บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 359 ผู้ชม
บนศาลางานเลี้ยงริมทะเลสาบของตระกูลฉางมีคนนั่งอยู่โต๊ะเดียว
เหล่าสาวรับใช้ที่คัดเลือกอย่างตั้งใจยืนอยู่รอบด้านอย่างงกๆ เงิ่นๆ นายท่านใหญ่ตระกูลฉางและคนอื่นที่นั่งอยู่บนโต๊ะต่างมีสีหน้าเหม่อลอย
มีเพียงชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตำแหน่งหลักกินดื่มอย่างสบายอารมณ์
โจวเสวียนกินหัวปลาหนึ่งหมด ชื่นชมต่อนายท่านใหญ่ตระกูลฉาง “ปลานี้ไม่เลว เลี้ยงในทะลสาบของพวกเจ้าหรือ”
เขาชี้ไปยังทะเลสาบด้านข้าง เรือที่สลักอยู่บนเสาริมทะเลสาบสะท้อนลงผิวน้ำราวกับภาพวาด
นายท่านใหญ่ตระกูลฉางเค้นยิ้มออกมา “ขอรับ ท่านโหวชอบก็พอ”
โจวเสวียนพูด “ข้าชอบมาก” ก่อนจะดื่มสุราจนหมด เขาเขย่ากาสุราขนาดเล็ก หมดเกลี้ยง
ชิงเฟิงรีบเรียกสาวรับใช้ด้านข้าง “เติมเหล้า เติมเหล้า”
สาวรับใช้ถือสุรามาด้วยท่าทางแข็งทื่อ
โจวเสวียนยกมือห้าม “ไม่ต้อง” เขาลุกขึ้นยืน “ข้ากินเสร็จแล้ว ยังมีเรื่องอื่น ไม่รบกวนนายท่านฉางแล้ว” พูดพลางมองไปด้านข้าง เหล่าสตรีของตระกูลฉางล้วนเบียดตัวอยู่ในศาลา เมื่อเห็นโจวเสวียนมองมา ไม่ว่าสตรีอายุเพียงใดล้วนถอยหลังไป โจวเสวียนยิ้มมุมปาก “ให้เหล่าคุณหนู ฮูหยินกินดื่มตามสบาย”
นายท่านใหญ่ตระกูลฉางลุกขึ้นยืนด้วยตัวแข็งทื่อ ทำท่าจะรั้งเขาเอาไว้
โจวเสวียนมองเขาด้วยรอยยิ้ม “ในใจของนายท่านฉางคิดเช่นนี้จริงหรือ”
เอ่อ? นายท่านใหญ่ตระกูลฉางตื่นตัวขึ้นมาทันที เขามองโจวเสวียนอย่างหวาดกลัว ท่านโหวอายุน้อยไม่ได้บีบบังคับอีก หากแต่หัวเราะร่า เดินผ่านเขาจากไป
ชายหนุ่มร่างกายสูงโปร่ง ท่าทางยโส โดดเด่นภายใต้แสงอาทิตย์…
เฮ้อ นายท่านใหญ่ตระกูลฉางยื่นมือปิดหน้า หากไม่ได้โดดเด่นบนงานเลี้ยงของตระกูลพวกเขาคงจะดี
เคยได้ยินว่าท่านโหวโจวยโส วันนี้ถือว่าได้เห็นแล้ว…ถึงแม้พวกเขาจะไปมาหาสู่กับตระกูลชนชั้นสูงในเมืองหลวง แต่คนที่มีฐานะอย่างโจวเสวียน พวกเขาก็ยังไม่อาจเอื้อม ปีก่อนโจวเสวียนก็มา แต่เวลานั้นโจวเสวียนเอาแต่ติดตามองค์หญิงจินเหยา ไม่ได้พูดจากับผู้อื่น…
“หากองค์หญิงจินเหยาเสด็จมา คงจะไม่เป็นเช่นนี้” นายท่านหนึ่งพึมพำ
“เฉินตันจูย่อมต้องมาด้วย” นายท่านอีกคนถอนหายใจ
หากเฉินตันจูมา เหล่าตระกูลชนชั้นสูงย่อมไม่มา สถานการณ์ยังคงเหมือนเวลานี้
“ไม่แน่” นายท่านอีกคนวิเคราะห์อย่างจริงจัง “ถึงแม้ทุกคนต้องการทำให้เฉินตันจูอับอาย แต่หากองค์หญิงจินเหยากับโจวเสวียนล้วนมา ทุกคนย่อมต้องคำนึงถึงหน้าของพวกเขา อย่างน้อยก็ต้องมาบางส่วน”
