บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 410 มองมา
ราชสำนักไม่ได้ปิดบังข่าวการประชวรของฮ่องเต้ ข่าวถูกแพร่กระจายออกไปในไม่ช้า
บนถนนชุมชนแห่งหนึ่งนอกเมืองซีจิง บัณฑิตวัยกลางคนผู้หนึ่งมือถือใบกล้วย กำลังขี่ลาตัวหนึ่งเดินเคลื่อนที่เข้ามา เมื่อเห็นเขามา บรรดาเด็กน้อยที่เล่นซนอยู่ในแปลงนาต่างล้อมเข้ามาตะโกนด้วยความดีใจ “หยวนไต้ฟู”
หยวนไต้ฟูนำใบกล้วยในมือโยนให้เด็กน้อยทั้งหลาย เหล่าเด็กน้อยแย่งกันชูขึ้นราวกับธง ก่อนจะกระจายตัวไปเล่นซนกันต่อ
เมื่อเดินทางเข้าชุมชนมา หยวนไต้ฟูปล่อยให้ลาตัวน้อยเดินเล่น ส่วนตนเองเดินไปถึงหน้าประตูจวนตระกูลเฉิน ประตูเปิดอ้าไว้ ด้านในมีเสียงหัวเราะของเด็กดังขึ้น
สาวรับใช้เสี่ยวเตี๋ยชะลอฝีเท้าลง ให้เด็กน้อยเดินมาจับตนเองเอาไว้อย่างโซซัดโซเซ “นายน้อยเก่งเหลือเกิน”
นางหัวเราะพลันอุ้มเด็กน้อยขึ้นมา ก่อนจะเงยหน้าเห็นบัณฑิตที่ยืนอยู่ด้านนอกประตู รอยยิ้มของนางกว้างขึ้น
“หยวนไต้ฟูมาแล้ว”
เฉินตันเหยียนเดินออกมาจากลานด้านข้าง เห็นหยวนไต้ฟูกำลังตรวจดูอาการของเด็กน้อย จากนั้นตบไหล่ของเด็กน้อย “เสี่ยวหยวนเติบโตอย่างแข็งแรง ไปเล่นเถิด”
เสี่ยวเตี๋ยอุ้มเด็กน้อยถอยออกไป เฉินตันเหยียนเชิญหยวนไต้ฟูเข้ามานั่งในลาน พลันยิ้มเล็กน้อย “เห็นหยวนไต้ฟูมาช่างดีใจและกังวลใจ”
เนื่องจากส่วนใหญ่ที่เขามาก็เพื่อส่งข่าวของเฉินตันจูในเมืองหลวง
สำหรับตระกูลเฉินแล้ว ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี
หยวนไต้ฟูยิ้มขมขื่น “คุณหนูใหญ่พูดถูกแล้ว คราวนี้ไม่ใช่ข่าวดี”
ฮ่องเต้ประชวร ตกอยู่ในอาการสลบ ส่วนคุณหนูตันจูกลายเป็นต้นเหตุ
หลังจากฟังหยวนไต้ฟูเล่าจบ เฉินตันเหยียนก็ถอนหายใจอย่างระอา “ทำอันใดไม่ได้ ในเมื่อมีคนวางแผนใส่ร้าย ตันจูไม่ว่าจะหลบอย่างไรก็หลบไม่พ้น หยวนไต้ฟู คราวนี้ฝ่าบาทจะทรงทำอย่างไร”
“อาการของฝ่าบาทในคราวนี้แปลกประหลาด เป็นการถูกคนตั้งใจทำร้าย” หยวนไต้ฟูพูดเสียงเบา “ดูจากเวลานี้ เป้าหมายไม่ใช่องค์ชายหกกับคุณหนูตันจู”
เฉินตันเหยียนโล่งใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเบาๆ “ตันจูของพวกเราต้องอภิเษกกับองค์ชายหกจริงหรือ”
หยวนไต้ฟูพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าเรื่องเป็นอย่างไร ข้ารู้เพียงองค์ชายของพวกเราไม่ใช่คนที่ยอมให้ตนเองลำบาก เรื่องที่ฝืนใจของตนเองเขาย่อมไม่ทำ”
แสดงว่าองค์ชายหกจริงใจต่อตันจูอย่างนั้นหรือ เฉินตันเหยียนครุ่นคิด “ถึงแม้เรื่องที่ตันจูทำในเวลานี้ล้วนเกินความคาดหมายของข้า แต่มีข้อหนึ่งที่ข้ามั่นใจ เรื่องที่นางทำล้วนเป็นเรื่องที่นางต้องการ”
