บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 350 คึกคัก
ถึงแม้อากาศจะร้อนอบอ้าวมากเพียงใด แต่ก็ไม่มีผลกระทบต่อผู้คนที่เดินทางขวักไขว่ไปมาบนถนน โดยเฉพาะศาลาสิบลี้นอกเมือง คนนับสิบรวมตัว เงาภายใต้ร่มไม้ร้อยปีบริเวณศาลาสิบลี้ยังไม่อาจปกคลุมพวกเขาทั้งหมดไว้ได้
คนเหล่านี้มีทั้งคนชราและเด็ก มีคนที่รูปลักษณ์งดงาม แต่ก็มีคนที่รูปลักษณ์ทั่วไป มีคนสวมใส่เสื้อผ้าสง่างาม แต่ก็มีคนสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย แต่กิริยาท่าทางของพวกเขาล้วนไม่ธรรมดา
เหตุการณ์นี้ทำให้คนที่ผ่านไปมาต่างเกิดความอยากรู้
“บัณฑิตเหล่านี้จะประลองกันอีกแล้วหรือ” คนที่ผ่านไปมาถาม
นับแต่การประลองระหว่างเหล่าบัณฑิตชนชั้นสูงและบัณฑิตสามัญชนเมื่อปีก่อน เมืองหลวงมีบัณฑิตหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก มีสามัญชนที่อยากก้าวหน้า มีตระกูลชนชั้นสูงที่อยากปกป้องชื่อเสียง พวกเขาต่างจัดการอภิปรายเล็กใหญ่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิปีนี้ องค์ชายสามเป็นผู้ทรงจัดงานการสอบคัดเลือกขุนนางรอบแรกในแคว้นฉี มีบัณฑิตสามัญชนสามคนผลงานโดดเด่นจากคนนับพัน บัณฑิตสามคนสวมหมวกประดับดอกไม้คาดผ้าแดงขี่ม้าเข้าเมืองหลวง ถูกฮ่องเต้เรียกเข้าพบ พระราชทานสุราพร้อมทั้งตำแหน่งขุนนาง เหล่าบัณฑิตในแผ่นดินต่างบ้าคลั่ง…
“ไม่ใช่กระนั้น” ข้างทางนอกจากคนที่เดินทางผ่านไปมาแล้ว ยังมีคนที่มามุงดูเพื่อความสนุก เหล่าคนที่มามุงดูในเมืองหลวงเห็นการอภิปรายของเหล่าบัณฑิตบ่อยครั้ง การพูดก็แปรเปลี่ยนตามกันไป “พวกเขากำลังไปส่งเดินทาง”
ผู้ใดสามารถถูกบัณฑิตมากมายไปส่งเดินทาง คนที่ผ่านไปมายิ่งตกตะลึง
คนที่มามุงดูชี้ไปท่ามกลางฝูงชน “ดู บัณฑิตที่เพิ่งผ่านการสอบคัดเลือกจากแคว้นฉีทั้งสามคนนั้น”
เมื่อได้ยินว่าเป็นบัณฑิตที่เพิ่งผ่านการสอบคัดเลือก เหล่าคนเดินทางต่างเบียดกันเข้าไปดู ได้ยินว่าทั้งสามคนนี้เป็นเทพลงมาจุติ ตอนที่เดินขบวนบนท้องถนน ต่างถูกเหล่าประชาชนแย่งชิงลูบคลำเสื้อผ้า อีกทั้งยังมีคนพยายามกระชากเสื้อผ้าของพวกเขา หวังว่าตนเองและบุตรของตนเองสามารถสอบผ่าน มีอนาคตก้าวไกลได้บ้าง
เมื่อคนที่รวมตัวข้างทางมีจำนวนมากขึ้น พันหยงพูดทักทายทุกคนอย่างยิ้มแย้ม “เอาเถิด เอาเถิด รีบออกเดินทางเถิด มิฉะนั้นหากข่าวแพร่กระจายออกไป พวกท่านทั้งสามอาจไปไม่ได้แล้ว”
เหล่าบัณฑิตที่คุยเล่นกันถึงได้สังเกตสถานการณ์รอบด้าน ก่อนจะนึกถึงเหตุการณ์ขี่ม้าเดินขบวนในตอนนั้น พวกเขาต่างเร่งเร้าสามคนตรงกลางด้วยรอยยิ้ม “พวกเรารีบขึ้นม้า”
“ตอนที่ขี่ม้าเดินขบวน มีองครักษ์หลวงเปิดทางคุ้มกัน พวกเจ้าจึงไม่ถูกคนลักพาตัวไป”
“วันนี้ไม่มีองครักษ์หลวงของฮ่องเต้ พวกเราคงคุ้มกันพวกท่านไม่ได้”
