บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 373 ปกป้อง
ฉู่อวี๋หยงจัดเตรียมงานเลี้ยงขนาดเล็ก บ่งบอกว่าไม่ได้แสดงความขอบคุณเพียงแค่กับเฉินตันจู อีกทั้งยังเป็นงานเลี้ยงที่เขากับจินเหยาพี่น้องได้พบหน้า
องค์หญิงจินเหยาขุ่นเคือง “พี่หกมานานเพียงนี้ ยังไม่มีงานเลี้ยงต้อนรับแม้แต่น้อย”
ฉู่อวี๋หยงพูด “ร่างกายข้าไม่ดี จะเข้าร่วมงานเอิกเกริกเหล่านั้นได้อย่างไร”
แต่ว่า นอกจากเขาจะเป็นองค์ชายหกที่ร่างกายอ่อนแอและขี้โรคแล้ว เขายังคือองค์ชายหกที่สวมชื่อของแม่ทัพหน้ากากเหล็กนำทัพทำสงครามมานับปี เวลานี้เขาไม่ต้องเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กแล้ว เขาไม่สมควรที่จะเปลี่ยนแปลงภาพลวงของผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอและขี้โรคด้วยหรือ เสด็จพ่อรับองค์ชายหกมา เหตุใดจึงรับมา เพราะว่าองค์ชายหกมีสุขภาพที่ดีขึ้น จากนั้นทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามครรลอง ดีเพียงใดกัน
แต่เสด็จพ่อไม่พูดสิ่งใด ยังคงกักขังองค์ชายหกไว้ในจวนที่ห่างไกลเหมือนแต่ก่อน ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้ จนกระทั่งเวลานี้ทั้งภายในและภายนอกพระราชวังต่างเล่าลือกันว่าองค์ชายหกกำลังจะตาย รับมาเพื่อพบหน้าครั้งสุดท้าย
เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ไม่อาจพูดต่อหน้าของเฉินตันจู จินเหยาขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ
ฉู่อวี๋หยงเห็นสีหน้าของนาง จึงปลอบ “ยังไม่ถึงเวลา”
เฉินตันจูได้ยิน นางมองไปยังสำรับขององค์ชายหก แตกต่างจากอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของนางกับองค์หญิงจินเหยา อาหารของเขามีเพียงน้ำแกงหนึ่งชาม กับผักสีเขียวหนึ่งจาน
คนที่ร่างกายไม่ดีอย่างเขา อาหารที่กินล้วนมีข้อจำกัดมากมาย เหมือนองค์ชายสามตอนนั้น กินแปะก๊วย…
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่าน ภายในใจของนางก็แอบยิ้มเยาะเย้ยตนเอง มันเป็นเรื่องหลอกลวง ช่างเถิด ไม่พูดถึงแล้ว
นางพยักหน้าต่อองค์หญิงจินเหยา “รักษาร่างกายเป็นเรื่องที่ลำบาก มีเรื่องมากมายทำไม่ได้ อาหารมากมายกินไม่ได้ แต่เมื่อแข็งแรงขึ้นก็จะดีขึ้น อดทนหน่อยเถิด”
ฉู่อวี๋หยงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับเฉินตันจู “คุณหนูตันจูพูดถูก อดทนมาหลายปีแล้ว ไม่อาจสูญสิ้นความพยายามได้”