อีกอย่าง ไม่มากับถูกไล่มันคนละเรื่อง
สมเหตุสมผล เหล่านายท่านบนโต๊ะต่างพยักหน้า
นายท่านใหญ่ตระกูลฉางตั้งสติกลับมา ยิ้มเย้ยหยัน “คิดอันใดกัน! เฉินตันจูมา ตระกูลชนชั้นสูงดูถูกพวกเรา เฉินตันจูไม่มา โจวเสวียนก่อเรื่องไล่คนไป เหล่าตระกูลชนชั้นสูงก็มีแต่จะขุ่นเคืองพวกเรา อย่างไรก็ตาม คนที่โชคร้ายคือพวกเรา มีสิ่งใดแตกต่าง ล้วนเหมือนกัน!” พูดพลางสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างขุ่นเคือง
เหล่านายท่านที่เหลือต่างมองหน้ากัน โบกมืออย่างท้อแท้ สลายตัวๆ
ไม่พูดถึงความท้อแท้ของตระกูลฉาง โจวเสวียนควบม้าเร็วไปทางเมืองหลวง ชิงเฟิงที่ตามอยู่ด้านหลังหัวเราะขึ้นมาในบางครั้ง
“สีหน้าของคนเหล่านั้น…คุณชายท่านเห็นหรือไม่”
“ข้ากินอาหารแล้ว ล้วนเป็นอาหารเลิศรส ตระกูลฉางครานี้ลงทุนอย่างมาก”
“ฮ่าๆๆ ครานี้พวกเขาขาดทุนใหญ่แล้ว”
ระหว่างทางมีแต่เสียงเขา โจวเสวียนเพียงแค่ควบม้า ไม่พูดสิ่งใด ดวงตาแพรวพราวมองไปทางด้านหน้า
ชิงเฟิงตบม้าเข้าใกล้ ตะโกนเรียก “คุณชาย คุณชาย พวกเรารีบไปบอกข่าวดีนี้แก่คุณหนูตันจู ให้นางดีใจด้วย”
นาง? โจวเสวียนทำหน้าบึ้ง
“ไม่รู้คุณหนูตันจูกลับไปแล้วหรือไม่” ชิงเฟิงพึมพำ “ไม่รู้ยังร้องไห้อยู่ด้านหน้าสุสานของแม่ทัพหน้ากากเหล็กหรือไม่”
เฮ้อ หลายวันนี้คุณหนูตันจูได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว ทำได้เพียงไปร้องไห้ที่หน้าสุสานของท่านแม่ทัพ
มือที่จับเชือกของโจวเสวียนลังเลเล็กน้อย ด้านหน้าเป็นทางแยก ด้านหนึ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง อีกด้านมุ่งหน้าไปยังสุสานของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
เวลานี้เฉินตันจูยังอยู่สุสานหรือ
หากเขาเดินทางไป จะเป็นการไปหานางอย่างเปิดเผยไปหรือไม่
หากเห็นเขาไปสุสานของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก นางจะเสียสติหรือไม่ อย่างไรแล้วในสายตาของหญิงโง่คนนี้ ตนเองเป็นคนทำให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กต้องตาย
สีหน้าของโจวเสวียนดำทะมึน เชือกที่จับไว้แน่นจนเกิดเสียง เฉินตันจูโกรธเขาอย่างมาก ถึงแม้เขาจะเป็นคนทำให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กตายแล้วอย่างไร นางจะเห็นเขาเป็นศัตรูที่สังหารบิดาของตนเองจริงหรือ!