บัณฑิตแคว้นฉีทั้งสามคนนั้นต่างรู้หนักเบา ถึงแม้คนที่ผ่านไปมาไม่ทำร้ายพวกเขาจริง แต่หากก่อให้เกิดปัญหา การเดินทางล่าช้าคงจะไม่ได้ ดังนั้นจึงยกมือบอกลาแล้วขึ้นม้า ควบม้าจากไปภายใต้การติดตามของบ่าวรับใช้
ยืนส่งทั้งสามคนขี่ม้าจากไป ก่อนจะมองคนรอบด้านที่กำลังถกเถียงกัน พันหยงเผยสีหน้าอิจฉา “พวกเราควรเป็นเช่นนี้”
คนรอบด้านต่างหัวเราะขึ้นมา “พี่พัน ประโยคนี้พวกเราพูดได้ ท่านพูดไม่ได้”
การประลองแห่งบัณฑิตระหว่างหอไจซิงและหอเหยาเย่ว์ในตอนนั้น พันหยงได้รับชัยชนะ อีกทั้งถูกฮ่องเต้เรียกเข้าพบ ถึงแม้จะไม่มีการขี่ม้าเข้าเมือง ถึงแม้ไม่ได้อยู่ภายในตำหนักใหญ่ของพระราชวัง แต่ก็ถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดัง
เวลานี้พันหยงถูกแต่งตั้งตำแหน่งขุนนาง กลายเป็นขุนนางระดับหกในกระทรวงขุนนาง อนาคตยาวไกลยิ่งกว่าบัณฑิตที่ผ่านการสอบคัดเลือกจากแคว้นฉีสามคนนี้เสียอีก
พันหยงย่อมรู้ดี แต่…
“อย่างไรก็เสียดายที่ไม่อาจเข้าร่วมการสอบคัดเลือกด้วยตนเองสักครั้ง” เขามองคนทั้งสามที่จากไป “สิบปีเงียบเหงาไร้คนถาม ยามหนึ่งชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมือง พวกเขาเป็นศิษย์แห่งโอรสสวรรค์ที่แท้จริง”
ทุกคนต่างเข้าใจความคิดของเขา พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ใช่ การประลองแห่งบัณฑิตระหว่างหอไจซิงและหอเหยาเย่ว์ เดิมทีก่อเกิดจากความเหลวไหลของเฉินตันจู ไม่อาจเทียบได้กับการสอบคัดเลือกที่จัดโดยราชสำนัก
“แต่ว่าทุกท่าน” พันหยงปรบมือเรียก “การประลองในหอไจซิงสืบเนื่องจากความเหลวไหล แต่การสอบคัดเลือกขุนนางมีต้นกำเนิดมาจากมัน ถึงแม้ข้าจะไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมแล้ว แต่บุตรหลานของข้ายังมีโอกาส”
ใช่ แคว้นฉีประสบความสำเร็จด้านการสอบคัดเลือกขุนนาง ทั้งต้าเซี่ยกำลังจะผลักดันนโยบาย หนึ่งปี สองปี สามปี นับสิบปี นับแต่นี้กลายเป็นกฎระเบียบ ตัวของพวกเขาเอง บุตรหลานของพวกเขาไม่ต้องกังวลด้านข้อจำกัดของชาติตระกูล เพียงแค่เรียนหนังสือ แม้จะมีการตกอับในบางรุ่น แต่รุ่นต่อไปยังคงมีโอกาสพลิกผันชีวิต
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ถึงแม้จะตื่นเต้นหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ เฮ้อ เรื่องแบบนี้ เรื่องที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคนบนแผ่นดินจำนวนมากเพียงนี้ นึกถึงทีไรยังคงทำให้คนตื่นเต้น ถึงแม้ว่าจะเป็นคนรุ่นหลัง แต่พวกเขาก็ยังคงจะตื่นเต้นและซาบซึ้งกับชั่วนาทีนี้
มันเป็นความสำเร็จที่จะสืบทอดไปนับพันปี เหล่าบัณฑิตที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นตะโกนร้องโห่ด้วยความดีใจ ก่อนจะเรียกมิตรสหายของตน “ไปกันเถิด วันนี้ไม่เมาไม่กลับ”