องค์หญิงจินเหยาฟังพวกเขาสองคนพูดกัน เฉินตันจูไม่รู้ความจริงจึงพูดถึงเรื่องการรักษาตัวจริง ส่วนฉู่อวี๋หยงกึ่งจริงกึ่งเท็จ นางอยากหัวเราะ แต่ก็รู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย พี่หกไม่เพียงไม่อาจหยุดแสร้งป่วยได้ เขาเผชิญหน้ากับเฉินตันจูที่รู้จัก ก็ทำได้เพียงแสร้งเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จัก
ต้องการพบเฉินตันจูยังต้องคิดหาวิธีมากมาย
สีหน้าขององค์หญิงจินเหยาเศร้าโศก มองเฉินตันจู นึกถึงวิธีที่ทำให้พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น วิธีนี้สำหรับเฉินตันจูแล้วก็มักใช้เป็นประจำ “ตันจู เจ้าเป็นไต้ฟู เจ้าดูอาการให้พี่หก มียาหรือวิธีที่ดีกว่าหรือไม่”
ฉู่อวี๋หยงมองเฉินตันจู ไม่รอเขาพูด เฉินตันจูก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันทำไม่ได้เพคะ” ก่อนจะมองฉู่อวี๋หยง “องค์หญิงท่านดู ถึงแม้องค์ชายหกร่างกายไม่แข็งแรง แต่เขาดูกระปรี้กระเปร่า เห็นได้ชัดว่าหมอหลวงมีความสามารถ หม่อมฉันอย่าได้แทรกแซงดีกว่า เพื่อไม่ให้ความทรมานที่องค์ชายได้รับในหลายปีนี้ต้องสูญเปล่า”
อันที่จริงองค์หญิงจินเหยาหลังจากพูดจบก็เสียใจเช่นเดียวกัน ที่จริงแล้วหลายปีนี้นางรู้ว่าพี่หกคงไม่เป็นอันใดแล้ว อย่างน้อยไม่หนักหนาเหมือนที่ภายนอกร่ำลือ อาการหนักหนาที่ว่านั้นเพียงเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงผู้คน หากถูกเฉินตันจูรู้เข้าจากการจับชีพจรคงจะยุ่งยาก…พี่หกจะอธิบายอย่างไร
นางรีบพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้ามุทะลุเอง ข้าไม่รู้เรื่อง ไม่สมควรชี้นิ้ว มาๆ ตันจูพวกเรามาดื่มคนละจอก” พูดพลางอีกมือยกจอกอีกใบขึ้น “ข้าดื่มแทนพี่หกผู้น่าสงสารของข้าหนึ่งจอก”
เฉินตันจูยิ้มพลางยกจอกสุราขึ้น หญิงสาวทั้งสองล้วนดื่มจนหมดจอกด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย
ฉู่อวี๋หยงถือถ้วยชาอย่างระอา “ข้าสามารถใช้ชาแทนเหล้าได้ จินเหยาไม่ต้องดื่มแทนข้า หลายปีไม่ได้พบหน้า เจ้าแตกต่างจากตอนเด็กเสียจริง ดื่มเหล้าได้เสียแล้ว”
ไม่พบหน้าหลายปี! องค์หญิงจินเหยาแอบหัวเราะในใจ ยกจอกสุราขึ้นแล้วพูด “ไม่พบหน้าหลายปี ข้าเปลี่ยนแปลงไปมาก ข้ายังเรียนรู้การชนมุม พี่หกท่านจะประลองกับข้าหรือไม่”
ฉู่อวี๋หยงดื่มชาจนหมดถ้วย “ได้ รอข้าหายดีจะประลองกับเจ้า” เขาพูดกับเฉินตันจูอีกครั้ง “ตอนเด็กข้ากับน้องหญิงจินเหยาสนิทกันที่สุด สุขภาพข้าไม่ดี เคลื่อนไหวมากไม่ได้ จินเหยามักมาเล่นเป็นเพื่อนข้า”
