บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 392 หลอกลวง
ที่แท้เป็นเจ้าเองหรือ ความหมายของประโยคนี้ทำให้ทุกคนสงสัย
โดยเฉพาะหลังจากสิ้นประโยคนี้ ฮ่องเต้ให้ทุกคนถอยห่างออกไป ภายในศาลามีเพียงฉู่อวี๋หยง
องค์ชายหกที่ไม่นอนก็นั่งในความทรงจำคุกเข่าอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ในเวลานี้
สายตาของเฉินตันจูจับจ้องทางนั้นอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งฉู่ซิวหยงเดินมา เรียกขานคุณหนูตันจูเสียงเบา
“ท่านอ๋องฉี” เฉินตันจูมองไปทางเขาพลันถอนหายใจ “หม่อมฉันรู้ว่าเรื่องดีที่หม่อมฉันพบเจอจะกลายเป็นเรื่องร้าย”
ฉู่ซิวหยงพูดเสียงเบา “ไม่หรอก เรื่องดีก็คือเรื่องดี เรื่องร้ายก็คือเรื่องร้าย คุณหนูตันจูไม่ต้องกังวล”
เฉินตันจูยิ้มให้เขา “ขอบพระทัยท่านอ๋องฉี” สายตาของนางมองไปทางศาลานั้นอีกครั้ง ฉู่อวี๋หยงจะเปิดโปงแผนการขององค์รัชทายาทต่อฮ่องเต้หรือ ไม่รู้ว่ามีหลักฐานเพียงพอหรือไม่
ถึงแม้ว่าเขาจะเดินเข้ามา สายตาของหญิงสาวก็ไม่ได้มองมาที่เขา ฉู่ซิวหยงมองตามสายตาของนางไปทางศาลา ถึงแม้นางจะทำหน้าไม่พอใจ แต่ดวงตาของหญิงสาวฉายแววกังวลอยู่ตลอด นางกังวลเรื่องนี้ หรือว่ากำลังเป็นห่วงองค์ชายหกที่เพิ่งปรากฏตัว
ฮ่องเต้ให้ทุกคนถอยออกมา มองฉู่อวี๋หยงที่คุกเข่าลงโดยไม่พูดสิ่งใด
ฉู่อวี๋หยงจึงหาเรื่องคุย “ถุงแห่งโชคของกระหม่อมอยู่ที่พระองค์หรือไม่ ให้กระหม่อมดูหน่อยเถิด”
ฮ่องเต้มองถุงแห่งโชคสามใบที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้าง มีสองใบเป็นขององค์ชายห้าและองค์ชายหก ส่วนอีกใบเป็นถุงแห่งโชคที่เฉินตันจูจับได้…เฮอะ
“เจ้าทำได้อย่างไร” ฮ่องเต้ถามเสียงเรียบ ยื่นมือหยิบถุงแห่งโชคใบหนึ่งเปิดออกมา หยิบพุทธธรรมใบหนึ่งออกมา ก่อนจะเปิดถุงแห่งโชคอีกใบหยิบพุทธธรรมอีกใบออกมา มองเนื้อหาที่เหมือนกันด้านบน “เจ้าโน้มน้าวท่านมหาราชครูและองค์รัชทายาทอย่างไร”
ฉู่อวี๋หยงยิ้ม “ง่ายมาก เพียงแค่ไปบอกท่านมหาราชครูว่ากระหม่อมก็อยากได้ถุงแห่งโชค”
ท่านมหาราชครูหรือ ฮ่องเต้หยิบถุงแห่งโชคใบสุดท้ายขึ้น พลางเปิดออกพลางตรัสขึ้น “ท่านมหาราชครูเจรจาง่ายเพียงนี้เชียวหรือ แจกถุงแห่งโชคใบแล้วใบเล่า ไม่ได้รับเงินจากเจ้าแม้แต่น้อยเลยหรือ เฉินตันจูยังรู้จักเรียกเงินตอนถูกผู้อื่นเรียกร้อง”
ฉู่อวี๋หยงพูด “ท่านมหาราชครูจิตใจเมตตา ได้ยินว่ากระหม่อมต้องการถุงแห่งโชค อยากได้เหมือนของบรรดาพี่ๆ เขาก็ให้มา”
นี่คือจิตใจเมตตา? ท่านมหาราชครูที่จิตใจเมตตา ให้ความเท่าเทียมกับทุกคน? ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น ฉู่อวี๋หยงกำลังแก้ตัวแทนอาจารย์ฮุ้ยจื้อหรือ เขากำลังดึงท่านมหาราชครูมารับโทษพร้อมกันต่างหาก!
