บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 409 เข้าไป
ตามรับสั่งขององค์รัชทายาท องครักษ์นำตัวเฉินตันจูและองค์ชายหกส่งกลับจวน พร้อมทั้งห้ามพวกเขาออกข้างนอก
บรรดาราษฎรที่เห็นฉากนี้ก็ไม่ได้ตกตะลึงมากนัก เรื่องที่องค์ชายหกทำให้ฮ่องเต้ทรงโกรธและประชวรเพราะเฉินตันจูถูกแพร่กระจายออกไปแล้ว
“คิดไม่ถึงเสียจริง”
“มีเรื่องใดคิดไม่ถึงกัน เฉินตันจูถูกตามใจเพียงนี้ ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเรื่อง”
“ข้าหมายความว่าคิดไม่ถึงว่าองค์ชายหกก็ถูกเฉินตันจูหลอกลวง เฮ้อ”
บรรดาราษฎรต่างถกเถียง ทั้งเจ็บใจทั้งถอนหายใจ ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็คาดเดาว่าฮ่องเต้จะข้ามผ่านอันตรายในคราวนี้ไปได้หรือไม่
ไม่ว่าองครักษ์จะกำชับอย่างเข้มงวดต่อองครักษ์นอกจวนอย่างไร เมื่อเข้าไปถึงภายในจวน ฉู่อวี๋หยงก็กระโดดลงจากรถเดินเข้าไปอย่างง่ายดาย ในเวลาเดียวกันเขาถามหวังเจียน “อาการของเสด็จพ่อเป็นอย่างไร”
เวลานั้นเขาคุกเข่ายอมรับผิดอยู่ข้างเตียง หวังเจียนจึงสามารถเข้าใกล้เพื่อตรวจดูอาการของฮ่องเต้
อีกทั้งหวังเจียนยังแอบตรวจชีพจรให้ฮ่องเต้ ขันทีจิ้นจงย่อมสังเกตเห็น แต่เขาไม่พูดสิ่งใด
เวลานั้นหวังเจียนก็แอบกระซิบเขา ฮ่องเต้ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เพียงแค่สลบไป
เช่นนั้นย่อมไม่ใช่โรค
“พิษหรือ” ฉู่อวี๋หยงถาม สายตามองไปทางด้านหน้า ก้าวเท้าเดินไปอย่างเชื่องช้า
หวังเจียนส่ายหน้า “ไม่ถือว่าเป็นพิษ หากแต่ตัวยาขัดกัน” พูดพลางส่งเสียงจิ๊ปาก “สำนักหมอหลวงมีผู้มากฝีมือ”
ฉู่อวี๋หยงชะงักเท้าลง ถาม “ท่านถอนได้หรือไม่”
คำถามนี้ทำให้หวังเจียนรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม เขาส่งเสียงไม่พอใจ “ย่อมได้” อีกทั้งปัญหาในเวลานี้ไม่ใช่เขา หากแต่เป็นฉู่อวี๋หยง “องค์ชายทรงทำให้ข้ารักษาให้ฮ่องเต้ได้หรือไม่”
หากฉู่อวี๋หยงยังเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เมื่อฮ่องเต้ประชวร คำพูดของเขายังมีอิทธิพลกว่าองค์รัชทายาท
เวลานี้เขาเป็นแค่องค์ชายหก อีกทั้งยังเป็นองค์ชายที่ถูกใส่ร้ายว่าทำให้ฮ่องเต้ประชวร นอกจากนี้องค์รัชทายาทยังรับสั่งให้กักขังเขาไว้ในจวน
แน่นอนว่ากักขังไม่อยู่ เพียงแต่สามารถกระทำสิ่งใดในวังหลวงได้อย่างอิสระหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการรักษาที่ต้องอยู่เฝ้าฮ่องเต้ ฝังเข็ม ต้มยา ป้อนยา