เพียงแค่คิดถึงวันที่อยู่ในกระโจม ต่อหน้าร่างของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก สายตาที่เฉินตันจูมองเขา โจวเสวียนก็ทั้งโกรธทั้งเจ็บปวด ไม่อาจหายใจได้
ไม่ใช่เพียงเพราะแม่ทัพหน้ากากเหล็กปกป้องนางเสมอมาหรือ นางจึงมองเขาเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวบนโลกใบนี้ เป็นหญ้าช่วยชีวิต…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หัวใจของโจวเสวียนก็อ่อนลง เฉินตันจูน่าสงสารจริงๆ ถึงแม้จะดูสง่างาม แต่อันที่จริงอยู่ท่ามกลางอันตราย นางต้องฉีกกัดอย่างมุทะลุไปตลอดทาง สิ่งที่อยู่ล้อมรอบนางก็เป็นเขี้ยวเล็บที่คอยจะฉีกนางเป็นชิ้นๆ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเพิ่งจากไป เฉินตันจูก็ถูกเหยียดหยามอย่างหนักจากงานเลี้ยงของเหล่าชนชั้นสูง
แต่ว่าไม่เป็นอันใด ยังมีเขา เขาจะทำให้นางเห็น บนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่เป็นที่พึ่งของนาง
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องไปพูดกับนางเอง ข่าวย่อมต้องแพร่กระจายออกไปแล้ว นางย่อมรับรู้
โจวเสวียนสูดลมหายใจเข้า ปล่อยเชือกที่เร่งม้าออก ควบผ่านทางแยกมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง เป็นไปตามที่คาด เมื่อเดินทางผ่านโรงน้ำชาที่คึกคักที่สุดที่เชิงเขาดอกท้อ เขาก็ได้ยินคนเดินทางนินทา ถึงแม้ได้ยินสิ่งที่พูดไม่ชัด แต่มีชื่อหนึ่งดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เฉินตันจู”
“เป็นเฉินตันจู…”
“…เฉินตันจู…”
เฉินตันจูจะเดินทางผ่านตรงนี้ในไม่ช้า นางมีสัมพันธ์อันดีกับหญิงชราขายชา ย่อมต้องหยุดลงเพื่อดื่มชา จากนั้นได้ยินเรื่องงานเลี้ยงของตระกูลฉาง
โจวเสวียนชะลอความเร็วลง เงี่ยหูขึ้น
“…เฉินตันจูเดินทางผ่านประตูเมืองเช่นนี้เสมอมา ไม่มีผู้ใดกล้ารั้งนาง”
“แต่ไม่ได้บอกว่าเวลานี้แตกต่างจากแต่ก่อนแล้วหรือ เฉินตันจูยังหยิ่งยโสได้ถึงเพียงนี้?”
“แตกต่างจริงๆ แต่ก่อนออกมานางมีแค่คนขับเคลื่อนรถม้าคนเดียว เวลานี้ ด้านหลังมีทหารนับร้อยติดตาม…”
“น่ากลัวมาก ผ่านประตูเมืองไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดกล้าพูด”
อันใด ประตูเมืองอันใด ไม่ใช่เรื่องงานเลี้ยงของตระกูลฉางหรือ โจวเสวียนขมวดคิ้ว เกิดเรื่องใดขึ้น
ชิงเฟิงก็เงี่ยหูฟัง “คุณชาย ราวกับบอกว่าคุณหนูตันจูกลับไปแล้ว ตอนเข้าประตูเมืองมีการเคลื่อนไหวใหญ่มาก มีทหารจำนวนมาก”
เฉินตันจูเอาทหารมาจากที่ใด ก่อนหน้านี้ไปมาอย่างอิสระในค่ายทหาร เพราะมีแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เวลานี้ท่านแม่ทัพไม่อยู่แล้ว ทหารไม่สนใจว่านางเป็นผู้ใด
โจวเสวียนขมวดคิ้ว ไม่สนใจชะลออยู่ที่โรงน้ำชา เขาควบม้าไปทางประตูเมือง เขาต้องการถามว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อถึงประตูเมือง ไม่ต้องถาม เขาก็มองเห็นคนจำนวนมากจากระยะไกล คนทางนั้นกำลังชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“ท่านโหวโจว!” ทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นโจวเสวียนแต่ไกล เขารีบเปิดทางอีกครั้ง เหล่าทหารเฝ้าประตูเมืองต่างเดินหน้าคำนับ