เขามองถุงแห่งโชคที่ถูกเปิดออกในมือ หยิบพุทธธรรมห้าใบออกมา ทันใดนั้นหรี่ตาลง มองพุทธธรรมห้าใบนี้ ก่อนจะมองอีกสองใบ จากนั้นสะบัดพุทธธรรมใส่ฉู่อวี๋หยง
“เจ้าไม่ได้ให้ท่านมหาราชครูเขียนพุทธธรรมทั้งห้าใบให้เจ้าด้วยหรือ”
พุทธธรรมหล่นลงพื้นอย่างแผ่วเบาก่อนที่จะกระทบลงบนตัวของฉู่อวี๋หยง
ขันทีจิ้นจงรีบก้มตัวไปเก็บขึ้นมา เขามองดูพุทธธรรม ถึงแม้เขาจะเห็นเพียงตอนที่ยืนอยู่ข้างหลังเหล่าท่านอ๋องอ่านพุทธธรรม แต่เขามองออกในแวบแรก พุทธธรรมทั้งห้าใบนี้ถึงแม้จะดูเหมือนกับของเหล่าท่านอ๋อง แต่ลายมือยังคงมีความแตกต่าง เห็นได้ชัดว่าเป็นการลอกเลียนแบบ…องค์ชายหกเขียนพุทธธรรมเองหรือ
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้หรือ องค์ชายหกหลอกขอถุงแห่งโชคใบหนึ่งจากท่านมหาราชครู องค์ชายหกร่างกายอ่อนแอน่าสงสาร ท่านมหาราชครูจึงคิดว่าเป็นการกล่อมเด็กเล่น ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะเล่นเก่งมาก เขียนพุทธธรรมด้วนตนเอง ก่อนจะใช้กลอุบายยัดใส่มือของเฉินตันจู ทำให้งานเลี้ยงคัดเลือกพระชายาดีๆ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ขึ้น
ขันทีจิ้นจงมององค์ชายที่คุกเข่าอยู่บนพื้น อันที่จริงก็ไม่น่าประหลาดใจ เขามักจะทำเรื่องที่น่ากลัวเช่นนี้เสมอมา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เป็นเพียงองค์ชาย
ฉู่อวี๋หยงเงยหน้าขึ้นพลันยิ้ม “หากเป็นเช่นนั้น ท่านมหาราชครูคงต้องเก็บเงินจริงแล้ว”
ฮ่องเต้มองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าทำได้อย่างไร ข้ารู้ว่าตำหนักใหญ่ขังเจ้าไว้ไม่อยู่ แต่ข้าไม่เชื่อว่าคนมากมายในสวนดอกไม้จะไม่เห็นเจ้า คนทั้งพระราชวังล้วนเป็นคนของเจ้าหรือ”
“ย่อมไม่ใช่ กระหม่อมยังไม่มีความสามารถเช่นนั้น” ฉู่อวี๋หยงเอ่ย “อันที่จริงง่ายมาก เพียงแค่เกลี้ยกล่อมนางในผู้นั้นก็พอแล้ว”
…
ไม่เพียงเฉินตันจู คนอื่นต่างจ้องมองภายในศาลา ถึงแม้จะไม่ได้ยินว่าฮ่องเต้ตรัสสิ่งใดกับองค์ชายหก แต่พวกเขาเห็นฮ่องเต้โยนพุทธธรรมใส่องค์ชายหกด้วยสีหน้าโกรธเคือง
“เรื่องนี้คงไม่ใช่ฝีมือขององค์ชายหกจริงๆ ใช่หรือไม่” พระสนมเสียนพูดเสียงเบา มองไปยังคนอื่น
ก่อนที่ฮ่องเต้จะให้พวกเขาถอยออกมาพระองค์ตรัสว่าที่แท้เป็นเจ้าเองหรือ แต่ทุกคนไม่กล้าคิดไปทางนั้น องค์ชายหก? องค์ชายหกจะเป็นไปได้อย่างไร…
ไม่มีคนตอบนาง ทุกคนต่างมองทางนั้น ทันใดนั้นเห็นองครักษ์หลวงคนหนึ่งเดินไปจับนางในผู้หนึ่งออกมาท่ามกลางกลุ่มขันทีและนางใน นำตัวเข้าไปในศาลา…
นางในผู้นั้น! สายตาของทุกคนต่างมองไปทางพระสนมเสียน พระสนมเสียนสีหน้าซีดเผือด
“ซู่เอ๋อนาง นาง…” นางพูดด้วยความตื่นตระหนก “นางเป็นคนของข้าจริง แต่ แต่ฝ่าบาทก็ทรงรู้”
