บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 402 เชื่อฟัง
หลังจากประกาศเรื่องงานอภิเษกของเหล่าท่านอ๋อง ฮ่องเต้ก็รู้สึกว่าปัญหาทุกอย่างจบสิ้นลงแล้ว ราชสำนักก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย
“คงเป็นเพราะทุกคนต่างกำลังวุ่นวายกับเรื่องอภิเษกของเหล่าท่านอ๋อง” ขันทีจิ้นจงพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องอื่นล้วนพักเอาไว้ชั่วคราว ฝ่าบาท พระองค์ทรงใช้โอกาสนี้พักผ่อนเถิด”
ฮ่องเต้ตรัสด้วยรอยยิ้ม “เจ้าดูเจ้าพูดเข้า โอรสทั้งสาม อืมทั้งสี่ของข้าอภิเษก ข้าในฐานะบิดาจะพักผ่อนได้อย่างไร มีบิดาเช่นนี้ด้วยหรือ”
ขันทีจิ้นจงพูด “ฝ่าบาทในฐานะบิดาเตรียมการให้พวกเขาอย่างรอบคอบก็เพียงพอแล้ว” เขาเชิญฮ่องเต้นั่งลง ก่อนจะเรียกคน “เรียกหมอหลวงจางมาเถิด ควรตรวจชีพจรให้ฝ่าบาทแล้ว”
หมอหลวงจางที่รอคอยอยู่ด้านนอกตำหนักเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขานำหมอหลวงอีกสองคนมาด้วย ถวายบังคมฝ่าบาทด้วยรอยยิ้ม
“เหตุใดหมอหลวงจางจึงมีท่าทางราวกับอดนอน” ฮ่องเต้พูดหยอกเขา “ทะเลาะกับจางฮูหยินอีกแล้วหรือ”
ในจวนของหมอหลวงจางมีภรรยาที่อารมณ์ร้อน ทั้งสองคนทะเลาะกันมาหลายสิบปีแล้ว บางครั้งยังถึงขั้นลงไม้ลงมือ แน่นอนว่ามีแต่หมอหลวงจางถูกตี แต่ก็ไม่ได้หนักหนานัก เพียงแค่ใบหน้าถูกข่วน มันเป็นเรื่องเล่าตลกขบขันในสำนักหมอหลวงเสมอมา
หมอหลวงจางทูลด้วยรอยยิ้ม “มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเฝ้าท่านอ๋องฉีทั้งคืน อายุมากแล้ว เหนื่อยล้าเล็กน้อย”
ท่านอ๋องฉีหรือ ฮ่องเต้ตรัสถาม “ซิวหยงเป็นอันใดหรือ” เขาขมวดคิ้วมองไปทางขันทีจิ้นจง “เหตุใดจึงไม่รายงานข้า”
ถึงแม้ท่านอ๋องฉีจะหายดีแล้ว แต่ร่างกายเสียหายมานานหลายปีย่อมไม่อาจเทียบผู้อื่นได้
หมอหลวงจางทูล “องค์ชายเพียงแค่เหนื่อยล้า กระหม่อมอยู่เฝ้าทั้งคืนก็เพื่อตรวจดูว่าไม่มีปัญหาอื่น”
ฮ่องเต้รีบตรัสถามว่าเป็นอย่างไร
“ไม่เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายสบายดี เพียงแค่รู้สึกไม่สบายใจ” หมอหลวงพูดด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมจ่ายยาระงับจิตเพื่อให้องค์ชายพักสองวัน กระหม่อมไม่พบปัญหาอื่นจึงไม่ได้ทูลรายงานต่อฝ่าบาท เพื่อไม่ให้ฝ่าบาททรงเป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้นั่งลงอย่างสบายใจ ก่อนจะส่งเสียงไม่พอใจ “รู้สึกไม่สบายใจก็ไม่ประหลาดนัก”
เหตุใดฉู่ซิวหยงถึงไม่สบาย ย่อมเป็นเพราะพระชายาไม่ใช่เฉินตันจู ก่อนคัดเลือกพระชายานั้น ฮ่องเต้กังวลอย่างมาก เกรงว่าฉู่ซิวหยงจะอาละวาด ต้องการเลือกเฉินตันจูเท่านั้น พระสนมสวีก็วิ่งมาร้องไห้ฟูมฟายหลายต่อหลายครั้ง
เขาย่อมไม่อยากได้เฉินตันจูเป็นสะใภ้ หญิงสาวผู้นี้ช่างทำให้คนโมโห โชคดีที่งานเลี้ยงวันนั้น พระสนมสวีบอกเขาว่าโน้มน้าวเฉินตันจูได้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมีปลาที่รอดแหมาอีกหนึ่งตัว!
