บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 35 เข้าวัด
ขบวนทหารเดินทางมาถึง ราษฎรและพ่อค้าต่างกระจายตัว เมื่อรอฮ่องเต้ลงจากรถ เฉินตันจูก็พบกับวัดถิงอวิ๋นที่เห็นเมื่อชาติที่แล้วก่อนตาย ไร้ซึ่งผู้คน สง่างามน่ายำเกรง
“ตาอวี๋ ข้าว่าไม่อาจสู้วัดหลวงในเมืองหลวงทางตะวันตกได้” ฮ่องเต้เงยหน้ามองวัด พูดขึ้น
เฉินตันจูเดินตามอยู่ด้านหลังได้ยินคำพูดดังกล่าว คาดเดาภายในใจว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กแซ่อวี๋หรือชื่ออวี๋ คำว่าอวี๋ที่แปลว่าปลาหรือว่าอวี๋อื่นๆ …ท่านพ่อต้องรู้ชื่อของแม่ทัพหน้ากากเหล็กอย่างแน่นอน เฮ้อ แต่ตอนนี้นางไม่อาจไปพบท่านพ่อได้
ในขณะที่นางกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย ทางแม่ทัพหน้ากากเหล็กเหลือบมองวัดทีหนึ่ง “วัดเหล่านี้คล้ายคลึงกัน แต่ตำแหน่งของวัดหลวงดีกว่า ง่ายต่อการเฝ้าระวังยากต่อการโจมตี”
ฮ่องเต้หัวเราะ “เจ้าก็รู้แต่เรื่องเหล่านี้”
ในขณะที่พวกเขากำลังสนทนา อาจารย์ฮุ้ยจื้อพาคณะสงฆ์ออกมาต้อนรับ ถึงแม้เหล่าพระสงฆ์จะกังวลต่อการมาของฮ่องเต้ แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือสงสัย ทุกคนล้วนคุ้นหูกับชื่อของฮ่องเต้ราชวงศ์ต้าเซี่ย แต่พบเจอตัวจริงเป็นครั้งแรก
ไม่เคยคิดว่าฮ่องเต้จะมาเยือนเมืองอู๋
“ฝ่าบาท” อาจารย์ฮุ้ยจื้อคารวะ “วัดเล็กอยู่ห่างไกล ไม่อาจเทียบกับเมืองหลวงได้”
ฮ่องเต้พูด “แสดงให้ข้าเห็นว่าในวัดเล็กนี้มีสงฆ์ชั้นสูงหรือไม่”
อาจารย์ฮุ้ยจื้ออมยิ้มทำท่าเชิญ ฮ่องเต้เดินเข้าด้านใน แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินตามอยู่ด้านหลัง เฉินตันจูรั้งท้าย
อาจารย์ฮุ้ยจื้อนำฮ่องเต้เยี่ยมชมวัดเป็นอันดับแรก แม่ทัพหน้ากากเหล็กให้องครักษ์ติดตาม
“ข้าไม่สนใจทางธรรม” เขาพูด “ไม่อยู่กับฝ่าบาทแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้เคยชินแล้ว บอกให้เขาตามสบาย ในขณะที่กำลังจะก้าวเท้า เฉินตันจูรีบพูดขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันก็ไม่สนใจทางธรรม…”
ฮ่องเต้เหลือบมองนาง “ได้ เจ้าก็ตามสบาย” ก่อนจะมองอาจารย์ฮุ้ยจื้ออีกครั้ง “อันที่จริงข้าก็ไม่สนใจ”
ฮ่องเต้แข็งกร้าวกว่าท่านอ๋องอู๋อย่างมาก ไม่อ่อนแอขี้กลัวเหมือนกับคำร่ำลือ…อ่อนแอขี้กลัวก่อนหน้านี้คงเป็นแค่การแสร้งทำเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าท่านอ๋องเท่านั้น มิฉะนั้นเขาคงไม่อาจมีชีวิตอยู่จนถึงเวลานี้ อาจารย์ฮุ้ยจื้อพูด “ฝ่าบาทไม่ต้องสนใจ เพียงแค่ชื่นชมราวกับทิวทัศน์ก็พอ” เขามองไปยังพระสงฆ์รูปอื่น “พวกเจ้าไปทำเรื่องของตนเองเถิด”