หยวนไต้ฟูหัวเราะขึ้นมา ยกแก้วชาบนโต๊ะขึ้น “ช่างน่าเสียดาย เดิมทีตามแผนการขององค์ชายหก ไม่นานหลังจากนี้พวกเราย่อมดื่มด้วยกันสักจอกได้แล้ว”
เฉินตันเหยียนยกแก้วชาชนกับเขาเบาๆ “ขอให้พวกเขาข้ามผ่านวิกฤตในครั้งนี้ไปได้”
หยวนไต้ฟูหัวเราะอีกครั้ง จากนั้นดื่มชาจนหมด
กระทั่งเดินออกจากชุมชน ในปากของเขายังคงเหลือความหอมหวานของน้ำชา
การพูดคุยกับคนบางคนช่างน่ายินดี
ลาน้อยกำลังเคี้ยวแตงกวาที่ขโมยมาจากเรือนใดเรือนหนึ่ง มันก็เดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้าบนถนนในชุมชนด้วยความสุข
ระหว่างแปลงนามีเสียงของเด็กๆ ดังขึ้น “จับเขาเอาไว้!”
“พวกเขาจะหนีแล้ว!”
เสียงละอ่อนของเด็กน้อย ปะปนไปด้วยเสียงตะโกนที่ของคนชรา “อ้อมไปทางตะวันตก!”
หยวนไต้ฟูเงยหน้ามองไปตามเสียง เห็นในแปลงนามีเด็กหลายคนกำลังวิ่งอยู่ บนคันนามีชายชราที่สวมเสื้อแขนสั้นยืนอยู่ มือหนึ่งถือจอบ มือหนึ่งถือใบกล้วย เขากำลังใช้ใบกล้วยเป็นธง ออกคำสั่งให้เด็กๆ ทั้งหลายวิ่งไปทางไกล
ระยะไกลมีชายชราตัวเตี้ยอีกคน เขานำเด็กเจ็ดแปดคนส่งเสียงร้องโวยวายขึ้นมา
ทั้งเด็กทั้งคนชราต่างเล่นกันอย่างสนุกสนาน
หยวนไต้ฟูหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เขาเร่งลาตัวน้อยให้เดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ข่าวการประชวรของฮ่องเต้ยังไม่มาถึงหูของราษฎรเมืองซีจิง เมืองซีจิงยังคงคึกคักเหมือนเคย คนเข้าออกประตูเมืองต่อเนื่องไม่ขาดสาย มีราษฎรทั่วไปและพ่อค้าจากสี่ทิศแปดด้าน หยวนไต้ฟูเดินไปถึงหน้าประตูเมือง เขาเห็นคนซีเหลียงขบวนหนึ่ง อีกทั้งยังมีขุนนาง ทหารและม้าติดตาม ด้วยเหตุนี้ประตูเมืองจึงแออัด บรรดาราษฎรถูกรั้งเอาไว้อยู่ด้านหลัง
“พวกเขาเป็นขุนนางจากซีเหลียง” หยวนไต้ฟูจำเครื่องแต่งกายได้ เขาถามคนริมทางอย่างสงสัย “คนซีเหลียงมาทำอันใดหรือ”
ตอนเริ่มก่อตั้งราชวงศ์ต้าเซี่ยเคยทำสงครามกับซีเหลียงหลายครั้ง สุดท้ายจบสิ้นด้วยการที่ซีเหลียงยอมแพ้ ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายไม่ก่อสงครามขึ้นอีก แต่ความสัมพันธ์ก็ไม่แน่นแฟ้นนัก
เวลานี้ไม่ใช่ทั้งปีใหม่หรือวันเกิดของฮ่องเต้
“องค์ชายทั้งสามถูกสถาปนาเป็นท่านอ๋องอย่างไรเล่า” คนริมทางพูดอย่างดีใจ พลันชี้ไปยังรถที่อยู่ในขบวน “บอกว่าเป็นของกำนัลที่ให้ท่านอ๋องทั้งสาม”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หยวนไต้ฟูพยักหน้า เมื่อการตรวจตราใกล้เสร็จสิ้น บรรดาขุนนางของซีจิงจึงนำทูตจากซีเหลียงเข้าเมืองไป บริเวณประตูเมืองก็กลับมาเป็นระเบียบ