เมื่อเห็นความดีใจของทุกคน พันหยงระงับความอิจฉาและความตื่นเต้น พยักหน้าอย่างสงบ ถอนหายใจเสียงเบา “ใช่ ช่างป็นความสำเร็จที่จะสืบทอดไปนับพันปี”
โถงจัดงานเลี้ยงที่สูงที่สุดใหญ่ที่สุดของหอไจซิง อาหารและเครื่องดื่มจะถูกส่งเข้ามาเหมือนน้ำไหล เถ้าแก่ต้อนรับเหล่าบัณฑิตที่นั่งอยู่เต็มโถงด้วยตนเอง เวลานี้ยังมีการประลองบทกวีกินไม่เสียเงิน แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นวิธีการที่บัณฑิตจากต่างถิ่นมาสร้างชื่อเสียงในเมืองหลวง รวมทั้งยังเป็นวิธีที่บัณฑิตยาจกบางส่วนมาสนองความหิวโหย…แต่สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักแล้ว บัณฑิตที่มีความสามารถเช่นนี้จะได้รับการสนับสนุนจากผู้อื่น ไม่กล้าพูดว่าร่ำรวยมั่งคั่ง แต่อย่างน้อยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการกินอยู่
เวลานี้บัณฑิตสามัญชนไม่จำเป็นต้องหาโอกาสพึ่งพาชนชั้นสูงเพื่ออนาคตแล้ว หากแต่ชนชั้นสูงยินดีสนับสนุนคบหา พร้อมทั้งวางแผนอนาคตร่วมกัน
ผู้ที่มีตำแหน่งขุนนางอย่างพันหยงยิ่งแตกต่างจากแต่ก่อน เขามีจวนในเมืองหลวง รับบิดามารดามาพักอาศัย งานเลี้ยงหลายสิบคนในหอไจซิงก็สามารถเลี้ยงได้
สุราหอม อาหารเลิศรส มีนักดีดพิณและหญิงสาวขับกล่อมบทเพลง อีกทั้งยังมีการขับกล่อมบทกลอน จากหอสูงลงมายังถนนด้านล่าง ดึงดูดให้ผู้คนที่ผ่านไปมาต่างเงยหน้าขึ้นมอง…
“ราวกับว่ามีงานบทกวีที่ใหญ่มาก”
“ไม่รู้ว่าจะมีบทกวีที่ดีแบบใดออกมา”
ดังนั้นจึงมีคนบางส่วนเดินเข้าหอไจซิง พลางกินดื่มพลางรอคอยบทกวีใหม่ล่าสุด
มองแขกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จั่งกุ้ยที่ยืนอยู่ชั้นสามยิ้มจนไม่อาจหุบลงได้ เขากำชับเด็กในร้าน “นำสุราอีกสองโถไปให้คุณชายพัน”
เมื่อมีสุรา งานเลี้ยงยิ่งคึกคักมากขึ้น ทันใดนั้นเสียงโหวกเหวกบนท้องถนนดังขึ้นมา คนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างมองลงไป เห็นว่าเป็นทหารส่งสารขบวนหนึ่งเคลื่อนตัวผ่านไป พวกเขากำลังประกาศบางอย่าง ด้านหลังยังตามมาด้วยขุนนางหลายคน ผู้คนที่หลบอยู่สองข้างทางถกเถียงเสียงดัง…
สีหน้าล้วนดูดีใจ คงจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
“เหล่าคุณชาย เหล่าคุณชาย!” เด็กในร้านสองคนถือสุราสองโหลเข้ามา “จั่งกุ้ยของพวกเรามอบให้ขอรับ”
ถึงแม้จะมึนเมาจนตาลาย แต่บัณฑิตทั้งหลายยังคงมีสติ ถาม “ก่อนหน้านี้นำมาให้แล้วมิใช่หรือ พวกเจ้าส่งผิดหรือไม่ ระวังถูกจั่งกุ้ยหักเงิน”
เด็กในร้านสองคนหัวเราะ “ก่อนหน้านี้จั่งกุ้ยมอบให้คุณชายพัน ครานี้จั่งกุ้ยเลี้ยงทุกคนเพื่อร่วมฉลอง”
ร่วมฉลอง? เหล่าบัณฑิตถามอย่างสนใจ “หอสุราของพวกเจ้ามีเรื่องมงคลหรือ?”