เรื่องตอนเด็ก องค์หญิงจินเหยาเคยเล่าให้นางฟังแล้ว เมื่อนึกได้ว่าคำว่าเล่นของเขาหมายถึงการนอนแกล้งเป็นคนตายอยู่บนพื้น เฉินตันจูก็อดหัวเราะไม่ได้ นางยกจอกสุราขึ้น “หม่อมฉันดื่มให้พี่ชายแสนดีของจินเหยาหนึ่งจอก”
ฉู่อวี๋หยงยิ้มเล็กน้อย รินชายกขึ้น “ข้าดื่มให้สหายแสนดีของจินเหยาหนึ่งถ้วย มีสหายอย่างคุณหนูตันจู ข้าดีใจแทนจินเหยา”
ทั้งสองสบตากันแล้วยิ้ม ดื่มจนหมดในคราวเดียว
เอาเถิด พวกเขาทั้งสองล้วนดื่มให้อีกฝ่ายเพราะนาง เช่นนั้นนางจะดื่มให้ตนเอง องค์หญิงจินเหยายิ้มยกจอกสุราขึ้นดื่มเองจนหมด
งานเลี้ยงจบลงอย่างรวดเร็ว ฉู่อวี๋หยงไม่ได้หาทางรั้งเฉินตันจูเอาไว้อีก เขาส่งทั้งสองคนจากไป ประตูจวนปิดลงอย่างช้าๆ ภายในจวนกลับคืนสู่ความสงบ
หวังเจียนเดินออกมาจากด้านหลัง พลางดื่มชา พลางมองสำรับของฉู่อวี๋หยง
อาหารจืดชืดล้วนยกลง อาหนิวกำลังนำเนื้อย่าง ปลาและกุ้งอบน้ำมัน ผักสด อาหารที่หอมกรุ่นจัดวางเต็มโต๊ะ ในมือของฉู่อวี๋หยงยังถือเหล้าเหยือกหนึ่ง พูดกับหวังเจียน “ส่งแขกแล้ว เจ้าบ้านกินได้แล้ว”
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ “มีอันใดน่าดีใจ แม้จะเชิญคุณหนูตันจูมา นางก็ไม่คิดจะคบหากับท่าน ไม่ถามอาการของท่านแม้แต่น้อย องค์หญิงตรัสด้วยตนเอง นางยังปฏิเสธอย่างเด็ดขาด”
ฉู่อวี๋หยงส่ายหน้าอย่างเรียบเฉย “นางไม่ใช่ไม่ต้องการคบหากับข้า แต่เพราะเรื่องขององค์ชายสาม นางจึงไม่อยากรักษาให้ผู้ใดอีก ไม่รักษาก็ไม่รักษา ข้าไม่ต้องใช้อาการป่วยเพื่อไปมาหาสู่กับนาง”
…
องค์หญิงจินเหยากลับถึงพระราชวัง เดินทางไปทูลฮ่องเต้อย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นฮ่องเต้กำลังมีงานเลี้ยงขนาดเล็ก องค์ชายภายในพระราชวัง รวมทั้งองค์รัชทายาทก็เสด็จมา
นับแต่เรื่องขององค์ชายห้า ในที่สุดฮ่องเต้ก็สังเกตเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าองค์ชาย เขาต้องการให้พี่น้องอยู่ด้วยกันอย่างสันติ ดังนั้นจึงไม่ได้เรียกเพียงองค์รัชทายาทมาอยู่ข้างกาย ตอนเสวยพระกระยาหาร ตอนทรงงานเสร็จ เขามักจะเรียกเหล่าองค์ชายมา อีกทั้งเหล่าองค์ชายกำลังเตรียมการแบ่งจวนออกจากพระราชวัง ฮ่องเต้จึงยิ่งรักษาช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันระหว่างพี่น้องบิดาและบุตร งานเลี้ยงจึงยิ่งมีบ่อยขึ้น
