังคิดจะทำหน้าบึ้ง แต่เมื่อนางถูกหญิงสาวนี้จับมือเอาไว้ นางก็รู้สึกว่าไม่ต้องถามสิ่งใด ใบหน้าก็ผ่อนคลายลง
“ตันจู” นางถอนหายใจเสียงเบา “เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
ประโยคนี้ไม่ใช่คำถาม หากแต่เป็นการอุทาน
เฉินตันจูจับมือของนางแน่น “องค์ชายหกทรงเอ่ยว่าฝ่าบาทไม่ได้ประชวรเพราะโกรธเขา ส่วนเรื่องการวางยาพิษยิ่งเหลวไหล”
องค์หญิงจินเหยาจับมือของนางแน่นเช่นเดียวกัน ดวงตาของนางแดงก่ำ “ข้ารู้ เสด็จพี่หกไม่มีทางวางยาทำร้ายเสด็จพ่อ เนื่องจากไม่จำเป็น เขาไม่เคยขอสิ่งใดจากเสด็จพ่อแม้แต่น้อย”
ไม่เคยขอย่อมไม่เกิดความผิดหวังหรือความแค้น ยิ่งไม่มีทางอาฆาต
เฉินตันจูเอ่ยขึ้น “ได้ยินท่านเอ่ยเช่นนี้ แม้เวลานี้จะอยู่ในสถานการณ์อันตราย องค์ชายหกย่อมต้องดีใจอย่างมาก”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะ พลันยื่นมือจิ้มหน้าผากของนาง “ดูเจ้าพูดเข้า สนิทกับเสด็จพี่หกมากกว่าข้าเสียอีก เวลานี้เจ้าก็เริ่มตั้งท่าเป็นพี่สะใภ้แล้วหรือ”
เฉินตันจูหัวเราะพลันหลบออก “ตั้งท่าอย่างไรกัน ฝ่าบาททรงมีสัจจะ หม่อมฉันเป็นพี่สะใภ้ขององค์หญิงอย่างแน่นอน มา เรียกให้ฟังหน่อย”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะจนฟุบลงกับโต๊ะ หัวเราะไปหัวเราะมาก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
“ตันจู” นางพูดเสียงเบา “ขอโทษจริงๆ ทำให้เจ้าต้องมาเดือดร้อน”
เฉินตันจูทำสีหน้าเศร้าโศก “คำพูดนี้ต้องให้เสด็จพี่หกของท่านมาพูด”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะขึ้นอีกครั้ง นางมองซ้ายมองขวาพลันกดเสียงต่ำ “เสด็จพี่หกจะทรงพูดแบบนี้หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้สึกว่าเสด็จพี่หกต้องทรงเป็นห่วงเจ้าอยู่ด้านนอกอย่างมาก ไม่แน่ว่าอาจหนีไปไม่ไกล”
ไม่แน่ว่าอาจมาช่วยนาง
แม้จะอธิบายไม่ได้ แต่เฉินตันจูก็อดคิดเช่นนี้ไม่ได้เหมือนกัน นางถอนหายใจอีกครั้ง ดังนั้นองค์รัชทายาทก็คิดเช่นเดียวกัน จับนางขังไว้เพื่อใส่ร้ายป้ายสี และเพื่อหลอกล่อฉู่อวี๋หยง
เมื่อเห็นความไม่สบายใจของนาง องค์หญิงจินเหยาจึงจับมือของนางเอาไว้ “อย่ากังวล เสด็จพ่อนับวันยิ่งทรงอาการดีขึ้น ถึงแม้ยังทรงเอ่ยปากไม่ได้ แต่เวลาที่พระองค์ทรงฟื้นอยู่นั้นนานขึ้น” พูดถึงตรงนี้นางก็กัดฟันกรอด “เสด็จพ่อนับวันยิ่งทรงดีขึ้น แต่องค์รัชทายาทไม่ยอมให้พวกเราเข้าเฝ้า เสด็จพ่อไม่ใช่เสด็จพ่อของเขาคนเดียว เมื่อได้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ข้าจะถามว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ข้าไม่เชื่อว่าเสด็จพ่อจะทรงปฏิบัติต่อเสด็จพี่หกเช่นนี้ เสด็จพี่หกทำความดีความชอบไว้มากมาย…”