ฮ่องเต้นวดคลึงขมับ เขาปวดหัว เขาอยากจะรีบจัดงานอภิเษกให้เสร็จสิ้นในเร็ววัน จากนั้นให้ทั้งสองคนจากไปอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท” หมอหลวงจางจับชีพจร พลันขมวดคิ้วถาม “ระยะนี้พระองค์ทรงปวดหัวบ่อยขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตอบ “ไม่บ่อยนัก” เขาเคยชินแล้ว
ขันทีจิ้นจงพยักหน้าอย่างกังวล “ใช่ บ่อยกว่าแต่ก่อนมาก บางครั้งไม่อาจบรรทมได้ในเวลากลางคืน”
ฮ่องเต้ตำหนิ “เจ้าอย่าตื่นตระหนก หลายปีก่อน ข้าเคยหลับลงเมื่อใดกัน”
หมอหลวงจางพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท หลายปีก่อนคือหลายปีก่อน ไม่อาจตรัสเช่นนี้ได้”
ฮ่องเต้เหลือบมองเขา “เจ้าหมายความว่าข้าแก่แล้วอย่างนั้นหรือ”
หมอหลวงจางไม่ได้หวาดกลัวต่อคำพูดของฮ่องเต้ เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท อย่าได้พูดเรื่องอายุกับไต้ฟูอย่างกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” ก่อนจะบอกให้หมอหลวงอีกสองคนเข้าใกล้ หมอหลวงทั้งสองต่างตรวจชีพจรให้ฮ่องเต้
หมอหลวงจางหยิบประวัติการรักษาออกมาพลิกดู ก่อนจะหารือเปลี่ยนยาบางชนิดกับหมอหลวงทั้งสอง หลังจากหารือแล้วจึงเขียนสูตรยาให้ ส่งให้ขันทีจิ้นจงดูก่อน จากนั้นจึงให้ฮ่องเต้ดู
“ยาไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพียงแค่ต้องเสวยมากขึ้นวันละครั้ง” หมอหลวงจางพูด
ฮ่องเต้ไม่เต็มใจนัก ถึงแม้จะเป็นฮ่องเต้ แต่เขาก็ไม่ชอบดื่มยา ขันทีจิ้นจงเกลี้ยกล่อมด้วยรอยยิ้ม ให้หมอหลวงจางไปเตรียมยา
“หลายวันนี้ฉู่อวี๋หยงกับเฉินตันจูทำอันใด” ฮ่องเต้ถาม เขาโกรธ เขาปวดหัวก็เพราะหายนะทั้งสองคนนี้!
ขันทีจิ้นจงทูลด้วยรอยยิ้ม “ล้วนอยู่ในจวนอย่างเชื่อฟังพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่เชื่อ “เชื่อฟัง?”