ความตื่นตระหนกนี้จริงครึ่งหลอกครึ่ง ซู่เอ๋อเป็นคนของนางจริง ฝ่าบาทก็ทรงรู้ นอกจากแผนการของนางกับฝ่าบาท องค์รัชทายาทก็มีแผนการเช่นเดียวกัน
หรือว่าองค์ชายหกรู้แล้ว เป็นไปไม่ได้ นางเป็นมิตรกับทุกคนในพระราชวังเสมอมา แต่ก็ห่างเหินกับทุกคน ยิ่งไม่เคยไปมาหาสู่กับองค์รัชทายาท ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางร่วมมือกับองค์รัชทายาท ไม่สมควรถูกคนมองออก
ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายหกเพิ่งมาถึงเมืองหลวง อีกทั้งถูกขังอยู่ในจวนเสมอมา เขาจะรู้เรื่องใด
สิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงยิ่งกว่าคือ ซู่เอ๋อเป็นนางในประจำตัวของนาง แผนการขององค์รัชทายาท ซู่เอ๋อก็รู้
หากถูกซักถามจนต้านทานไม่ไหว พูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด…
เรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาททรงโกรธเพียงนี้ คนทางกรมราชทัณฑ์จะสามารถทำให้ซู่เอ๋อปิดปากได้ทันเวลาหรือไม่
มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของพระสนมเสียนกำแน่น
…
นางในถูกผลักออกมา คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยตัวที่สั่นเทา
“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นคนยัดถุงแห่งโชคให้คุณหนูตันจูเพคะ” นางพูดด้วยเสียงสะอื้น “แต่เป็นรับสั่งของพระสนม พระสนมบอกว่าเป็นพระราชโองการของฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้เรื่องเพคะ ถุงแห่งโชคก็ไม่เคยเปิดออกมาก่อน”
สายตาของฮ่องเต้จับจ้องนาง แต่ไม่พูดสิ่งใด มีร่างหนึ่งขยับเข้ามา นางในได้กลิ่นเหมือนกิ่งไม้สนในฤดูหนาว…
“พี่ซู่เอ๋อ” ฉู่อวี๋หยงเรียกขาน “ท่านไม่ต้องปิดบังแทนข้าแล้ว เรื่องนี้ข้าเป็นคนขอให้ท่านทำ ถุงแห่งโชคใบนี้ ข้าเป็นคนให้ท่านยัดให้คุณหนูตันจู”
ฮะ? ซู่เอ๋อที่คุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้นสับสน เหมือนเรื่องจะปกติแต่ก็ไม่ปกติ ถุงแห่งโชคใบนี้มีคนให้นางยัดให้คุณหนูตันจู แต่ไม่ใช่องค์ชายหก หากแต่เป็นองค์รัชทายาท…
“พี่ซู่เอ๋อ ข้ารู้ว่าท่านสงสารข้า แต่เวลานี้ไม่ต้องปิดบังแล้ว หรือว่าต้องถูกทรมานท่านจึงจะยอมพูด หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ช่วยท่านไม่ได้แล้ว”
เสียงชัดดังก้องอยู่ข้างหู ซู่เอ๋อไม่ได้เงยหน้า แต่สามารถสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาจ้องทะลุหัวใจของนาง…
เรื่องเป็นเช่นนี้ นางผู้เป็นคนยื่นถุงแห่งโชคไม่อาจหนีพ้นได้
หากถูกส่งตัวไปเฆี่ยนตีในกรมราชทัณฑ์ นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดว่าฝีมือของบรรดาขันทีในนั้นจะน่ากลัวเพียงใด หากถึงขั้นที่นางทนไม่ไหวจริง ไม่ไปตายก็ต้องสารภาพชื่อองค์รัชทายาทออกมา