“ไม่ใช่หอสุราของพวกข้ามีเรื่องมงคล แต่เกี่ยวกับหอสุราของพวกเรา อย่างไรคุณชายจางก็ออกไปจากหอไจซิงของพวกเรา อีกอย่าง มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณชายพันด้วย” เด็กในร้านพูดอย่างดีใจ
เหล่าบัณฑิตยิ่งฉงน คุณชายจางอันใดกัน เกี่ยวกับหอสุราของพวกเขาอย่างไร
“เหล่าคุณชาย จางเหยาอย่างไรเล่า จางเหยาผู้นั้น สร้างประตูเขื่อนใหม่ แก้ไขปัญหาน้ำหลากที่ประสบมาสิบกว่าปี แคว้นเว่ยไม่ต้องเผชิญกับภัยน้ำหลากแล้ว ข่าวดีกำลังนำไปทูลในพระราชวัง…”
…
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป แต่บรรดาบัณฑิตที่นั่งอยู่นั้นไม่สนใจที่จะพูดคุยเกี่ยวกับบทกวีอีกต่อไป พวกเขาพูดคุยกันด้วยเสียงเบา จนกระทั่งประตูถูกเปิดอีกครั้ง บัณฑิตหลายคนวิ่งเข้ามา
“ข้าถามมาแล้ว ข้าถามมาแล้ว” พวกเขาพูด “จางเหยาผู้นั้นสร้างเขื่อนกั้นน้ำสำเร็จจริงๆ”
จางเหยาผู้นั้นหรือ บรรดาบัณฑิตที่นั่งอยู่ถอนหายใจเล็กน้อย พวกเขารู้จักจางเหยาผู้นั้น การประลองระหว่างบัณฑิตตระกูลขุนนางกับสามัญชนเริ่มต้นขึ้นเพราะจางเหยาผู้นี้…เฉินตันจูพังทลายกั๋วจื่อเจี้ยนเพื่อเขา
แน่นอน สุดท้ายคนที่มีชื่อเสียงคือพันหยงและคนอื่น จางเหยาไม่มีความสามารถโดดเด่นทางด้านวิชาหยู ดังนั้นทุกคนจึงไม่คุ้นเคยกับเขา
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวิชาหยูของเขาจะธรรมดา แต่เขาก็ค่อนข้างมีความสามารถในการจัดการปัญหาน้ำ ในขณะที่เหล่าบัณฑิตกำลังเขียนบทกวีเกี่ยวกับวิชาหยูนั้นจางเหยากลับเขียนหนทางแห่งการจัดการน้ำบทแล้วบทเล่า อีกทั้งยังถูกรวบรวมไว้ในบันทึกของบัณฑิตหอไจซิง บันทึกนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง เมื่อถูกขุนนางเสนาบดีการคลังและเกษตรกรรมพบเห็นเข้า จึงถูกทูลต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้จางเหยาไปจัดการปัญหาน้ำที่แคว้นเว่ย สัญญาว่าหากเขาจัดการปัญหาน้ำหลากได้สำเร็จจะพระราชทานตำแหน่งขุนนางให้เขา
เวลานี้ เขาทำสำเร็จแล้ว
เหล่าบัณฑิต่างมองหน้ากัน จากนั้นต่างยิ้มขึ้นมา
“เป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่ดี” คนหนึ่งพูด “แม้ว่าจะไม่ใช่การสอบด้วยปากกา แต่ก็ได้มาจากความสามารถที่แท้จริง ถือเป็นการสอบคัดเลือกเช่นเดียวกัน”
บัณฑิตคนหนึ่งที่ออกไปสืบข่าวพยักหน้า พูด “ถูกต้อง ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงดีใจมาก พระราชทานตำแหน่งให้จางเหยา อีกทั้งยังมีรับสั่งว่าการสอบคัดเลือกขุนนางต่อไปนี้ นอกจากวิชาหยูแล้ว ความสามารถอื่นก็ย่อมคัดเลือกด้วย เพียงแค่มีความสามารถที่แท้จริง ล้วนรับใช้บ้านเมืองและราษฎรได้”