องค์รัชทายาทเฝ้าตำหนักบรรทมของฮ่องเต้เอาไว้ ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน คนในตำหนักก็เปลี่ยนเป็นคนขององค์รัชทายาทกว่าครึ่ง ดังนั้นถึงแม้ขันทีจิ้นจงจะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นที่หวังเจียนรักษาโรคให้ฮ่องเต้ แต่ก็ไม่อาจปิดบังผู้อื่นได้
“เป็นเพราะเฉินตันจู” หวังเจียนฉวยโอกาสพูดขึ้นอีกครั้ง “มิฉะนั้นก็ไม่ต้องลำบากเช่นนี้”
ฉู่อวี๋หยงไม่ชอบฟังคำพูดนี้ “พูดเช่นนี้ไม่ได้ หากไม่ใช่ตันจู เวลานี้ข้ายังเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เรื่องนี้ย่อมไม่เกิดขึ้น พวกเราก็ไม่รู้ว่าหมอหลวงจางจะมีใจอันไม่จงรักภักดีต่อเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้ทรงสลบไปเพราะตัวยาขัดกัน ผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงยาของฮ่องเต้มีเพียงหมอหลวงจาง เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับหมอหลวงจาง
“กระโดดออกมาแล้วอย่างไร” หวังเจียนถาม “ฝ่าบาทยังคง…”
“อย่างน้อยเวลานี้ เจตนาของหมอหลวงจางไม่ใช่ชีวิตของเสด็จพ่อ” ฉู่อวี๋หยงพูดขัดเขา “หากแม่ทัพหน้ากากเหล็กยังอยู่ เขาย่อมไม่มีโอกาส อีกทั้งไม่กล้าลงมือ สายธนูในใจย่อมต้องดึงตึงอย่างต่อเนื่อง เมื่อสายธนูขาดเมื่อใด ไม่แน่ว่าเขาอาจลงมือหนักกว่านี้”
ฮ่องเต้ย่อมไม่เพียงแค่สลบ หากแต่ไม่มีโอกาสช่วยชีวิตได้อีก
หวังเจียนกลอกตา อย่างไรเรื่องยังไม่เกิด เขาจะพูดอย่างไรก็ได้
ฉู่อวี๋หยงเดินพลันครุ่นคิด หวังเจียนไม่พูดสิ่งใดรบกวนเขา
ฉู่อวี๋หยงเดินสองก้าวแล้วหยุดลง มองหวังเจียนพลันถาม “ท่านรู้เรื่องบุตรชายคนโตของหมอหลวงจางหรือไม่”
หวังเจียนพูด “รู้ เด็กคนนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับองค์รัชทายาท ยังเคยเป็นสหายศึกษากับองค์รัชทายาท ป่วยตายตอนอายุสิบขวบ ฮ่องเต้ก็ชอบเด็กคนนี้มาก เวลานี้พูดถึงยังรู้สึกเสียดาย”
แต่นายน้อยใหญ่ตระกูลจางป่วย ไม่ใช่ถูกคนทำให้ตาย
ไม่มีความแค้น ย่อมไม่มีผลประโยชน์หรือผลเสีย
ฉู่อวี๋หยงพูดเสียงเบา “ข้าช่างสงสัยเสียจริงว่าผู้บงการโน้มน้าวหมอหลวงจางทำเรื่องนี้ได้อย่างไร”
สงสัยก็ไม่ควรจะสงสัยเพียงเรื่องนี้ หวังเจียนเบ้ปาก ตกลงผู้ใดเป็นผู้บงการ นอกจากให้องค์ชายหกเป็นแพะรับบาปแล้ว จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคืออันใดกันแน่
ในเมื่อคิดจะทำร้ายฮ่องเต้แล้ว เหตุใดจึงทำให้สลบเท่านั้น ช่างสิ้นเปลืองแรง
พระอาทิตย์ขึ้นและลาลับไป ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ก็ต้อนรับวันใหม่ แต่ฮ่องเต้ไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย
