บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 342 คุมตัว
เฉินตันจูไม่ได้รู้สึกว่าฮ่องเต้จะลืมนาง นางลุกขึ้นลงจากเตียง พูดว่า “ขอให้เหล่าใต้เท้าโปรดรอก่อน ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่”
ใต้เท้าหลี่ถอยออกไปโดยไม่พูดอันใด
หลี่เหลียนวิ่งตามออกไปอย่างอดไม่ได้ “ท่านพ่อ ตันจูนางยังไม่หายดีนะเจ้าคะ”
ทางด้านหลิวเวยจับมือเฉินตันจูที่ลุกขึ้นจากเตียง พูดเสียงเบาด้วยความร้อนใจ “ตันจูเจ้าอย่าลุกขึ้น เจ้าเป็นลมอีกครั้งเถิด” ก่อนจะมองไปยังหยวนไต้ฟูที่ยืนอยู่ด้านข้าง “หยวนไต้ฟูย่อมต้องมียาประเภทนั้นใช่หรือไม่”
เฉินตันจูยิ้ม “พี่เวยเวย ท่านดูท่านเวลานี้นิสัยเสียตามข้าแล้ว บังอาจยุยงให้ข้าหลอกลวงฮ่องเต้ มันเป็นโทษฐานหลบหลู่ ระวังท่านยายของท่านจะตัดขาดกับตระกูลท่านทันที”
หลิวเวยกระทืบเทา “เวลาใดแล้วยังล้อเล่นอีก”
เฉินตันจูจับมือของนางเพื่อยันตัวลุกขึ้นมา “ไม่ล้อเล่นแล้ว อย่ากังวล ข้าไม่เป็นอันใด ข้าหมดสติหนึ่งวันสองวันได้ แต่ย่อมไม่อาจหมดสติตลอดไป สู้ตายไปเสียจะดีกว่า”
เฉินตันเหยียนลุกขึ้น ยื่นมือมาพยุงเฉินตันจู พูดพลางยิ้มกับหลิวเวย “เวยเวยอย่ากังวล ในเมื่อฝ่าบาททรงต้องการเรียกพบ ตันจูย่อมไม่อาจหลบได้” ก่อนจะมองไปยังคนอื่นภายในห้อง “พวกท่านออกไปก่อนเถิด ข้าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าชำระตัวให้ตันจู”
หยวนไต้ฟูพูด “ข้าไปหยิบยา สามารถทำให้คนสดชื่นขึ้นมาได้”
ตอนที่ป่วยจริงๆ พวกนางยิ่งไม่อาจแสดงท่าทางน่าอนาถออกมา เฉินตันเหยียนพยักหน้า “เข้าเฝ้าพระองค์อย่าได้เสียภาพลักษณ์” ก่อนจะมองหลิวเวยอีกครั้ง “เวยเวยกับคุณหนูหลี่ไปเตรียมชุดสะอาดให้ตันจู”
หลิวเวยตอบรับ ไม่พูดสิ่งใดอีก จางเหยาพูดขึ้น “ข้าจะไปเตรียมรถ”
คนภายในห้องต่างแยกย้ายกันไปจัดเตรียม ทำลายบรรยากาศที่นิ่งงัน อีกทั้งสลายความวิตกกังวลไปด้วย
…
ใต้เท้าหลี่อยู่ในห้องโถงกับขันทีของฮ่องเต้ แต่ขันทีผู้นี้ไม่ยอมนั่ง เขาทำได้เพียงยืนตาม
ขันทีผู้นี้อายุไม่มาก เขาพยายามทำหน้าให้ดูสุขม แต่มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อบีบกันแน่น…
รำคาญใจอย่างมากใช่หรือไม่ รออีกประเดี๋ยว คงจะให้องครักษ์หลวงที่โหดเหี้ยมไปลากตัวเฉินตันจูในห้องขังทันที
เวลานี้เฉินตันจู เฮ้อ หลี่จวิ้นโส่วแอบถอนหายใจ ไม่ใช่เฉินตันจูเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว
“อาจี๋กงกง โปรดเห็นใจ” เขาอธิบายอีกครั้ง “ภายในห้องขังสกปรก คุณหนูตันจูเกรงจะทำให้ฝ่าบาททรงไม่พอใจเมื่อเข้าเฝ้า ดังนั้นจึงชำระตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ช้าไป…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็เห็นเฉินตันจูถูกคนกลุ่มหนึ่งรายล้อมเดินออกมา ส่วนขันทีที่บีบมืออยู่นั้นยกเท้าก้าวออกไป
“คุณหนูตันจู…” อาจี๋พุ่งตัวเข้าไป ก่อนจะหยุดลงเมื่อห่างจากนางสองสามก้าว เก็บเสียงที่เร่งรีบลง ทำหน้าบึ้ง “เหตุใดจึงช้าเช่นนี้!”
