บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 412 รับรู้
ห้องด้านในที่มืดสลัวเงียบสงัด
องค์รัชทายาทชะงักไปชั่วขณะ เขาสงสัยว่าตนเองหูฝาดไป แต่เขาก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ
“เสด็จพ่อ” เขาพูดตะกุกตะกัก “กระหม่อมรู้ว่าน้องหกทำให้พระองค์ทรงโกรธ กระหม่อมจะลงโทษเขา…”
ฮ่องเต้ทรงกริ้วเพียงนี้เชียวหรือ หรืออาจทรงตระหนกจากพระอาการประชวรที่วิกฤตอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงตรัสว่าจะประหารฉู่อวี๋หยง ฮ่องเต้สามารถตรัสเช่นนี้ได้ แต่เขาในฐานะองค์รัชทายาทไม่อาจคล้อยตามได้ มิเช่นนั้นฮ่องเต้จะทรงสงสารน้องหกขึ้นมา
ฮ่องเต้อ้าปากอีกครั้ง แต่ส่งเสียงไม่ได้ เขาทำได้เพียงจับมือองค์รัชทายาทไว้แน่น องค์รัชทายาทรู้สึกว่าข้อมือของเขาถูกฮ่องเต้บีบจนเขียวแล้ว นี่…
เนื่องจากพูดไม่ออก ฮ่องเต้จึงดูกระวนกระวายมากขึ้น เขามองไปที่ขันทีจิ้นจง พลันชี้นิ้วไปทางอีกฝ่าย
มือที่ราวกับกิ่งไม้แห้งข้างนั้นมีเส้นเลือดปูดโปน ขันทีจิ้นจงที่หยุดนิ่งดูเหมือนหวาดกลัวไม่น้อย เขาก้าวถอยหลังไป พูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาท…”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความตกใจและความอ้อนวอน
สายตาของฮ่องเต้มองเขาด้วยความโกรธ
“ฝ่าบาท พระองค์จะทรงดีขึ้น” ขันทีจิ้นจงคุกเข่าลง กล่าวเสียงสั่น “พระองค์อย่าทรงกังวล…”
ฮ่องเต้สั่นสะท้านไปทั้งตัวราวกับว่าเขากำลังจะหมดสติในไม่ช้า
ในที่สุดองค์รัชทายาทก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขามองขันทีจิ้นจงด้วยความสงสัย “เสด็จพ่อมีรับสั่งใด เจ้าน้อมรับเอาไว้ก่อน” เขามองออกไปข้างนอกห้องที่มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น หมอหลวงจาง หูไต้ฟูและบรรดาขันทีที่ได้ยินข่าวต่างกำลังจะเข้ามา
ขันทีจิ้นจงตะโกนไปทางด้านนอก “อย่าเข้ามา! ออกไปให้หมด!”
เสียงอึกทึกวุ่นวายหายไป ทั้งภายในและภายนอกเงียบสงัด มีเพียงเสียงหอบหายใจถี่ของฮ่องเต้ปะปนไปด้วยเสียงแหบแห้งในลำคอ
ขันทีจิ้นจงก้มศีรษะต่อองค์รัชทายาท “องค์รัชทายาท ฉู่อวี๋หยงคือแม่ทัพหน้ากากเหล็กพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทรู้สึกเหมือนหูไม่ได้ยินเสียง
สมองของเขาว่างเปล่า มีเพียงสองประโยคที่วนเวียนอยู่ในนั้น ผู้ใดคือฉู่อวี๋หยง ผู้ใดคือแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
ใบหน้าของเขาซีดลงอย่างช้าๆ
แล้วเขาเป็นอะไร
…
พระสนมสวีไม่ได้กลับตำหนักของตนเอง อีกทั้งยังเฝ้าอยู่นอกห้องบรรทมของฮ่องเต้อยู่ตลอดเวลา ฉู่ซิวหยงย่อมต้องติดตาม องค์หญิงจินเหยาก็อยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีข้าราชบริพารที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป
พวกเขาสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เป็นเวลาแรก พวกเขาเห็นบรรดาขันทีที่ยืนอยู่ข้างนอกเดินเข้าไปอย่างรีบร้อน หมอหลวงจางและหูไต้ฟูที่กำลังโต้เถียงเรื่องใบสั่งยาอยู่นอกประตูก็เข้าไปด้านในด้วย
“ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วหรือ!” องค์หญิงจินเหยาตะโกน พลันยกชายกระโปรงวิ่งเข้าไปด้านใน
คนอื่นต่างตามหลังมาติดๆ แต่ทันทีที่พวกเขาเดินไปถึงหน้าประตู พวกเขาก็เห็นขันที รวมทั้งหมอหลวงจางและหูไต้ฟูที่หลั่งไหลเข้าไปต่างถอยออกมา อีกทั้งยังได้ยินเสียงของขันทีจิ้นจงดังขึ้น “…ถอยออกไปให้หมด!”