ไม่มีคำพูดเสียดสีขององค์ชายห้า อีกทั้งความเมตตาขององค์รัชทายาท ความอ่อนน้อมขององค์ชายสอง ความอ่อนโยนขององค์ชายสาม ความซื่อสัตย์ขององค์ชายสี่ งานเลี้ยงของบิดา บุตรและพี่น้องจึงมีบรรยากาศที่เป็นสุขอย่างมาก
เมื่อองค์หญิงจินเหยาเดินทางมา ไม่รู้องค์ชายสองพูดเรื่องใด ทุกคนต่างหัวเราะร่า ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ตรงกลางก็รู้สึกขบขัน เมื่อเห็นจินเหยา ฮ่องเต้ก็หยุดหัวเราะ
“เสด็จพ่อ” จินเหยาวิ่งเข้าไปด้วยรอยยิ้ม นั่งอยู่ด้านข้างฮ่องเต้ ก่อนจะมองสำรับ “อาหารอร่อยมากมายเพียงนี้ เสด็จพ่อ หม่อมฉันก็จะกิน”
ฮ่องเต้พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไปเยี่ยมคน ยังจะหิวกลับมาได้อีกหรือ”
องค์หญิงจินเหยาพูดอย่างอารมณ์ดี “บนแผ่นดินนี้จะมีอาหารที่ใดอร่อยเท่าของเสด็จพ่อ”
ฮ่องเต้ไม่สนใจ ส่งเสียงไม่พอใจสองที ก่อนจะพูดเสริมแทนองค์หญิงจินเหยา “โดยเฉพาะจวนขององค์ชายหกที่โดดเดี่ยวเดียวดาย”
องค์หญิงจินเหยาเข้ามา ทุกคนยังคงสนทนาด้วยความสนุกสนาน แต่พวกเขาล้วนเงี่ยหูฟังทางนี้ เมื่อจวนองค์ชายหกถูกเอ่ยออกมา เสียงหัวเราะและพูดคุยต่างเงียบลง ทุกคนต่างมองมา
องค์หญิงจินเหยาดึงแขนเสื้อของฮ่องเต้พลางหัวเราะ
ฮ่องเต้ดึงแขนเสื้อกลับมา “ถึงแม้จวนองค์ชายหกไม่มีสิ่งใดกิน แต่องค์หญิงตันจูมี จวนองค์หญิงตันจูต้องการสิ่งใดมีสิ่งนั้น อาหารที่วางอยู่บนโต๊ะข้า บนโต๊ะนางก็มี”
องค์หญิงจินเหยากอดแขนของฮ่องเต้หัวเราะ “เสด็จพ่อ ไม่มีเพคะ ไม่มี พระองค์อย่าได้ฟังคำใส่ร้ายของผู้อื่น”
ครานี้ฮ่องเต้ไม่พูด แต่องค์รัชทายาทพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เสด็จพ่อเชื่อฟังคำใส่ร้าย หากแต่ใต้เท้าสองท่านจากเส้าฝู่เจี้ยนกับสำนักโขลนวังต่างมาฟ้องแล้ว”
องค์หญิงจินเหยารีบพูด “องค์รัชทายาท ท่านอย่าได้ฟังพวกเขาพูดเหลวไหล พวกเขาปฏิบัติไม่ดีต่อพี่หกก่อน ตันจูทำเพื่อพี่หกเพคะ”
องค์รัชทายาทพยักหน้า “ใช่ คุณหนูตันจูเป็นหญิงสาวที่มีใจเมตตา ตอนนั้นก็เป็นกังวลน้องสามเช่นนี้ ตามหายาทั่วเมืองเพื่อรักษาโรคให้เขา”
องค์รัชทายาทพูด มองไปทางองค์ชายสามด้วยรอยยิ้ม
ทุกสายตาภายในตำหนักต่างมองไปทางองค์ชายสาม
เรื่อของเฉินตันจูกับองค์ชายสาม ทุกคนต่างคุ้นเคยแล้ว เฉินตันจูประกาศจะรักษาโรคให้องค์ชายสาม ประจบสอพลอ อีกทั้งยังจับคนมาทดลองยาทั่วเมือง แต่องค์ชายสามเชื่อเฉินตันจู ไม่เสียดายที่จะทำให้ฮ่องเต้โกรธหลายต่อหลายครั้งเพื่อเฉินตันจู ทั้งคุกเข่าอดอาหาร หรือการสอบคัดเลือกขุนนางก็เป็นเพราะต้องการช่วยเฉินตันจูก่อกวนกั๋วจื่อเจี้ยน