เฉินตันจูพูดอย่างไม่พอใจ “เพราะว่าข้าชำระตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกทั้งยังทาแป้ง” ชี้ไปที่หน้าให้เขาดู “เจ้าดู แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังดูไม่ออกว่าข้าลำบากยากเข็ญ ป่วยจนใกล้ตายแล้วใช่หรือไม่”
หญิงสาวทาแป้งบนหน้า ริมฝีปากทาสี สวมชุดกระโปรงรัดอกสีเรียบง่าย สางผมสองข้าง ดูสดใสงดงามเหมือนแต่ก่อน เมื่อเปิดปากพูดยิ่งร้ายกาจ แต่อาจี๋กลับไม่รู้สึกปวดหัว หรือไม่พอใจ ขัดขืนต่อหญิงสาวตรงหน้านี้เหมือนแต่ก่อน…อาจเป็นเพราะว่าถึงแม้หญิงสาวจะทาแป้งทาสีปาก แต่ก็ไม่อาจปิดบังความซีดเซียวบอบบางดุจปีกแมลงทับได้
ดวงตาของนางไม่สดใสเหมือนก่อน นางพยายามยืนตัวตรง แต่ชุดกระโปรงรัดอกบนตัวยังคงราวกับแขวนไว้กลางอากาศ
นางเหมือนกระดาษบางที่พร้อมจะปลิวจากไปเมื่อลมพัด
อาจี๋รู้สึกร้อนผ่าวที่จมูก “ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท พูดถึงเรื่องตายอันใดกัน คุณหนูตันจู ท่านอย่าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้”
เฉินตันจูเบ้ปากใส่เขา “รู้แล้ว อาจี๋เจ้ายังอายุน้อย อย่าเลียนแบบคนชรา”
ใต้เท้าหลี่ที่เดิมทีจะพุ่งตัวเข้ามาหยุดนิ่ง เอาเถิด ช่างน่าสนใจเสียจริง ทั้งที่คุณหนูตันจูเป็นคนชั่วร้าย แต่ยังคงมีคนจำนวนมากเห็นว่านางเป็นสหาย
อาจี๋ทำหน้าบึ้ง “รีบไปเถิด”
เวลานี้จางเหยาเดินขึ้นหน้าพูด “รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว ใช้รถของจวนใต้เท้าหลี่ มีรถของคุณหนูหลี่อยู่พอดี”
ความจริงแล้ว รถของคุณหนูหลี่เล็กไปเสียหน่อย รถที่ใช้เป็นรถของใต้เท้าหลี่
อาจี๋เหลือบมองฟ้า “ไม่ต้องลำบากหรอก คุณหนูตันจูนั่งรถม้าของข้าก็พอ”
ขันทีถ่ายทอดพระราชโองการจะนั่งรถอย่างไรได้ อีกทั้งยังต้องเบียดกันสองคน จางเหยาพึมพำในใจ แต่เมื่อเดินตามออกไปดู เขาก็ไม่พูดสิ่งใดอีก รถคันนี้อย่าว่าแต่นั่งสองคน นอนสองคนยังไม่มีปัญหา
ขันทีน้อยผู้นี้ อายุไม่มาก การแต่งตัวก็ธรรมดา ท่าทางยังดูซื่อ แต่กลับได้รับสิทธิ์เช่นนี้ หรือว่าจะเป็นหลานของขันทีใหญ่ในตำหนักใด
หลิวเวยและหลี่เหลียนพยุงเฉินตันจูขึ้นรถ เฉินตันเหยียนติดตามอยู่ด้านหลัง คิดจะเดินตามขึ้นไป อาจี๋รีบรั้งนางเอาไว้
“ท่านคือ?” เขาถาม
เฉินตันเหยียนพูด “อาจี๋กงกง ข้าเป็นพี่สาวของตันจู เฉินตันเหยียน”
พี่สาวของเฉินตันจูหรือ อาจี๋มองนาง ก่อนจะชักมือกลับ แต่ยังคงพูด “ฝ่าบาททรงเรียกเฉินตันจูเข้าพบผู้เดียว”
เฉินตันเหยียนพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “เวลานี้ตันจูนางยังป่วยอยู่ ข้าในฐานะพี่สาวต้องดูแลนาง อีกทั้งตันจูกระทำผิด ข้าในฐานะพี่สาวคนโต ทำหน้าที่สั่งสอนได้ไม่ดี ข้าย่อมมีความผิดด้วย ดังนั้นข้าย่อมต้องเข้าเฝ้าฝ่าบาทรับโทษด้วย”