เหล่าพระสงฆ์ต่างตอบรับก่อนจะกระจายตัวออกไป
ฮ่องเต้เดินขึ้นหน้าด้วยรอยยิ้ม อาจารย์ฮุ้ยจื้อเดินตามหลังหนึ่งก้าว เหล่าองครักษ์รั้งท้าย พวกเขาเดินเข้าไปในวิหารใหญ่
เฉินตันจูไม่ได้ติดตามฮ่องเต้ นางมองแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะหิน เรียกขานพระสงฆ์ที่เดินช้ารั้งท้ายคนหนึ่ง “พวกท่านนำขนมและน้ำชามาให้ท่านแม่ทัพเสียเล็กน้อย”
พระสงฆ์นั้นแอบร้องไห้ภายในใจ ก่อนจะหันไปมองศิษย์พี่น้องคนอื่นที่วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว จึงทำได้เพียงหันตัวตอบรับ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดขึ้น “ไม่ต้อง ข้าไม่กินอาหารด้านนอก”
เฉินตันจูมองหน้ากากเหล็กที่ปกคลุมใบหน้าของเขาเอาไว้ หากกินอาหารย่อมต้องถอดหน้ากาก คนอย่างเขาสนใจรูปลักษณ์ภายนอกด้วยหรือ? คงกลัวว่าจะทำให้คนอื่นตกใจ? แต่เขาไม่กินก็แล้วไป นางเพียงแค่ถามเท่านั้น จากนั้นจึงบอกพระสงฆ์รูปนั้นว่าไม่ต้องแล้ว
พระสงฆ์รูปนั้นวิ่งจากไปราวกับรอดพ้นจากความตาย
เหล่าพระสงฆ์กระจายตัวออกไป กองกำลังเฝ้าอยู่ทำให้ราษฎรเข้ามาไม่ได้ ด้านหน้าวิหารเหลือเพียงนาง อาเถียนและแม่ทัพหน้ากากเหล็กสามคน แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่มีท่าทีสนทนา เฉินตันจูก็ไม่คิดจะพูดคุยกับเขา แต่ทั้งสองคนนั่งเงียบเช่นนี้ก็แปลกประหลาดเล็กน้อย เฉินตันจูจึงพูดขึ้น “ท่านแม่ทัพพักผ่อนที่นี่ ข้าไปดูด้านหลัง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเหลือบมองนาง พลางถาม “เจ้าไม่สนใจวัดไม่ใช่หรือ”
เขาฟังคำพูดมีมารยาทไม่ออกหรืออย่างไร หรือว่าต้องการให้นางพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่ต้องการเห็นหน้าท่าน เฉินตันจูถลึงตา เอาเถิด นางกลืนคำพูดลงคอไป “ด้านหลังมีต้นซานจา ข้าชอบมาก จะไปดู”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ “ข้าไม่ชอบซานจา เปรี้ยว”
ข้าไม่ได้ถามว่าท่านชอบหรือไม่เสียหน่อย เฉินตันจูคิดในใจ ก่อนจะพูดขึ้น “ต้นซานจานี้หวานมาก” จากนั้นจึงเรียกอาเถียนเดินไปด้านหลังโดยไม่พูดอะไรอีก
เดินอ้อมผ่านวิหารใหญ่มาอาเถียนถึงได้โล่งอก ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ถอนหายใจอันใดกัน” เฉินตันจูถาม
อาเถียนพูด “คุณหนูต้องรับมือกับฝ่าบาทและท่านแม่ทัพ เหน็ดเหนื่อยเสียจริง”