เวลานี้เรื่องเหล่านี้ยังผ่านไปไม่นาน เฉินตันจูก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้องค์ชายหกที่มาใหม่อีกครั้ง อืม…
สีหน้าของทุกคนซับซ้อนอย่างมาก องค์รัชทายาทยิ้มบาง องค์ชายสองเห็นใจ องค์ชายสี่สมน้ำหน้า ฮ่องเต้เย็นชา แม้แต่องค์หญิงจินเหยาก็รู้สึกเก้อ สายตาล่อกแล่ก
องค์ชายสามนั่งร่วมกับองค์ชายสอง เขาหยุดพูดลงแล้ว เพียงแต่ไม่ได้มองฮ่องเต้กับจินเหยา หากแต่ตั้งใจคีบชิ้นปลากะพงนึ่ง
องค์รัชทายาทพูดจบ สายตาภายในตำหนักต่างจับจ้องเขา ตะเกียบขององค์ชายสามไม่ได้หยุดลง ส่งเนื้อปลานุ่มที่คีบออกมาเข้าปาก ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้องค์รัชทายาท
เขาพูด “คุณหนูตันจู มีจิตใจเมตตาของผู้เป็นไต้ฟู”
องค์ชายสองรู้สึกว่าในฐานะพี่ชาย ไม่ควรให้น้องชายกระอักกระอ่วนเกินไป จึงรีบพยักหน้า “ใช่ คุณหนูตันจูมีความสามารถทางการรักษา สิ่งอื่นไม่รู้ แต่ยาหนึ่งตำลึงทองนั้น ข้าได้ยินว่าได้รับความนิยมมาก”
องค์ชายสี่ยิ้ม “พี่สอง ยาหนึ่งตำลึงทองล้วนเป็นเหล่าหญิงสาวใช้ ท่านรู้ได้อย่างไร”
“น้องสี่ เจ้าพูดผิดแล้ว” องค์รัชทายาทยิ้มพลางส่ายหน้า “หนึ่งตำลึงทองไม่ได้มีเพียงหญิงสาวใช้ เจ้าไม่ได้ไปจวนโหวของอาเสวียน หากเจ้าไปเจ้าก็จะเห็นว่าภายในห้องเขาวางอยู่หนึ่งลัง ใช้ทุกวัน คุณหนูตันจูเป็นคนมอบให้”
ประเด็นทางด้านนี้เปลี่ยนไปทางโจวเสวียน มือที่จับตะเกียบขององค์ชายสามกำแน่นขึ้น เขาเหลือบมององค์รัชทายาท
การเบี่ยงเบนประเด็นสำหรับเฉินตันจูแล้ว ยิ่งเปรียบเสมือนการราดน้ำมันบนเปลวเพลิง
ฮ่องเต้ที่เงียบสงัดส่งเสียงไม่พอใจขึ้นมาตามคาด “เฉินตันจูเป็นไต้ฟูอันใดกัน”
ไต้ฟูเป็นเพียงกลอุบายที่นางใช้บรรลุเป้าหมายเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าองค์หญิงจินเหยาก็รู้ว่าที่องค์รัชทายาทพูดถึงองค์ชายสามก่อน จากนั้นพูดถึงโจวเสวียนไม่ใช่เป็นการชื่นชมเฉินตันจู ได้ยินเสียงไม่พอใจของฮ่องเต้ นางรีบพูด “เสด็จพ่อ ไม่มีเพคะ ตันจูไม่ได้บอกว่าจะรักษาให้พี่หก นางยังชื่นชมเสด็จพ่อ บอกว่าเสด็จพ่อดูแลพี่หกได้อย่างรอบคอบ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ “หากพูดเช่นนี้ ครานี้นางเสียดายเด็กที่จะใช้หลอกหมาป่า ก่อนหน้านี้เพื่อซิวหยง ทั้งซื้อยาทั้งหั่นยา ครานี้แม้แต่แรงยังไม่อยากสิ้นเปลือง ใช้เพียงวาจาในการสร้างชื่อเสียงเป็นห่วงองค์ชาย?”