หยวนไต้ฟูไม่เข้าไปในเมืองโดยตรง หากแต่ให้ลาน้อยดื่มน้ำที่ด้านนอกของโรงน้ำชาริมทาง ส่วนตนเองเดินเข้าไปหาหัวหน้าองครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกประตูเมือง ถาม “คนของซีเหลียงมามากน้อยเพียงใด”
หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นตอบเสียงเบา “ไม่มาก มีขุนนางเพียงสามคน ผู้ติดตามยี่สิบคน สิ่งของที่ใส่บนรถม้าล้วนเป็นอัญมณีหายากจากซีเหลียง ดูท่าทางท่านอ๋องซีเหลียงจริงใจอย่างมาก”
หยวนไต้ฟูพยักหน้า ก่อนจะมองไปยังแผ่นหลังที่จากไปไกลของบรรดาขุนนางซีเหลียง “เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากพวกเขารู้ว่าฮ่องเต้ประชวรแล้ว จะยังจริงใจอยู่หรือไม่” เขาพูดกับหัวหน้าองครักษ์ “องค์ชายหกมีรับสั่งให้เฝ้าระวังซีจิงอย่างเข้มงวด”
หัวหน้าองครักษ์ก้มหน้าตอบรับ
…
ข่าวที่ทูตจากซีเหลียงถวายของกำนัลและจดหมายยินดีจากท่านอ๋องซีเหลียงถูกส่งไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
องค์รัชทายาทเผยรอยยิ้มอย่างหาได้ยาก “ช่างเป็นเรื่องน่ายินดี” เขายังออกคำสั่ง ให้ท่านอ๋องทั้งสามในตำหนักบรรทมของฮ่องเต้มาอ่านจดหมายยินดีของท่านอ๋องซีเหลียง
ในราชสำนักผ่อนคลายลงกว่าหลายวันก่อนมาก
องค์รัชทายาททั้งดีใจทั้งเสียใจ “หากเสด็จพ่อได้ยินจะดีใจเพียงใด”
บรรดาขุนนางและท่านอ๋องทั้งสามต่างร้องไห้ด้วยความโศกเศร้า ก่อนจะขอพรให้ฮ่องเต้ ในขณะที่กำลังคึกคัก มีรายงานว่าท่านโหวโจวมา
นับแต่ฮ่องเต้ประชวร โจวเสวียนก็นั่งบัญชาการอยู่ในค่ายเมืองหลวงเสมอ แต่เมื่อหลายวันก่อนได้รับข่าวบอกว่าโจวเสวียนออกจากค่ายไปที่ใดสักแห่ง ขุนนางในราชสำนักไม่พอใจต่อเรื่องนี้อย่างมาก ก่อนหน้านี้โจวเสวียนถูกฮ่องเต้ตามใจก็แล้วไป เวลานี้ฮ่องเต้ประชวร โจวเสวียนยังไม่รักษากฎระเบียบเช่นนี้ เหลวไหลสิ้นดี
แต่เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทก็ตามใจโจวเสวียนเหมือนฮ่องเต้ เขาส่งคนไปถามโจวเสวียนว่ากำลังทำเรื่องใดอย่างไม่ทุกข์ร้อน แต่ไม่ได้คาดโทษ
เวลานี้ได้ยินว่าโจวเสวียนกลับมาแล้ว องค์รัชทายาทรีบเรียกพบอย่างดีใจ ไม่นานนักโจวเสวียนก็เดินเข้ามา ใบหน้าเปรอะเปื้อน ด้านหลังมีชายชราผมขาวคนหนึ่งติดตามมา
“องค์รัชทายาท” เขาเดินเข้ามาในตำหนักก็ตะโกนเสียงดัง “กระหม่อมหาหมอเทวดาได้แล้ว เขาสามารถรักษาฝ่าบาทได้!”