เหน็ดเหนื่อย? เฉินตันจูนึกถึงตนเองที่ถูกขังในอารามดอกท้อเมื่อชาติก่อน ไม่ต้องรับมือกับผู้ใด แต่ก็ไม่ได้สบายมากเท่าใด
“ต้องดูว่าเหน็ดเหนื่อยเพื่อผู้ใด เพื่อความอยู่รอดของท่านพ่อท่านพี่และคนในตระกูลไม่เหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย” เฉินตันจูพูด “รอผ่านประตูผีนี้ไป พวกเราก็จะสบายแล้ว”
น่าจะเร็วๆ นี้แล้ว หากอาจารย์ฮุ้ยจื้อเก่งกาจเหมือนดั่งชาติก่อน สองสามวันนี้คงจบสิ้นแล้ว
เฉินตันจูเดินมาถึงใต้ต้นซานจา เงยหน้าขึ้นมองดอกซานจาที่ผลิบานเต็มต้น นางไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย นางรู้สึกดีใจที่มีชีวิตอีกครั้ง ดีใจที่สามารถเห็นดอกซานจา สายลมพัดผ่าน กลีบดอกไม้สีขาวราวหิมะร่วงหล่นโบยบินอยู่รอบตัวของนาง เฉินตันจูหมุนตัวเงยหน้าเอื้อมมือรับกลีบดอกไม้
อาเถียนยืนมองอยู่ด้านข้าง หัวเราะอย่างมีความสุข
…
ท่านอ๋องอู๋ทั้งตะลึงทั้งโกรธทั้งกังวล เขาปล่อยผมสยายแก้ผ้ายืนเท้าเปล่าอยู่ในห้อง ตะโกนเสียงดัง “ฝ่าบาทหายตัวไป? เขาไปไหน”
จวนของมหาดเล็กเหวินหรูหราโอ่อ่า แต่ห้องที่ใหญ่ที่สุดนี้ก็ไม่อาจเทียบกับตำหนักที่กว้างขวางในพระราชวังได้ ท่านอ๋องอู๋พักอยู่ที่นี่ด้วยความอึดอัด อีกทั้งเวลานี้ภายในห้องยังเต็มไปด้วยขุนนางชั้นสูง
ท่านอ๋องอู๋เข้ามาพักในจวนของมหาดเล็กเหวิน เหล่าขุนนางคนอื่นล้วนเบียดเข้ามา ลำบากไปพร้อมกับท่านอ๋อง
“ออกจากประตูหลังพระราชวัง จากนั้นออกจากเมือง” มหาดเล็กเหวินพูด “พวกข้าไม่อาจรู้ได้ในเวลาแรก”
“กองกำลังสามร้อยนั้นดุดันอย่างยิ่ง ไม่ยอมให้คนเข้าใกล้ ทุกหนแห่งที่ผ่านล้วนผ่านการกวาดล้าง คนของพวกข้าล้วนถูกขับไล่ ทำได้เพียงติดตามอยู่ระยะไกล เวลานี้กำลังรอข่าว” ขุนนางอีกคนพูด
มีขุนนางบางคนรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือฮ่องเต้ออกจากพระราชวังแล้ว
“ท่านอ๋อง ในเมื่อฝ่าบาทออกไปแล้ว ท่านอ๋องรีบกลับพระราชวังเถิด” เขาพูดอย่างดีใจ
ทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านอ๋องอู๋จ้องคนพูดเขม็ง “หากฮ่องเต้กลับมาอีก”
คนพูดงุนงง หากฮ่องเต้กลับมาอีกครั้ง เขาก็มีเพียงกองกำลังสามร้อย พระราชวังมีกำแพงแน่นหนา ท่านอ๋องมีองครักษ์หลวงสามพัน ด้านนอกเมืองยังมีกองกำลังนับแสน จะ…
ท่านอ๋องอู๋โกรธอย่างมาก เหล่าขุนนางที่วิสัยทัศน์คับแคบ
“นอกเมืองอู๋ยังมีกองกำลังราชสำนักอีกห้าแสน” เขาตะโกน สะบัดแขนเสื้อใส่คนดังกล่าว “หากบุกรุกเข้ามา ไม่ ก่อนที่จะบุกรุกเข้ามา ฮ่องเต้และคนของเขาอยู่ใกล้ตัวข้า ข้าอันตรายที่สุด!”