องค์ชายสี่อดหัวเราะไม่ได้ หลังจากหัวเราะไปไม่กี่ที เขาถึงได้พบว่าผู้อื่น องค์ชายสองและองค์ชายสามล้วนไม่ได้หัวเราะ มีเพียงองค์รัชทายาทที่ยิ้มออกมา หากแต่เป็นเพียงแค่การยิ้มบาง…เขารีบหุบปากลงทันที คนก็ถอยหลังไปเล็กน้อย
ฮ่องเต้ไม่สนใจเขา
องค์หญิงจินเหยาเขย่าแขนของฮ่องเต้ “เสด็จพ่อ…พระองค์อย่าตรัสเช่นนี้ นางคิดว่าไม่ต้องการความช่วยเหลือของนาง นางยังชี้ต้นไม้นั้นให้พี่หก…เสด็จพ่อพระองค์ทรงทำเพื่อพี่หกมากเพียงนี้ จวนตกแต่งอย่างตั้งใจ พระองค์ไม่แม้แต่จะตรัส พวกเราล้วนไม่รู้”
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจอีกครั้ง “มีเรื่องใดต้องพูดกัน”
ไม่ต้องใช้เรื่องนี้มาประจบเขา หญิงสาวอย่างเฉินตันจูไม่มีความสามารถอื่น รู้แต่พูดจาอ่อนหวาน…ถือว่านางมีแวว รู้มูลค่าของต้นไม้นั้น
องค์รัชทายาทถามอย่างสงสัย “ต้นไม้อันใด”
องค์หญิงจินเหยายิ้มให้เขา “เสด็จพ่อทรงมอบต้นไม้มีนัยยะมงคลให้พี่หกต้นหนึ่ง ตอนนั้นข้าเชิญคุณหนูตันจูดูอาการให้พี่หก คุณหนูตันจูบอกว่าเสด็จพ่อดูแลพี่หกอย่างดี นางยอมแพ้ ไม่กล้าอวดเก่ง อีกทั้งยังบอกว่าพี่หกอยู่ภายใต้การดูแลของเสด็จพ่อ ย่อมดีขึ้นได้อย่างแน่นอน”
พูดพลางเขย่าแขนของฮ่องเต้ “ใช่หรือไม่เพคะ เสด็จพ่อ พระองค์ต้องทำให้พี่หกดีขึ้นอย่างแน่นอน”
ความหมายในประโยคสุดท้าย ย่อมมีแต่ความลับที่รู้กันระหว่างบิดากับบุตรสาว
ฮ่องเต้สะบัดมือของนาง “ไปนั่งลงให้ดี โตเพียงใดแล้ว มีมารยาทหรือไม่”
องค์หญิงจินเหยาตอบรับด้วยรอยยิ้ม เรียกขานขันทีที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างให้จัดเตรียมสำรับให้นางอยู่ข้างฮ่องเต้
“อย่างไรก็ตาม คุณหนูตันจูไม่ได้มีเจตนาเกาะเกี่ยวพี่หก นางมีเจตนาดีจริงๆ” นางอธิบายกับฮ่องเต้อีกครั้ง
ฮ่องเต้ยิ้มเย็น “นางมีเจตนาดี ข้าเป็นบิดาที่ชั่วร้ายปฏิบัติต่อบุตรไม่ดี ข้าสมควรเชิญคุณหนูตันจูมา ขอบคุณนาง” พูดพลางเรียกขานขันทีจิ้นจง ราวกับต้องการถ่ายทอดพระราชโองการจริง
องค์หญิงจินเหยารีบโบกมือ อธิบายต่อ “ไม่ใช่เพคะ ไม่ใช่เพคะ เสด็จพ่อ”
องค์รัชทายาทยิ้ม “จินเหยา หลายปีแล้ว เจ้าอยู่ข้างกายเสด็จพ่อ อีกทั้งอยู่ข้างกายน้องหก เจ้าไม่รู้หรือว่าเสด็จพ่อดูแลน้องหกอย่างไร เวลานี้กลับบอกว่าคนนอกผู้หนึ่งปฏิบัติต่อน้องหกดีกว่า มันเสียมารยาท”
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่องค์รัชทายาทพูดจาไม่เป็นมิตรนับแต่พูดถึงเฉินตันจู องค์หญิงจินเหยามองไปทางเขา ในใจของนาง องค์รัชทายาทเป็นพี่ชายที่มีความเมตตาเสมอมา บางครั้งเรื่องที่ฮองเฮาละเลย องค์รัชทายาทมักจะคำนึงแทนนางได้อย่างรอบคอบ เมื่อฮองเฮาจะลงโทษนาง องค์รัชทายาทก็มักจะขอร้องแทน…