…
ถึงแม้ท่านอ๋องทั้งสามผลัดกันเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อให้องค์รัชทายาทสามารถตั้งใจทรงงาน ไม่ปล่อยให้องค์รัชทายาทไม่หลับไม่นอน แต่องค์รัชทายาทยังคงพักอยู่ในตำหนักด้านข้างของตำหนักบรรทม แต่ละคืนเขามักจะเข้าไปดูฮ่องเต้ก่อนจะกลับไปพักผ่อน ตอนเช้าเฝ้าฮ่องเต้เสวยอาหารแล้วไปว่าราชการ
วันนี้ฟ้ายังไม่สว่าง องค์รัชทายาทก็ตื่นขึ้นมาจากฝัน ฝูชิงได้ยินเสียงจึงรีบเดินเข้ามา
“องค์รัชทายาท เวลายังเช้าอยู่ ท่านบรรทมต่ออีกเถิด” เขาเกลี้ยมกล่อมเสียงเบา
องค์รัชทายาทพูด “นอนไม่หลับ” พลันเดินออกไปด้านนอก “ทางเสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง หมอเทวดาผู้นั้นใช้ยาไปกี่ครั้งแล้ว”
โจวเสวียนหาหมอเทวดาที่มีสูตรฟื้นคืนชีพจากท้องถิ่นมา เวลานั้นบรรดาขุนนางในราชสำนักต่างสงสัย สูตรลับพื้นบ้านล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง แต่องค์รัชทายาทร้อนใจ จึงให้โจวเสวียนส่งคนไป
วันนี้เป็นวันที่สามที่หมอเทวดาผู้นี้รักษาให้ฮ่องเต้
“หมอเทวดานั้นบอกแล้ว ยาสามชุด ฝังเข็มสองครั้ง” องค์รัชทายาทพูดต่อ “ก็จะทำให้เสด็จพ่อดีขึ้น”
ฝูชิงปรนนิบัติองค์รัชทายาทเปลี่ยนชุดด้วยตนเอง เขาพูดอย่างระอา “วันนี้ก็ครบยาสามชุด ฝังเข็มสองครั้งแล้ว แต่หากไม่ดีขึ้น ท่านจะคาดโทษโจวเสวียนหรือ”
ย่อมไม่ องค์รัชทายาทถอนหายใจ “อาเสวียนเชื่อแม้แต่สูตรลับพื้นบ้าน เขาคงกระวนกระวายอย่างมาก ไม่เสียแรงที่เสด็จพ่อรักใคร่เขา”
ฝูชิงพูด “ดังนั้น องค์รัชทายาทก็อย่าทรงคาดหวังมาก ปล่อยให้ท่านโหวแสดงความกตัญญู จากนั้นให้สำนักหมอหลวงรักษาต่อเถิด”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็มีขันทีวิ่งเข้ามาจากด้านนอกอย่างรีบร้อน “องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท ฝ่าบาททรงดีขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อสิ้นเสียง องค์รัชทายาทกับฝูชิงต่างผงะไป ดีขึ้นแล้ว? ดีขึ้นอย่างไร
ขันทีผู้นั้นดีใจจนเสียงแตก “ฝ่าบาทลืมตาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฝูชิงตั้งสติได้ก่อน “ยินดีกับฝ่าบาท ยินดีกับองค์รัชทายาท”
องค์รัชทายาทน้ำตารื้นขึ้นมาในทันที ในขณะที่กำลังจะวิ่งออกไปด้านนอก ก็ถูกฝูชิงดึงเอาไว้ทันเวลา “องค์รัชทายาท เครื่องแต่งกายยังไม่เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ” เขาเร่งเร้าบรรดาขันทีรอบด้าน “เร็วเข้าๆ”
องค์รัชทายาทลงมือสวมใส่โดยไม่ต้องให้คนอื่นช่วย “ไปดูเสด็จพ่อก่อน” จากนั้นก็พุ่งตัวออกไป บรรดาขันทีต่างรีบวิ่งตาม
เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่วตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ องค์รัชทายาทก้าวข้ามธรณีประตูอย่างรวดเร็ว แสงตกกระทบลงบนใบหน้าของเขา
ดีขึ้นแล้วหรือ?
ดีขึ้นแล้วจริงหรือ?