องค์รัชทายาทยืนอยู่ข้างเตียง ไม่รู้ว่าดวงตาแดงก่ำเพราะร้องไห้หรือไม่ได้นอน
หมอหลวงคนหนี่งถือยาเข้ามา องค์รัชทายาทยื่นมือไปรับ แต่ขุนนางที่เข้าเวรถอนหายใจเสียงเบาพลันเกลี้ยกล่อม “องค์รัชทายาท ให้คนอื่นทำเถิด พระองค์ทรงต้องว่าราชการแล้ว อย่างไรก็ต้องเสวยเสียบ้าง”
ท่านอ๋องเยียนที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบพูด “ใช่ ให้ข้าทำเถิด”
ท่านอ๋องหลูพยักหน้าอยู่ด้านหลัง
องค์รัชทายาทมองพวกเขา สายตาจับจ้องไปยังฉู่ซิวหยง ฉู่ซิวหยงไม่พูดสิ่งใด เมื่อเห็นเขามองมาจึงพูด “องค์รัชทายาท ตรงนี้มีพวกข้า”
องค์รัชทายาทจึงปล่อยมือ มองคนทั้งสามพลันพยักหน้าอย่างจริงจัง “ทางเสด็จพ่อต้องวานให้พวกเจ้าดูแลแล้ว”
ท่านอ๋องเยียนรับชามยามาแล้วนั่งลง “องค์รัชทายาทท่านตรัสสิ่งใดกัน เสด็จพ่อก็เป็นเสด็จพ่อของพวกเรา ทุกคนเป็นพี่น้อง เวลานี้ย่อมต้องช่วยเหลือกันและกัน”
องค์รัชทายาทเรียกขานน้องสอง
ฝูชิงตักเตือนเสียงเบาที่นอกประตู “องค์รัชทายาท ต้องทรงว่าราชการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้หมอหลวงจางก็เดินเข้ามาจากด้านนอก “องค์รัชทายาท ทางนี้มีกระหม่อม กระหม่อมรักษาโรคให้ฝ่าบาท ขอองค์รัชทายาทโปรดรักษาแผ่นดินเอาไว้ รีบเสด็จไปว่าราชการพ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาขันทีในห้องต่างคุกเข่าลง “ขอองค์รัชทายาททรงเสด็จไปว่าราชการพ่ะย่ะค่ะ”
ภายใต้การทูลขอของทุกคน องค์รัชทายาทโน้มตัวพูดเสียงเบาต่อหน้าฮ่องเต้ “กระหม่อมขอทูลลา” จากนั้นเดินออกจากตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ไป ห้องด้านนอกมีบรรดาขุนนางและขันทีถือชุดรอคอยปรนนิบัติ องค์รัชทายาทเปลี่ยนชุดราชการ นางในถือชามน้ำแกง เสวยพระกระยาหารไม่กี่คำก่อนจะเดินออกมา นั่งขึ้นเกี้ยว เสด็จไปยังตำหนักใหญ่ภายใต้การรายล้อมของบรรดาขุนนางและขันที
ท้องพระโรงยังคงเหมือนเคย ถึงแม้บนบัลลังก์มังกรไม่มีฮ่องเต้ แต่ด้านล่างจัดตั้งเก้าอี้ตัวหนึ่งสำหรับองค์รัชทายาท บรรดาขุนนางทูลรายงานเรื่องต่างๆ ตามลำดับ องค์รัชทายาททรงอนุญาตตามแต่ละเรื่อง จนกระทั่งขุนนางผู้หนึ่งถือฎีกาเล่มหนึ่งเดินขึ้นหน้า “เรื่องการสอบคัดเลือกขุนนางต้องขอท่านอ๋องฉีโปรดทอดพระเนตร”
องค์รัชทายาทมองขุนนางและฎีกานั้น ถอนหายใจเสียงเบา “ทางเสด็จพ่อก็ไม่อาจขาดคนได้ ท่านอ๋องฉีร่างกายก็ไม่แข็งแรงนัก ไม่อาจให้เขาเหน็ดเหนื่อยมากอีก” พูดพลางกวาดตาไปทั่วตำหนัก ก่อนจะจับจ้องไปยังขุนนางผู้หนึ่ง เขาเรียกขานชื่อของอีกฝ่าย