สำหรับบันฑิตสามัญชนแล้ว มันเป็นการเพิ่มโอกาส อย่างไรแล้วบัณฑิตสามัญชนจำนวนมากไม่มีหนังสือเรียน มักจะฝึกฝนฝีมือทางด้านอื่น หากมีฝีมือด้านใดด้านหนึ่งโดดเด่น ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ ดีเสียจริง
บัณฑิตคนหนึ่งยกแก้วสุราขึ้นด้วยอารมณ์ที่หึกเหิม “ทุกท่าน ชะตากรรมของคนนับพันนับหมื่นกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว!”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างยกแก้วสุราขึ้น “การสอบคัดเลือกเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของคนบนแผ่นดิน!”
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ!”
“ต้าเซี่ยต้องรุ่งเรือง!”
พวกเขาต่างดื่มสุราทั้งหมดจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะให้นำมาอีก ประตูห้องโถงเปิดออก ได้ยินเสียงโหวกเหวกของแขกคนอื่นๆ เรื่องของจางเหยาแพร่ออกไปแล้ว มีคนตะโกนบอกว่าข้าจัดการปัญหาน้ำได้ มีคนบอกว่าข้าผลิตอุปกรณ์ทำนาได้ มีคนบอกว่าข้าเจาะภูเขาเปิดทางได้ มีคนบอกว่าข้าฟังลมฝนดูดาวได้…เสียงพูดเสียงหัวเราะดังขึ้น
“…โชคดีที่ฝ่าบาททรงฉลาดหลักแหลม ให้โอกาสจางเหยา มิฉะนั้น เขาจะต้องอยู่เป็นชายในจวนของเฉินตันจูตลอดไปแล้ว…”
ไม่แปลกใจเลยที่เมื่อเอ่ยถึงจางเหยาจะมีอีกชื่อหนึ่งตามมา
เฉินตันจูที่ลักพาตัวจางเหยาในเวลานั้น
“โชคดีที่จางเหยาถูกแต่งตั้งเป็นขุนนาง มิฉะนั้นคงหนีไม่พ้นเงื้อมมือของเฉินตันจู”
“เฮ้อ ยังไม่แน่ จางเหยาถูกแต่งตั้งเป็นขุนนาง เฉินตันจูก็ถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง”
“เฉินตันจูโหดเหี้ยมเพียงใด แย่งแม้แต่รางวัลพระราชทานของพี่สาว ขับไล่พี่สาวออกจากเมืองหลวง จางเหยาเพียงคนเดียว นางจะมองเป็นของเล่น ผู้ใดกล้าขัดขวาง”
“หากให้ข้าพูด จางเหยายอมเฉินตันจูเสียเถิด การเป็นสวามีขององค์หญิงไม่ได้ดีไปกว่าการต้องซ่อมเขื่อนตากแดดตากลมอยู่ด้านนอกหรือ หากเป็นข้า ข้าจะยอม…”
“เจ้า? เจ้าดูรูปร่างหน้าตาของตนเองก่อน ได้ยินว่าตอนนั้นมีบัณฑิตอัปลักษณ์เสนอตัวต่อเฉินตันจู แต่ถูกเฉินตันจูด่าและขับไล่…”
บทสนทนานอกห้องโถงเริ่มแย่ลง ทุกคนรีบปิดประตูห้องโถง สายตาของพวกเขาจับจ้องไปที่พันหยง…อืม บัณฑิตอัปลักษณ์ผู้นั้นคือเขาเอง
บรรยากาศอึดอัดเล็กน้อย
พันหยงราวกับไม่ได้ยินบทสนทนาข้างนอก เขากำลังยกแก้วสุราขึ้นดื่ม ทุกคนต่างรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ฝ่าบาททรงเก่งไปเสียทุกอย่าง เสียอย่างเดียวที่ทรงสมรู้ร่วมคิดกับเฉินตันจู” มีคนพูดอย่างขุ่นเคือง “เหตุใดจึงแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิง!”