ขันทีจิ้นจงพูด “มีเพียงให้องครักษ์ส่งจดหมาย ส่งของกิน ส่งผ้าเช็ดมือ ส่งกระดานหมากที่องค์ชายหกแกะสลักเอง เรื่องนี้…”
ฟังต่อไปไม่ได้แล้ว ฮ่องเต้ยิ้มเย็น “เหตุใดเขาจึงไม่ส่งตัวเองไปด้วย”
…
เฉินตันจูถูกปลุกตื่นในตอนกลางคืน
“คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูๆ” อาเถียนเรียกอยู่ข้างหูไม่หยุด
เฉินตันจูหลับตาถอนหายใจ “อาเถียน คุณหนูของเจ้าตอนกลางคืนหลับไม่ดี กว่าจะหลับไม่ง่ายนัก”
อาเถียนพึมพำ “คุณหนูท่านนอนกลางวันมากไปเจ้าค่ะ” สองวันนี้ นอกจากกินแล้ว คุณหนูก็มักจะบอกว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องบางเรื่อง จากนั้นคิดไปคิดมาจึงผล็อยหลับไป
“มีอันใด” เฉินตันจูถามอย่างระอา “เกิดเรื่องใดขึ้นที่ต้องเรียกข้าตื่นในตอนกลางคืน”
สำหรับนางแล้ว เรื่องที่คู่ควรกับการปลุกให้นางตื่นในตอนกลางคืนก็มีเพียงฮ่องเต้จะตัดหัวนาง หากเป็นเช่นนั้น ไม่ต้องให้อาเถียนมาปลุก เพียงแค่ให้องครักษ์บุกเข้ามาก็พอแล้ว
“มีแขกมาเยือนเจ้าค่ะ” อาเถียนพูดด้วยสีหน้าประหลาด
เฉินตันจูถลึงตา “ผู้ใดมาเยือนในตอนดึกเช่นนี้กัน”
“จู๋หลินบอกว่า” อาเถียนพูด “องค์ชายหกเจ้าค่ะ”
…
ฉู่อวี๋หยงยืนอยู่บริเวณมุมกำแพงของจวนตระกูลเฉิน ชุดที่สวมใส่รวมทั้งผมสีดำของเขาแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดในยามค่ำคืน เพียงแต่ใบหน้าที่ขาวผ่องปรากฏขึ้นเมื่อเขาเงยหน้ามองสำรวจรอบด้านทำให้มุมนั้นสว่างขึ้นมาในยามค่ำคืนทันที
ถึงแม้เขาจะมาพร้อมเฟิงหลิน แต่จู๋หลินและคนอื่นต่างระวังอย่างมาก ให้พวกเขาเข้ามายืนอยู่ที่มุมกำแพงก็ถือว่ายอมมากแล้ว
“พวกเจ้าช่าง” เฟิงหลินโกรธเล็กน้อย “แต่ก่อนก็แล้วไป พวกเจ้าไม่สนใจฐานะ สนใจแต่ตัวคน เวลานี้องค์ชายของพวกข้ากับคุณหนูตันจูเป็นว่าที่สามีภรรยากันแล้ว ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการ วันอภิเษกก็กำหนดไว้แล้ว อย่างไรก็ถือว่าท่านเขยมาเยือน พวกเจ้ารับรองเช่นนี้หรือ”
จู๋หลินก็ไม่พอใจ “มีท่านเขยที่ไหนมาเยือนเช่นนี้กัน”
อีกอย่าง เฟิงหลินคำก็องค์ชายของพวกเรา สองคำก็องค์ชายของพวกเรา คนผู้นี้กลายเป็นองค์ชายของเขาไปแล้วหรือ…พวกเขาไม่ถือเป็นคนของท่านแม่ทัพอีกแล้ว
เฟิงหลินสะอึกกับคำพูดของจู๋หลิน พูดขึ้น “องค์ชายของพวกข้าไม่มีเวลาตอนกลางวัน เวลานี้จึงหาเวลามา…”