เฉินตันจูได้ยินจึงสงสัย นางถาม “องค์ชายหกสร้างความดีความชอบมากมายหรือ”
เหตุใดผู้คนจึงไม่รู้
จินเหยาแทบจะกัดลิ้นตัวเองจึงจะหยุดพูด เวลานี้เสด็จพ่อและองค์รัชทายาทเป็นเช่นนี้ ความลับขององค์ชายหกยิ่งไม่อาจรั่วไหลออกไปได้ มิฉะนั้นไม่รู้จะเกิดความโกลาหลอย่างไร…
อีกทั้งความจริงแล้ว นางยังมีความคิดที่ไม่อยากจะเผชิญหน้า บางทีองค์รัชทายาทอาจไม่ได้โกหก ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการประหารองค์ชายหกจริง สาเหตุก็คือฉู่อวี๋หยงเคยเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
ในฐานะองค์หญิงที่ชำนาญในการชนมุม นางรู้ถึงความน่ากลัวและภัยคุกคามจากพลัง แม้จะเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่อ่อนแอเพียงใดในสนามชนมุมก็ไม่อาจชะล่าใจได้
อีกทั้งในสายตาของฮ่องเต้และองค์รัชทายาท ฉู่อวี๋หยงก็คือภัยคุกคาม
แต่ฉู่อวี๋หยงก็เป็นโอรสเหมือนกัน จับขังเอาไว้ หรือขับไล่ยังไม่พอหรือ เหตุใดเสด็จพ่อจึง…
เมื่อเห็นสีหน้าขององค์หญิงจินเหยา เฉินตันจูก็มั่นใจว่าระหว่างองค์ชายหกกับฮ่องเต้มีความลับที่ผู้อื่นไม่อาจรับรู้ได้ อีกทั้งยังเป็นสาเหตุที่แท้จริงของเรื่องในคราวนี้
เรื่องใดกัน
ที่ทำให้ฮ่องเต้เกิดความคิดที่จะกำจัดโอรสคนนี้
สิ่งที่ทำให้ฮ่องเต้เกิดความคิดที่จะกำจัดมีเพียงภัยคุกคาม
องค์ชายที่ไร้ซึ่งรากฐานและร่างกายอ่อนแอจะมีภัยคุกคามได้อย่างไร
องครักษ์หลวงเหล่านั้น เฟิงหลิน หวังเจียน…
บุคคลต่างๆ แวบเข้ามาในหัวราวกับสายฟ้า ราวกับมีความคิดบางอย่างกำลังจะงอกเงยออกมา…
“คุณหนูตันจู องค์หญิง แย่แล้ว” เสียงฝีเท้าเร่งรีบ อาจี๋วิ่งพลันตะโกนเข้ามาจากด้านนอก ตัดขาดความคิดของพวกนาง
เฉินตันจูและองค์หญิงจินเหยาลุกพรวดขึ้นยืนในเวลาเดียวกัน หรือว่าฮ่องเต้…
“ไม่ใช่” อาจี๋มองสีหน้าซีดเผือดของคนทั้งสอง รีบกลืนน้ำลายลงคอพลันปลอบ “ไม่ใช่ฝ่าบาท แต่ทูตจากซีเหลียงมาพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินตันจูและองค์หญิงจินเหยานั่งลงอย่างอ่อนแรง ตกใจแทบแย่
“ทูตซีเหลียงมาก็มา มีเรื่องใดแย่กัน” องค์หญิงจินเหยาตวาดด้วยความโกรธ
อาจี๋มองนางด้วยสีหน้าเศร้า “องค์หญิง ก่อนหน้านี้ทูตซีเหลียงทูลขอองค์หญิงให้ท่านอ๋องซีเหลียงต่อองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”