ขุนนางผู้นั้นได้ยินชื่อจึงเดินออกมา จากนั้นได้ยินองค์รัชทายาทตรัส “เรื่องการสอบคัดเลือกขุนนางให้เจ้ารับผิดชอบไปก่อน หากมีปัญหาที่ยากต่อการจัดการ เจ้าค่อยไปขอคำชี้แนะจากท่านอ๋องฉี”
ขุนนางผู้นั้นดีใจอย่างมาก เวลานี้เรื่องการสอบคัดเลือกขุนนางไม่ใช่ปัญหา หากแต่เป็นงานที่ดี
หากฮ่องเต้ยังทรงอยู่ งานนี้ย่อมไม่ตกถึงเขา
เขามององค์รัชทายาท ถวายบังคมอย่างยากที่จะปิดบังความตื่นเต้น “กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ”
ขุนนางที่กอดฎีกานั้นสีหน้าผงะไป เขาต้องการพูดบางอย่าง แต่องค์รัชทายาทมองจากที่สูงลงมา เมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นชาขององค์รัชทายาท ขุนนางผู้นั้นก็ใจกระตุก ก่อนจะรีบก้มหน้าตอบรับ ไม่พูดสิ่งใดอีก
สีหน้าขององค์รัชทายาทราบเรียบเหมือนเดิม เขามองผู้คนภายในตำหนัก “มีเรื่องใดอีก รายงานขึ้นมา”
…
พระสนมสวีเดินเข้ามาจากด้านนอกตำหนักอย่างรีบร้อน สีหน้าร้อนใจกว่าก่อนหน้านี้อย่างมาก แต่คราวนี้เมื่อเดินเข้าไปในห้องของฮ่องเต้ นางไม่ได้มุ่งตรงไปยังข้างเตียง หากแต่ดึงฉู่ซิวหยงที่เฝ้าเตาธูปหอมเอาไว้
“เจ้ารู้แล้วหรือไม่” นางพูด “องค์รัชทายาทไม่ให้เจ้าแทรกแซงเรื่องการสอบคัดเลือกขุนนางอีก”
เสียงของนางดังเล็กน้อย ทำให้ขันทีจิ้นจงที่ยืนอยู่ข้างเตียงมองมา
ฉู่ซิวหยงรีบบอกให้พระสนมสวีลดเสียง “เสด็จแม่ อย่าได้รบกวนเสด็จพ่อ เสด็จพ่อเพิ่งเสวยยา”
พระสนมสวีกำมือแน่น กดเสียงต่ำ แต่ไม่อาจข่มอารมณ์ที่คุกรุ่นได้ “เขาฉวยโอกาสที่เสด็จพ่อเจ้าประชวรรังแกเจ้า เรื่องนี้ฝ่าบาททรงมอบหมายให้เจ้าแท้ๆ …”
ฉู่ซิวหยงพูด “เสด็จแม่ องค์รัชทายาทย่อมต้องมีการคำนึงของเขา ส่วนกระหม่อม เวลานี้กระหม่อมอยากจะเฝ้าเสด็จพ่อ ให้เสด็จพ่อรีบฟื้นขึ้นมาเท่านั้น”
ใช่ หากฮ่องเต้ไม่ฟื้นขึ้นมา องค์รัชทายาทก็จะกลายเป็นฮ่องเต้แล้ว หากองค์รัชทายาทกลายเป็นฮ่องเต้…พระสนมสวีพลิกตัวกระโจนเข้าไปข้างเตียงของฮ่องเต้
“ฝ่าบาท…” นางหมอบพลันร้องไห้ขึ้นมา
นางเป็นศัตรูกับฮองเฮา หากไม่มีฝ่าบาทอยู่ พวกนางแม่ลูกจะอยู่อย่างไร
เสียงร้องไห้ของสตรีเหมือนจะรบกวนฮ่องเต้ ดวงตาที่ปิดสนิทของเขาเคลื่อนไหวเล็กน้อย
ดวงตาเคลื่อนไหวอย่างแผ่วเบา พระสนมสวีที่กำลังร้องไห้ ขันทีจิ้นจงที่ยืนอยู่ด้านข้างล้วนไม่สังเกตเห็น มีเพียงฉู่ซิวหยงที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองมา นาทีถัดมาเขาก็เบนสายตาหนี เฝ้ามองเตาธูปหอมต่อไปอย่างตั้งใจ