จู๋หลินพูดขัดเขา “คุณหนูพวกข้าไม่มีเวลาตอนกลางคืน”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังถกเถียงกัน ฉู่อวี๋หยงก็มองไปยังทิศทางหนึ่ง จู๋หลินและเฟิงหลินหยุดพูดพลันมองตามไป จากนั้นเสียงฝีเท้าดังขึ้น โคมไฟหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา จากนั้นมีหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมวิ่งออกมา
ผมของนางสยาย เท้าสวมเกือกไม้วิ่งเสียงดังลอยออกมาราวกับนางฟ้าบนสรวงสวรรค์
“องค์ชาย” เสียงของนางรีบร้อนเล็กน้อย อีกทั้งยังกดเสียงต่ำ “องค์ชายเสด็จมาได้อย่างไรเพคะ”
ฉู่อวี๋หยงเปิดหมวกออก มองหญิงสาวที่วิ่งมา
ดีเพียงใดกัน บนโลกนี้มีคนที่เขาอยากพบ จากนั้นยังสามารถพบได้ทันที
…
จู๋หลินและคนอื่นต่างถอยไป เฟิงหลินก็ถอยไปเช่นเดียวกัน
เฉินตันจูยืนอยู่ตรงหน้าของฉู่อวี๋หยง ทั้งสองยังคงอยู่ที่มุมกำแพง
“เกิดเรื่องใดขึ้นหรือเพคะ” เฉินตันจูถามเสียงเบา ก่อนจะมองซ้ายมองขวาราวกับไม่ได้อยู่ในจวนของตนเอง หากแต่เป็นบนถนนใหญ่ที่มีสายตามากมายจับจ้อง
ถึงแม้ที่นี่จะเป็นจวนของนาง แต่ใจของนางไม่มีพื้นที่สงบสุข ฉู่อวี๋หยงแอบถอนหายใจ รู้สึกผิดเล็กน้อย “ไม่มีเรื่องใด ตันจู ข้าแค่อยากมาพบเจ้า”
เฉินตันจูผงะไป หมายความว่าอย่างไร
ปลุกนางให้ตื่นเพื่อพบนางหรือ เล่นอันใดกัน!
เอาเถิด ท่านเป็นองค์ชาย อีกทั้งยังเป็นองค์ชายที่ลึกลับ ท่านอยากพบก็พบ แต่อย่าปลุกนางได้หรือไม่ สามารถยืนพบที่ข้างเตียงอย่างเงียบสงบได้หรือไม่!
ไฟโกรธในอกของเฉินตันจูแทบจะปะทุออกมา จากนั้นนางจึงเห็นฉู่อวี๋หยงหยิบโคมไฟกลมใบหนึ่งออกมาจากผ้าคลุม
โคมไฟนั้นทำมาจากหินหยก ลวดลายด้านบนส่องลงบนใบหน้าของคนทั้งสอง ระยิบระยับราวกับอัญมณี
“ข้าทำโคมไฟมาอันหนึ่ง อยากให้เจ้าดู” ฉู่อวี๋หยงพูด “มีเพียงตอนกลางคืนจึงจะงดงาม ดังนั้นข้าจึงมาในเวลานี้”
เขายิ้มอย่างอ่อนโยน อัญมณีที่ระยิบระยับสูญเสียความงดงามในทันที
เขาพูดเสียงเบา
“เจ้าอย่าโกรธ ข้าเสียมารยาทเอง”
เฉินตันจูอ้าปาก ความโกรธเต็มอกดุจไม้แห้งที่เปียกน้ำ อันที่จริง ถูกปลุกขึ้นมาตอนกลางคืนก็ไม่เป็นอันใด มันเป็นน้ำใจของอีกฝ่าย
“ไม่ได้โกรธ ไม่ได้โกรธ”
จู๋หลินที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักได้ยินคุณหนูตันจูพูดอย่างอารมณ์ดี
“ปีใหม่ยังไม่นอนเพื่อส่งท้ายปี โคมไฟนี้งดงามกว่าส่งท้ายปีเก่าเสียอีก”