“ได้ยินมาว่าเป็นความปรารถนาสุดท้ายของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ฝ่าบาทมิอาจปฏิเสธได้” มีคนถอนหายใจ
มีคนหัวเราะเย้ยหยัน “ใช้ประโยชน์แม้แต่คนตาย เฉินตันจูช่างน่าสมเพช!”
“เฉินตันจูโลภในชื่อเสียงและลาภยศ อำมหิต ไร้ความปราณี แม้แต่พี่สาวของตัวเองยังถูกขับไล่ คนตายแล้วอย่างไร” มีคนพูดอย่างเฉยเมย
“แต่ทุกคนไม่ต้องกังวล แม้ว่าจะถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง แต่ชื่อเสียงของเฉินตันจูเสื่อมเสีย ผู้คนต่างหลีกเลี่ยง” มีคนหัวเราะ “ไม่กี่วันก่อน จวนของนายท่านสองตระกูลกู้จัดงานเลี้ยง ส่งบัตรเชิญไปให้เฉินตันจูโดยเฉพาะ พวกท่านเดาดูว่าเกิดอันใดขึ้น”
เฉินตันจูถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง ถือเป็นชนชั้นสูงใหม่ในเมืองหลวง มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงทุกงาน ได้รับการเชิญก็สมเหตุสมผล
แม้ว่าชื่อเสียงย่ำแย่ แต่อย่างไรก็เป็นศักดินาที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ อย่างไรย่อมต้องมีคนประจบนาง
สุดท้ายเป็นอย่างไร ทุกคนถามด้วยความสงสัย
ชายคนนั้นปรบมือหัวเราะร่า “สุดท้ายเมื่อได้ยินว่าเฉินตันจูได้รับคำเชิญ คนอื่นต่างก็ปฏิเสธงานเลี้ยงตระกูลกู้ งานเลี้ยงขนาดใหญ่ สุดท้ายมีเพียงเฉินตันจูนั่งอยู่คนเดียว ตระกูลกู้อับอายอย่างมาก”
ช่างน่าอับอายเสียจริง! จะว่าไปแล้ว ชนชั้นสูงที่น่าขยะแขยงก็มีอยู่ไม่น้อย ถึงแม้บางเวลาที่จำเป็นต้องพบหน้า อย่างมากก็ไม่สนทนาต่อกัน ไม่เคยมีผู้ใดทำให้ทุกคนปฏิเสธไม่ไปงานเลี้ยงได้…ทุกคนร่วมมือกันไม่ให้เกียรติเฉินตันจู!