ทุกคนชะงักฝีเท้าด้วยความประหลาดใจและงงงวย
เกิดอันใดขึ้นหรือ
ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วหรือไม่
เหตุใดขันทีจิ้นจงจึงไม่ให้คนเข้าไป
พระสนมสวีอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉู่ซิวหยง ฉู่ซิวหยงก็เกิดความฉงนเล็กน้อย ทุกอย่างเป็นไปตามคาด แม้แต่เวลาการฟื้นของฮ่องเต้ก็ไม่คลาดเคลื่อนนัก มีเพียงปฏิกิริยาของขันทีจิ้นจงที่ผิดปกติ
ฮ่องเต้มีรับสั่งใดหรือ ถึงแม้จะทรงฟื้นแล้ว แต่พระองค์ก็ยังไม่หายสนิท อีกทั้งไม่สามารถพูดได้อย่างสมบูรณ์ เขาจะรับสั่งเรื่องใดได้
หลังจากมึนงงไปครู่หนึ่ง ข้าราชบริพารที่ตามมาก็กระวนกระวาย ขันทีจะควบคุมฝ่าบาทได้อย่างไร! แม้ว่าองค์รัชทายาทจะอยู่ข้างในก็ทำไม่ได้ ถึงแม้องค์รัชทายาทก็เป็นมกุฎราชกุมาร แต่ตราบใดที่ฮ่องเต้ยังอยู่ พวกเขาก็ยังเป็นข้าราชบริพารของฮ่องเต้
“ฝ่าบาททรงเป็นอย่างไรบ้าง” ขุนนางอาวุโสตะโกน “เหตุใดจึงไม่ให้หมอหลวงเข้าไปตรวจดู! พวกข้าจะเข้าไปด้านในแล้ว”
โชคดีที่ขันทีจิ้นจงไม่ห้ามอีก เสียงขององค์รัชทายาทก็ดังขึ้น “หมอหลวงจาง หูไต้ฟู ใต้เท้าเหลียว พวกท่านเข้ามาก่อนเถิด คนอื่นรออยู่ข้างนอกก่อน ฝ่าบาทเพิ่งทรงฟื้น อย่าได้เบียดกันเข้ามาทั้งหมด”
ฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นแล้วจริงหรือ ทุกคนต่างรู้สึกสบายใจขึ้นในชั่วขณะ หมอหลวงจาง หูไต้ฟูและขุนนางใหญ่หลายคนต่างเดินเข้าไป พวกเขาเห็นขันทีจิ้นจงและองค์รัชทายาทกำลังคุกเข่าอยู่ข้างเตียง องค์รัชทายาทกำลังจับมือของฮ่องเต้เอาไว้
ภายใต้แสงสลัว ใบหน้าของฮ่องเต้ก็มืดสลัว แต่ดวงตาของเขาลืมขึ้นมาแล้ว ดวงตาของเขาจ้องมองเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้น
องค์รัชทายาทก็มองไปยังฮ่องเต้ เสียงของเขาแหบพร่าและแผ่วเบา “เสด็จพ่อ กระหม่อมรู้แล้ว พระองค์ทรงไม่ต้องกังวล พวกเราให้ไต้ฟูดูอาการก่อน พระองค์ต้องรีบดีขึ้น ทุกอย่างจึงจะดีขึ้น”
คำพูดนี้ปลอบประโลมฮ่องเต้ ในที่สุดองค์รัชทายาทก็สามารถดึงมือออกมา เขาอยู่ยืนด้านข้าง ปล่อยให้หมอหลวงจางและหูไต้ฟูขึ้นหน้าตรวจดูอาการ ขุนนางใหญ่ทั้งหลายต่างยืนเรียกขานฝ่าบาทเสียงเบาที่ข้างเตียง
แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก เขาไม่ได้ส่งเสียงอีก ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ปิดลง
…
ค่ำคืนปกคลุมวังหลวง วังหลวงกว้างใหญ่เกินไป ไม่ว่าจะมีแสงไฟมากมายเพียงใดก็ยังมีสถานที่ที่แสงไฟส่องไปไม่ถึง ร่างหนึ่งเดินอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืด นาทีถัดมา ลมในยามค่ำคืนที่อ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นแหลมคมพุ่งตรงไปทางเขา คนผู้นั้นล้มลงกับพื้นด้วยเสียงโอดครวญอู้อี้
คบเพลิงสว่างขึ้น ส่องให้เห็นถึงคนมากมายในเงามืด รวมไปถึงคนที่อยู่บนพื้น คนผู้นี้เป็นขันที ทหารรักษาพระองค์ที่ถือคบเพลิงยื่นมือพลิกตัวของขันทีกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่มีเอกลักษณ์ใด