หากสารภาพว่านางสมรู้ร่วมคิดกับองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทอาจไม่เป็นอันใด แต่นางย่อมต้องตายอย่างแน่นอน
ถึงแม้ชีวิตของนางจะถวายให้พระสนมเสียนแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดอยากตายจริง
หากสมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายหกอาจยังมีโอกาสรอด
ถึงแม้ไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์ชายหกจึงทำเช่นนี้ แต่องค์ชายหกในเวลานี้คือฟางเส้นสุดท้ายที่จะช่วยชีวิตนางได้…
“ฝ่าบาท” ในที่สุดซู่เอ๋อก็ร้องไห้ออกมา ก้มกราบลงที่พื้นอย่างต่อเนื่อง “หม่อมฉันไม่รู้จริงๆ ว่าถุงแห่งโชคขององค์ชายหกเป็นเช่นนี้ องค์ชายหกเพียงแค่กล่าวว่าอยากจะมอบของขวัญให้คุณหนูตันจู หม่อมฉัน หม่อมฉันสมควรตายเพคะ”
…
สีหน้าขององค์รัชทายาทในตำหนักเปลี่ยนแปลงไป
“นางพูดเช่นนี้หรือ” เขามองขันทีที่มาทูลรายงาน ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง
ขันทีพยักหน้า “พระสนมเสียนก็ถูกเรียกไปถาม พระสนมเสียนทรงยืนกรานว่านางกำชับให้ซู่เอ๋อมอบถุงแห่งโชคให้พระชายาท่านอ๋องเยียนกับพระชายาของท่านอ๋องหลู รวมทั้งยัดถุงแห่งโชคใบหนึ่งให้เฉินตันจู สำหรับเรื่องของซู่เอ๋อกับองค์ชายหก นางไม่รู้แม้แต่น้อย”
องค์รัชทายาทไม่รู้ว่าตนเองต้องมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาย่อมรู้ความจริงของเรื่องนี้ ทั้งเหมือนทั้งแตกต่างจากเรื่องที่องค์ชายหกพูด ขั้นตอนเหมือนกัน แต่ผลต่างกัน
อีกทั้งอันที่จริงนางในซู่เอ๋อจะพูดอย่างไรไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือเหตุใดองค์ชายหกต้องพูดเช่นนี้
ฝูชิงพูด “ที่แท้ถุงแห่งโชคใบนั้นเป็นของเขา”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งองค์ชายหกทรงเขียนพุทธธรรมในถุงแห่งโชคใบนั้นเอง” ขันทีผู้นั้นทูลเสียงเบา “ลายมือไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย ถูกจับได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายหกต้องการสิ่งใด ฝูชิงมองไปทางองค์รัชทายาท เขาก็ต้องการลอบทำร้ายเฉินตันจูหรือ พวกเขามีความแค้นต่อกันหรือ
“ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือ” องค์รัชทายาทส่ายหน้าช้าๆ เขามองไปยังทิศทางของสวนดอกไม้ “เขาทำได้อย่างไร”
ขอถุงแห่งโชคจากท่านมหาราชครู ให้นางในที่สนิทที่สุดของพระสนมเสียนส่งถุงแห่งโชคให้เขา องค์รัชทายาททำได้เพราะฐานะและอำนาจ แล้วองค์ชายหกเล่า? ใช้ความน่าสงสารหรือ
“องค์ชายหกเล่า ฝ่าบาทตรัสว่าอย่างไร”