ไม่คิดว่าจะมีวันหนึ่ง องค์รัชทายาทจะพูดกับนางเช่นนี้ แน่นอน องค์หญิงจินเหยามิใช่หญิงสาวที่รู้จักแต่การแต่งตัวเหมือนตอนเด็กอีกแล้ว นางรู้ดี องค์รัชทายาททำเช่นนี้กับนาง เพราะมันกระทบต่อผลประโยชน์ของเขา หรืออาจบอกว่าการที่นางปกป้องเฉินตันจูกระทบต่อผลประโยชน์ขององค์รัชทายาท
แต่องค์หญิงจินเหยาก็ยังมีความขุ่นเคืองต่อองค์รัชทายาทขึ้นมา เขาไม่จำเป็นต้องโจมตีหญิงสาวตัวน้อยอย่างตันจูเช่นนี้
“เสด็จพี่องค์รัชทายาท” จินเหยายิ้มให้องค์รัชทายาท “เพราะตันจูเป็นคนนอก นางทำเช่นนี้ ข้าจึงต้องยิ่งขอบคุณนาง พวกเราเป็นคนในครอบครัว รู้นิสัยของพี่หก เนื่องจากป่วยจึงต้องกินอย่างเรียบง่าย คนที่ใช้ก็มีจำนวนน้อย แต่ตันจูไม่รู้ เมื่อนางได้ยินจึงรู้สึกว่าพี่หกถูกปฏิบัติไม่ดี เพราะเสด็จพ่อทรงงานหนัก อ่อ เสด็จพี่องค์รัชทายาทท่านก็ทรงงานหนัก นางจึงคิดว่าคนเบื้องล่างปฏิบัติต่อพี่หกไม่ดี จึงช่วยทวงความยุติธรรมทันที หากเป็นผู้อื่น เรื่องที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ มีสิ่งที่ต้องคำนึงมากมาย ย่อมไม่สนใจเพราะไม่ใช่เรื่องของตนเอง พวกเขาย่อมไม่มีทางทำเช่นนี้ คุณหนูตันจูไม่กลัวทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง อีกทั้งยังออกหน้าซักถามแม้จะต้องดูหมิ่นเสด็จพ่อ ความจริงใจเช่นนี้ ผิดหรือเพคะ”
องค์รัชทายาทมององค์หญิงจินเหยา ภายในดวงตายากที่จะปิดบังความตกตะลึง…เจ้าเด็กคนนี้ นางกำลังคัดค้านเขาหรือ อีกทั้งยังกล้าเสียดสีว่าเขาละเลยพี่น้อง?
บ้าไปแล้ว!
ไม่เพียงเหล่าพี่น้องที่บ้าไปแล้ว องค์หญิงเหล่านี้ก็บ้าไปแล้ว
องค์ชายสามยิ้มอยู่ด้านข้าง “คุณหนูตันจูเป็นเช่นนี้เสมอมา โกรธแค้นในความชั่วร้าย มุทะลุ บางครั้งอาจดูเหมือนไม่น่าเข้าใจ แต่อันที่จริงปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ตอนนั้นตะโกนด่าสวีลั่วจือ ในสายตาของผู้อื่นนางอาจกระทำผิดอย่างมหันต์ แต่ในสายตาจางเหยา นางมีความเป็นสตรีที่พร้อมช่วยเหลือเพื่อผดุงความยุติธรรม”
องค์หญิงจินเหยาพยักหน้าให้องค์ชายสาม “พี่สามก็มีความจริงใจ ดังนั้นตอนนั้นจึงไม่เสียดายที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงช่วยเหลือ พิสูจน์ความจริง จางเหยาควรค่าแก่การช่วยเหลือ เชื่อน้ำเพียงหนึ่งแห่งก็สามารถช่วยเหลือราษฎรนับหมื่น”
พวกเขาล้วนพูดด้วยรอยยิ้ม แต่บรรยากาศภายในตำหนักแปลกประหลาดไป
องค์ชายสองที่ให้ความสำคัญกับพี่น้องยกชาขึ้นดื่ม ราวกับไม่ว่างพูด ส่วนองค์ชายสี่หดศีรษะถอยหลังไปอีกเล็กน้อย
องค์รัชทายาทมององค์ชายสามกับองค์หญิงจินเหยา คนหนึ่งน้องชาย คนหนึ่งน้องสาว คนหนึ่งพูด อีกคนหนึ่งเสริม ไม่ หากพูดให้ถูกต้อง เหล่าองค์ชายที่นิ่งเงียบในเวลานี้ย่อมเท่ากับคัดค้านเขา
สถานการณ์วันนี้ องค์รัชทายาทคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาเร็วเพียงนี้