แต่องค์รัชทายาทไม่รู้สึกแปลกตาต่อคนผู้นี้ เขาเดินออกมาจากท่ามกลางองครักษ์ มองขันทีคนสำคัญข้างกายเสด็จพ่ออย่างเย็นชา
ขันทีระดับนี้ แม้แต่องค์รัชทายาทอย่างเขายังไม่อาจสั่งการได้
ขันทีจิ้นจงพูดด้วยเสียงแผ่วเบาอยู่ข้างหลังเขา “ฝ่าบาททรงทราบว่าองค์ชายหกมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับบรรดาขันทีรอบตัวของพระองค์”
อืม ใช่ ทั้งองค์ชายหกและฮ่องเต้ต่างรู้ มีแต่เขาที่ไม่รู้
องค์รัชทายาทไม่พูดสิ่งใด
“คนผู้นี้ตายแล้ว ข่าวทางนี้จะไม่รั่วไหลออกไปในตอนนี้” ขันทีจิ้นจงพูดต่อ “องค์รัชทายาทโปรดทรงจัดการให้เร็วที่สุด”
เขาจะจัดการอย่างไร เขามีความสามารถใดจัดการ อีกฝ่ายคือแม่ทัพหน้ากากเหล็ก องค์รัชทายาทยิ้มเยาะเย้ยในใจ มองอีกฝ่ายแต่ไม่พูดอะไร
ขันทีจิ้นจงหลุบตาลงท่ามกลางความมืด “อย่าเคลื่อนไหวทหารองครักษ์ ทหารองครักษ์มีคนขององค์ชายหกไม่น้อย ให้องครักษ์ลับข้างกายฝ่าบาทไปเถิด”
อืม ทั้งองค์ชายหกและฝ่าบาทต่างมีกำลังคน มีแต่เขาที่ไม่มี องค์รัชทายาทยังคงไม่พูดสิ่งใด
ขันทีจิ้นจงยกมือขึ้น พลันโบกมือให้ทหารรักษาพระองค์ที่อยู่รอบด้าน คบเพลิงดับลงทันที ลมกระโชกแรงพัดออกจากพระราชวัง พุ่งตรงไปยังจวนขององค์ชายหก
…
เสียงมีดดาบกระทบกันดังขึ้น เปลวไฟสาดส่องในความมืด อีกทั้งยังมีเลือดกระเซ็นบนใบหน้า เฉินตันจูลุกขึ้นนั่งพร้อมกับกรีดร้องด้วยความตกใจ แสงไฟมืดสลัว นางกุมหัวใจที่กำลังเต้นระรัวเอาไว้
“คุณหนู?” เสียงของอาเถียนดังมาจากข้างนอก ภายในห้องสว่างขึ้น
เฉินตันจูมองไปรอบๆ สายตาของนางจับจ้องไปที่โคมไฟในมือของอาเถียน โคมไฟนั้นเป็นโคมไฟพระจันทร์ที่ฉู่อวี๋หยงให้มา มุมปากของนางยกขึ้น
“ไม่เป็นอันใด” นางพูด “ข้าแค่ฝันร้าย”
นางไม่ได้ฝันร้ายมาพักหนึ่งแล้ว จึงรู้สึกไม่ชินในเวลาแรก อาจเป็นเพราะนับแต่ฮ่องเต้ประชวร นางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา
อาเถียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลันจะเดินไปรินชา ทันใดนั้นเสียงประตูดังขึ้นแผ่วเบา มีคนพุ่งเข้ามาพร้อมกับสายลมยามค่ำคืนทำให้โคมไฟพระจันทร์ไหววูบไปเล็กน้อย
“จู๋หลิน” อาเถียนกุมหน้าอกพลันตะโกน “เจ้าทำให้ข้าตกใจ”
จู๋หลินยืนอยู่นอกห้องนอน ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่ง “คุณหนู องค์ชายหกส่งมาขอรับ”
ฉู่อวี๋หยงหรือ เฉินตันจูลุกจากเตียงเดินเท้าเปล่าไปรับมา อาเถียนรีบถือโคมไฟตามไป โคมไฟส่องแสงลงบนกระดาษมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือยุ่งเหยิง
‘มีเรื่อง แต่อย่ากลัว’
เฉินตันจูถือกระดาษแผ่นนี้เอาไว้ หัวใจของนางหล่นลงมา เกิดเรื่องขึ้นจริงด้วย
นางเปิดโคมไฟพระจันทร์ นำกระดาษทาบลงบนเปลวไฟ กระดาษจดหมายแผ่นนั้นมีควันลอยขึ้นทันที เปลวไฟก็ดับไป ภายในห้องตกอยู่ในความมืด