คนนั้นตกใจจนรีบคุกเข่าหมอบลงขออภัยโทษ แต่ภายในใจอดคิดไม่ได้ว่า หากจะพูดเช่นนี้ ฮ่องเต้อันตรายยิ่งกว่า
แต่ประโยคนี้เขาไม่กล้าพูดออกมา
“ฮ่องเต้ไปที่ใดกัน” ท่านอ๋องอู๋เหนื่อยล้าอย่างมาก เสียดายกลอุบายที่เขาวางเอาไว้ ข่าวบอกว่าท่านมหาราชครูเฉินเดินทางไปพระราชวังแล้ว แต่สุดท้ายฮ่องเต้กลับหนี!
“ท่านอ๋อง!” ด้านนอกมีคนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “ท่านอ๋อง ฝ่าบาท…”
มีข่าวแล้ว ทุกคนในห้องต่างถามขึ้น “ไปที่ใด”
คนนั้นชี้นิ้วไปด้านนอก “ฝ่าบาทมาแล้ว!”
มาแล้ว? หมายความว่าอย่างไร
ประตูจวนของมหาดเล็กเหวินเปิดกว้าง เหล่าบ่าวรับใช้หลบกันกระจัดกระจาย ฮ่องเต้เดินสาวเท้าเข้ามา
“พาข้าไปพบน้องข้าเร็วเข้า” เขาพูดเสียงดัง
เหล่าขันทีและองครักษ์หลวงต่างไม่กล้ารั้ง พวกเขาต่างถอยไปด้านหลัง จนกระทั่งถอยไปถึงห้องของท่านอ๋องอู๋ ท่านอ๋องอู๋ถูกมหาดเล็กเหวินและขุนนางคนอื่นรายล้อมยืนอยู่หน้าประตู
“น้องข้า!” ฮ่องเต้เดินขึ้นหน้า คนข้างตัวของท่านอ๋องอู๋ต่างผลักกันไปมาหลบหลีกอย่างชุลมุน ฮ่องเต้ไม่สนใจพวกเขา ยื่นมืออกไปจับมือของท่านอ๋องอู๋เอาไว้ สีหน้าเสียใจ “ข้าดื่มมากไป ทำให้ขาดสติ น้องข้าคงตกใจ ข้ามาเพื่อขอโทษเจ้า!”
พูดจบก็ทำท่าจะคารวะ ท่านอ๋องอู๋ตั้งสติจากความตื่นตระหนก “ฝ่าบาทอย่าทำเช่นนี้”
ฮ่องเต้จับมือของเขา ดึงเขาออกเดินออกไป “ไป ไป กลับวังไปกับข้า”
เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ท่านอ๋องอู๋ยังตั้งสติไม่ได้ ทั้งถอยหลังทั้งเดินหน้า “อา อ๋า? ไม่รีบ…”
มหาดเล็กเหวินและขุนนางคนอื่นต่างตั้งสติได้ ฮ่องเต้มารับท่านอ๋องอู๋กลับวังแล้ว
“ข้าผิดเอง” ฮ่องเต้ส่ายหัวถอนหายใจพลางใช้มือหนึ่งปิดหน้า “น้องข้ารีบกลับวัง มิฉะนั้นข้าคงไร้หน้าพบผู้คนแล้ว”
ท่านอ๋องอู๋หัวเราะ “ฝ่าบาทอย่ากังวล เรื่องเล็ก…”
ถูกคนขับไล่ออกจากวังเป็นเรื่องเล็กอันใดกัน! คำพูดนี้ถึงจะเป็นคนดีแค่ไหนก็ทนฟังต่อไปไม่ได้ มีคนกระแอมไอหนักด้านหลังท่านอ๋องอู๋ ขัดคำพูดของท่านอ๋องอู๋ทันที
“ท่านอ๋อง” พวกเขาพูด “รีบกลับพระราชวังเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
…
ไม่ว่าอย่างไร ท่านอ๋องอู๋กลับพระราชวังได้ เรื่องใหญ่ภายในใจของทุกคนก็ถูกแก้ไขแล้ว ถึงแม้ทุกคนยังคงตกตะลึง แต่เมื่อพวกเขาสงบสติลง ก็มีคนนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้
“แย่แล้ว ท่านมหาราชครูเฉินยังอยู่หน้าประตูวัง!”