อย่างไรเฉินตันจูก็เป็นองค์หญิงที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง ตำหนิอย่างไม่เกรงกลัวลับหลังก็แล้วไป แต่การทำให้อับอายซึ่งหน้าเช่นนี้…ทุกคนต่างฟังด้วยความหวาดกลัวและวิตกกังวล
“เฉินตันจูไม่โกรธหรือ ไม่ก่อเรื่องหรือ”
“ตอนนั้นนางชนคนบนถนน ยังขับไล่อีกฝ่ายออกจากเมืองหลวง”
“ฝ่าบาทไม่ทรงโกรธหรือ”
มันถือเป็นการดูหมิ่นฝ่าบาทด้วยหรือไม่
ชายคนนั้นยิ้มอย่างเฉยเมย “เฉินตันจูอยากสร้างปัญหา แต่นางไม่อาจเข้าประตูพระราชวังไปได้ ฝ่าบาทตรัสว่าเวลานี้เฉินตันจูเป็นองค์หญิง นางสามารถเข้าวังได้ตามกำหนดเวลา หรือเมื่อมีรับสั่งเท่านั้น มิฉะนั้นจะผิดระเบียบ จากนั้นนางจึงถูกขับไล่ให้กลับไป”
อันที่จริง นอกจากข้าราชบริพารแล้ว ราชวงศ์และผู้มีบรรดาศักดิ์ก็ไม่อาจเข้าพระราชวังโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ แต่ก่อนเฉินตันจูไม่ได้เป็นอันใด แต่ก็มักจะเข้าออกพระราชวังเป็นประจำ…ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความประสงค์ของฝ่าบาท
ตอนนี้ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะปกป้องเฉินตันจูแล้ว
“ก่อนหน้านี้ ฝ่าบาทคงรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณนางอยู่ก็เลยตามใจ” ชายคนนั้นวิเคราะห์ “บัดนี้ ฝ่าบาททรงพระราชทานตำแหน่งแก่นางแล้ว ถือว่าชดใช้บุณคุณแล้ว”
ประโยคต่อมาหลังจากชดใช้บุญคุณแล้วคือ รู้สำนึกในตัวเอง หากเฉินตันจูไม่รู้สำนึกในตัวเอง คงไม่อาจโทษฝ่าบาทที่ต้องกำจัดอันตราย
ครานี้อาจเป็นการลองเชิงของตระกูลชนชั้นสูง เวลานี้ได้รับการพิสูจน์แล้ว
คนที่นั่งอยู่ต่างโล่งอก ก่อนจะคึกคักขึ้นอีกครั้ง
“เช่นนี้ย่อมดี!”
“หญิงร้ายผู้นี้ชื่อเสียงเสื่อมเสีย เหม็นเน่ายิ่งนัก”
เสียงถอนหายใจดังขึ้นท่ามกลางความคึกคัก “ก่อนหน้านี้พวกท่านยังชื่นชมนาง”
ชื่นชมนาง? ผู้ใด เฉินตันจูหรือ? เป็นไปได้อย่างไร ทุกคนต่างมองไปตามเสียง เห็นคนที่พูดคือพันหยง พันหยงกำลังหมุนแก้วสุราในมือเล่น
“พี่พันพูดเรื่องใด” มีคนถามอย่างฉงน “ก่อนหน้านี้พวกเราไม่มีผู้ใดชื่นชมเฉินตันจู”
เหตุใดจึงจะชื่นชมเฉินตันจู ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่อยากจะพูดถึงนางแม้แต่น้อย
พันหยงเมาหรือ
แต่พันหยงไม่ตอบ เขาหรี่ตาที่ไม่โตในเดิมที คิดอยู่ภายในใจ หากเฉินตันจูเป็นผู้ละโมภในชื่อเสียง วันนี้เขาคงไม่อยู่ตรงนี้ วันนี้สิ่งที่แพร่หลายย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงเสื่อมเสียของเฉินตันจู เขามีความมั่นใจในฝีมือกับฝีปากของตนเองอย่างมาก
แต่คุณหนูตันจูไม่สนใจ
ไม่สนใจชื่อเสียงเสื่อมเสีย ยิ่งไม่สนใจความดีความชอบที่ไม่มีผู้ใดรู้ นางไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งที่นางใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความคึกคัก แต่อยู่ราวกับนกที่โดดเดี่ยว
พันหยงยกแก้วสุราขึ้นดื่มจนหมด