ขันทีผู้นั้นทูลเสียงเบา “ฝ่าบาทนำคนกลับตำหนักบรรทมแล้ว ซู่เอ๋อถูกนำตัวไป องค์ชายหกถูกฝ่าบาทพาเข้าตำหนักตามลำพัง ส่วนตรัสว่าอย่างไร ไม่มีผู้ใดรู้พ่ะย่ะค่ะ”
ในสวนดอกไม้สามารถสืบข่าวได้ ฮ่องเต้ก็ไม่ได้มีเจตนาปิดบัง แต่เมื่อเข้าตำหนักบรรทม เพียงแค่ปิดประตูตำหนักก็ไม่มีผู้ใดสามารถรู้เรื่องที่เกิดขึ้นภายในแล้ว
องค์รัชทายาทมองไปยังทิศทางของตำหนักบรรทม อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ น้องหกของเขาไม่ธรรมดา
ลางสังหรณ์ของเขาก่อนหน้านี้ถูกต้องเสียจริง
…
ตั้งแต่สวนดอกไม้จนถึงตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ เรื่องนี้ยังคงไม่มีข้อสรุป แต่อารมณ์ของบรรดาสนมและท่านอ๋องที่ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักสงบลงกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้ว เวลานี้มีเพียงความสงสัย เหตุใดองค์ชายหกจึงทำเช่นนี้
สิ่งที่พระสนมเสียนคิดคือ บางทีองค์ชายหกได้รับการไหว้วานจากองค์รัชทายาท รั้งเรื่องทั้งหมดไว้บนตัวเอง ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลก…ไม่ใช่ องค์ชายหกล้อเล่นก็ไม่เกี่ยวกับท่านอ๋องฉี องค์รัชทายาทไม่เสียแรงเปล่าหรือ
บางทีองค์ชายหกอาจอยากใช้โอกาสนี้สร้างวาสนากับเฉินตันจู? เรื่องนี้สำหรับองค์ชายห้าหรือองค์ชายหกล้วนไม่ใช่เรื่องดี คนหนึ่งมีโทษ คนหนึ่งมีโรค เมื่อถึงเวลาท่านอ๋องฉียังคงจะอาละวาด?
สายตาของพระสนมเสียนแอบมองไปทางเฉินตันจู…
ด้านนอกพระตำหนักไม่ได้มีเพียงนางที่มองเฉินตันจู ท่านอ๋องเยียน พระชายาองค์รัชทายาท ท่านอ๋องฉี พระสนมสวี อืม นอกจากท่านอ๋องหลู ท่านอ๋องหลูยังคงหดคอทำท่าทางราวกับทำเรื่องผิดมา…
ท่านอ๋องฉีไม่เพียงมอง หากแต่ยังเดินไปข้างกายเฉินตันจู พระสนมสวีที่จ้องมองเขาอยู่ตลอดไม่ทันได้เอื้อมมือไปรั้ง ทำได้เพียงแสร้งนิ่งเฉย…เงินสองแสนก้วน นางเชื่อในสัจจะของเฉินตันจู
ฉู่ซิวหยงเพียงแค่ถามเฉินตันจู “เจ้าสนิทกับน้องหกมากหรือ”
เฉินตันจูพูดอย่างหมดหนทาง “ไม่สนิทเพคะ พบกันเพียงสองสามครั้ง ไม่รู้เหตุใดเขาจึงกลั่นแกล้งหม่อมฉัน”
กลั่นแกล้งหรือ บางทีอาจไม่ใช่ ฉู่ซิวหยงไม่ได้พูดสิ่งใดอีก มองประตูตำหนักที่ปิดสนิท น้องหกคนนี้ไม่ธรรมดา
เฉินตันจูก็มองเข้าไปในตำหนัก นางไม่สนิทกับองค์ชายหกจริง พบกันเพียงสองสามครั้งจริง แต่เหตุใดนางจึงรู้สึกคุ้นเคยกับองค์ชายหกราวกับรู้จักกันมานานแล้ว
อีกอย่าง นางคิดว่าองค์ชายหกจะเปิดโปงว่านางในผู้นั้นเป็นคนขององค์รัชทายาท ชี้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับองค์รัชทายาท แต่ไม่คิดว่าเขาจะบอกว่าตนเองเป็นคนทำ ไม่พูดถึงองค์รัชทายาทแม้แต่น้อย เพราะเหตุใด
เขาต้องการทำอันใดกันแน่…