“เกิดเรื่องใดขึ้น” โจวเสวียนถาม “เหตุใดจึงมีคนจำนวนมากที่หน้าประตูเมือง”
เหล่าทหารรีบตอบ “ท่านโหว ราวกับว่าองค์ชายหกเสด็จมาแล้ว”
องค์ชายหก? โจวเสวียนผงะไปเล็กน้อย เขาย่อมรู้จักองค์ชายหก ตอนเด็กยังเคยพบกัน แต่เขาไม่มีความทรงจำต่ออีกฝ่ายไปนานแล้ว องค์ชายหกมาได้อย่างไร
“ท่านดู ทหารนั้นเป็นทหารคุ้มกันองค์ชายหก” ทหารชี้ไปทางด้านหน้า
โจวเสวียนเงยหน้ามองข้ามผ่านฝูงชน เห็นเหล่าทหารนับร้อยกำลังจัดกระบวนทัพอยู่ที่พื้นที่โล่งไม่ไกลจากประตูเมือง ตรงกลางเป็นรถม้าสีดำคันหนึ่ง
องครักษ์หลวงไม่ใช่ผู้ใดก็สามารถสั่งการได้ หรือว่าองค์ชายหกเสด็จมาจริง
โจวเสวียนขี่ม้าเดินขึ้นหน้า
ทางนี้มีขุนนางจำนวนไม่น้อยยืนอยู่ ทหารจำนวนมากเข้าเมือง ส่วนราชการในเมืองต่างตกใจจนมาซักถาม เมื่อได้ยินว่าเป็นองค์ชายหก ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ เหล่าองค์ชายเข้าเมืองล้วนมีการแจ้งล้วงหน้า มีทหารเปิดทาง ตอนที่องค์รัชทายาทเข้าเมือง ฮ่องเต้ยังออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ไม่มีองค์ชายท่านใดมาอย่างเงียบเชียบเช่นนี้
อีกทั้งมาถึงแล้วยังจอดอยู่ตรงนี้
แต่เมื่อพวกเขาขอเข้าเฝ้าองค์ชายหก ม่านรถเปิดขึ้นเพียงเล็กน้อย เด็กคนหนึ่งยื่นหัวออกมา บอกให้พวกเขาเงียบเสียง “องค์ชายบรรทมลงแล้ว อย่าเสียงดัง”
นอนแล้ว? เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากัน ทำเช่นนี้ได้หรือ แต่ว่าองค์ชายหกแตกต่างจากคนทั่วไป พระวรกายไม่แข็งแรง…
โจวเสวียนยืนตกตะลึงอยู่ด้านนอก เขาเคยพบเด็กคนนั้น ตอนที่ติดตามเหล่าองค์ชายไปเยี่ยมองค์ชายหก ถึงแม้จะไม่ได้พบกับองค์ชายหก แต่เขาได้พบกับเด็กคนนี้ เขาเป็นศิษย์ของไต้ฟูในจวนองค์ชายหก…องค์ชายหกเสด็จมาจริง
ฝ่าบาททรงรับองค์ชายหกมา? เหตุใดจึงรับองค์ชายหก องค์ชายหกใกล้จะไม่ไหวแล้ว ฝ่าบาทต้องการพบหน้าครั้งสุดท้ายหรือ
เขาไม่สนใจองค์ชายหกผู้นี้ จึงควบม้าไปทางพระราชวัง
ในพระราชวังได้ข่าวแล้ว ขันทีจิ้นจงรีบเดินทางไปยังตำหนักใหญ่ เพิ่งก้าวเข้าไป ก็ชนเข้ากับคนที่รีบออกมาจากด้านใน
“โอย อาจี๋” ขันทีจิ้นจงตะโกน “หากเป็นผู้อื่น ข้าจะโบยให้”
อาจี๋รีบคำนับขอโทษ รู้ว่าขันทีจิ้นจงไม่พูดเล่น อย่าว่าแต่ขันทีใหญ่ผู้นี้ แต่ก่อนขันทีคนใดก็ล้วนโบยเขาได้
“เจ้าตื่นตระหนกอันใด” ขันทีจิ้นจงตำหนิ “บอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว รับใช้ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท ต้องพัฒนา” จากนั้นเห็นใบหน้าเหม่อลอยของอาจี๋ เขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “องค์หญิงตันจูมาหรือ?”
อาจี๋พยักหน้าให้เขา “ต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท บอกว่าหากเข้าเฝ้าไม่ได้จะพาองครักษ์หลวงบุกเข้ามา บอกว่ามีเรื่องใหญ่ต้องทูล”
คุณหนูตันจูพูดโกหกหน้าตาย นางจะมีเรื่องใหญ่อันใดกัน
ขันทีจิ้นจงโอดครวญ หลังจากแม่ทัพหน้ากากเหล็กตายไป เฉินตันจูถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง ขันทีจิ้นจงก็ไม่ได้พบนางอีก คุณหนูตันจูราวกับหายตัวไปจากเมืองหลวง ระยะก่อนถูกคนรังแกเพียงนั้น ยังไม่เห็นนางพูดสิ่งใด ราวกับถูกฝังไว้ในจวนองค์หญิงแห่งนั้นแล้ว
คุณหนูตันจูฟื้นกลับมาอีกแล้ว?