เฉินตันจูไม่อยากให้เฉินตันเหยียนไป แต่เมื่อเห็นพี่สาว นางก็ไม่อยากพูดคำพูดนี้ออกมา ในเมื่อพี่สาวเดินทางจากซีจิงมาเพื่ออยู่กับนาง นางไม่อาจปฏิเสธเจตนาของพี่สาวได้
นางข่มขู่อาจี๋ “ข้าป่วยหนักมาก หากตายกลางคัน เจ้าคงต้องเดือดร้อน”
อาจี๋พูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง “คุณหนูตันจู ท่านดูแลความเดือดร้อนของตนเองก่อนเถิด!” พูดพลางนั่งอยู่ด้านหน้ารถอย่างขุ่นเคือง ไม่พูดจา
เฉินตันจูไม่สนใจ ยื่นมือต่อเฉินตันเหยียนอย่างดีใจ เฉินตันเหยียนจับมือของนาง แต่ย่อมไม่ได้ออกแรง หลิวเวยกับหลี่เหลียนที่อยู่ด้านข้างพยุงนางขึ้นรถ
สองพี่น้องนั่งอยู่ในรถม้า เฉินตันเหยียนยิ้มให้กับผู้คนที่ล้อมเข้ามา “อย่ากังวล ข้าอยู่กับนาง”
ความหมายคือไม่ว่าเป็นหรือตาย พวกนางสองพี่น้องจะอยู่เคียงข้างกัน
หลิวเวยและหลี่เหลียนดวงตาแดงก่ำ จางเหยาไม่พูดจา มีเพียงหยวนไต้ฟูที่ยิ้มให้นาง “ไปเถิด ไปเถิด”
…
รถม้าขนาดใหญ่โยกไหว เฉินตันจูพิงอยู่บนไหล่ของเฉินตันเหยียน มองแสงแดดที่ริบหรี่สาดส่องเข้ามาภายในรถ
“ท่านพี่ ท่านอย่ากลัว” นางพูด “เมื่อเข้าวังท่านตามข้าเอาไว้ ข้าคุ้นเคยภายในวังเป็นอย่างดี นิสัยของฝ่าบาทข้าก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี เมื่อถึงเวลา ท่านไม่ต้องพูดสิ่งใด”
เฉินตันเหยียนยื่นมือบีบจมูกของนาง “โตขึ้นแล้วเสียจริง รู้จักสอนข้าแล้ว หรือว่าลืมไปแล้วว่าตอนเด็ก ข้าเป็นคนพาเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงภายในพระราชวัง ภายในพระราชวังนี้ ข้าก็คุ้นเคยอย่างมาก”
ตอนเด็กหรือ เฉินตันจูกอดแขนของเฉินตันเหยียนแน่น ในเวลานั้น ท่านพี่มักเฝ้าดูนางอย่างใกล้ชิด มักขวางอยู่ด้านหน้าของนาง ไม่ว่าจะสนทนากับเหล่าสตรีมากมายเพียงใด สายตาก็ไม่ออกห่างจากนาง…
“ท่านพี่” นางพูดอย่างไม่ยอม “เวลานี้ภายในพระราชวังไม่ใช่ท่านอ๋องเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
เฉินตันเหยียนหัวเราะเบาๆ “ถึงแม้คนหนึ่งเป็นท่านอ๋อง คนหนึ่งเป็นฮ่องเต้ แต่ล้วนเป็นฝ่าบาทของพวกเรา”
แค่เพียงอีกฝ่ายคือฮ่องเต้ ย่อมสามารถตัดสินความเป็นความตายของพวกนางได้ นางเคยรับมือกับท่านอ๋อง ย่อมกล้าเผชิญหน้ากับฮ่องเต้
เฉินตันเหยียนก้มหน้ามองเฉินตันจู เมื่อนึกได้ว่าเกือบสูญเสียน้องสาวคนนี้ไป นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสั่น แม้ว่าตอนนี้เด็กสาวจะหนุนอยู่บนไหล่ของนาง แต่นางยังคงรู้สึกว่าตรงหน้าคือภาพลวงตาที่ไม่จริง
ใบหน้าของหญิงสาวนั้นขาวละอ่อน ร่างกายที่เพรียวบางของนางบอบบางราวกับต้นหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ ราวกับว่านางยังเป็นเด็กน้อยที่ถูกอุ้มไว้ในมือในตอนนั้น
เวลานั้นนางยังสามารถปกป้องน้องสาว เวลานี้ย่อมสามารถ
รถม้าหยุดชะงักลง
“คุณหนูตันจู ลงรถเถิด” อาจี๋เรียกขานอยู่ด้านนอก
เฉินตันเหยียนจับมือของเฉินตันจูแน่น “มา ไปกับพี่”