บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 33 หายนะเมือง
ขุนนางทุจริตคิดสร้างความหายนะให้เมืองและสร้างความเดือดร้อนให้ราษฎร
ถึงแม้คุณหนูเฉินตันจูยังไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ราษฎร แต่ท่านอ๋องอู๋แห่งเมืองอู๋คงหนีไม่พ้นแล้ว
สิ่งที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ นางคิดจะสร้างความหายนะให้เมืองก็แล้วไป ยังไม่อยากแบกรับข้อครหานี้ คิดจะผลักให้เขา
สงสารที่เขาเป็นแค่พระสงฆ์ผอมแห้งอ่อนแออายุมากในวัดเล็ก
“คุณหนูรองเฉิน ท่านพูดเล่นแล้ว” อาจารย์ฮุ้ยจื้อยิ้มขมขื่น “ท่านอ๋องอู๋เป็นท่านอ๋อง ท่านสามารถล้มวัดเล็กของอาตมาได้ แต่อาตมาล้มท่านอ๋องไม่ได้”
เฉินตันจูไม่ได้คาดหวังว่าอาจารย์ฮุ้ยจื้อจะรับปากเพียงแค่ตนเองพูดประโยคเดียว หากเขารับปากทันทีจริง นางคงจะสงสัยว่าเขาก็เกิดใหม่เช่นเดียวกัน…มิฉะนั้นจะเสียสติได้อย่างไร
เฉินตันจูพูด “อาจารย์ถ่อมตนเกินไป ท่านยกนิ้วทำนายพูดแทนพระพุทธเจ้าก็สามารถทำได้แล้ว”
ยกนิ้วทำนาย ให้เขาเป็นหมอดู? ถึงแม้จะใช้คำทำนายล้มท่านอ๋องอู๋ได้ แต่ต่อจากนี้เขาคงไม่ต้องคิดที่จะได้อยู่อย่างสุขสบายอีกเลย พระสงฆ์คนหนึ่งสามารถกำหนดการตายของท่านอ๋องได้ ฉะนั้นการเป็นอยู่ของเขาคงต้องถูกกำหนดด้วยท่านอ๋องคนอื่นแล้ว
เมื่อเทียบกันแล้ว เขายอมให้คุณหนูรองเฉินล้มวัดของเขาเสียดีกว่า เช่นนี้ยังมีคนเห็นใจเขา เขายังสามารถหวนกลับมาตั้งตัวเป็นใหญ่อีกครั้งหนึ่ง อาจารย์ฮุ้ยจื้อส่ายหัว พูดเพียง “คุณหนูรองเฉิน อาตมาทำไม่ได้จริงๆ …”
เฉินตันจูรู้ว่าเรื่องนี้น่ากลัวต่ออาจารย์ฮุ้ยจื้อที่ไม่ได้เกิดใหม่เพียงใด
นางเกลี้ยกล่อม “อาจารย์ ท่านอย่ากลัว ท่านล้มท่านอ๋องอู๋แลกกับการสนับสนุนของโอรสสวรรค์”
เขารู้เป้าหมายของคุณหนูรองเฉินดีอย่างยิ่ง แต่อาจารย์ฮุ้ยจื้อยิ้ม “ฝ่าบาทอาจไม่ต้องให้อาตมาช่วย ฝ่าบาทก็สามารถทำได้”
ดูสิ ถึงแม้จะไม่ได้เกิดใหม่ แต่อาจารย์ฮุ้ยจื้อฉลาดเฉลียวเสียจริง คำพูดของเขาแสดงให้เห็นว่าเขารู้ถึงความเก่งกาจของฮ่องเต้ ไม่เหมือนกับขุนนางและราษฎรคนอื่นที่ยังคงจมปลักอยู่ในความแข็งแกร่งภายในอดีตของเมืองอู๋ คิดว่าฮ่องเต้ไม่กล้าทำอะไร
เช่นนี้ยิ่งเกลี้ยกล่อมง่าย
“แต่อาจารย์ลองคิดดู ฝ่าบาทเป็นคนลงมือแตกต่างจากคนอื่นลงมือ” เฉินตันจูพูด “มิเช่นนั้นเหตุใดราชสำนักจึงมีอวี้สื่อต้าฟูโจวชิงกัน”
โจวชิงทูลถวายการลดพื้นที่ศักดินาต่อฮ่องเต้และได้รับพระราชานุญาตอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าสิ่งนั้นคือความคิดภายในใจของฮ่องเต้ เพียงแต่ฮ่องเต้เป็นคนเสนอเองไม่ได้
จากนั้นก็ยั่วยุเหล่าท่านอ๋อง จนเกิดการคัดค้าน และส่งมือสังหาร โจวชิงตายในมือของมือสังหาร ฮ่องเต้กริ้วหนักเผชิญหน้ากับเหล่าท่านอ๋อง ซักโทษก่อกบฏ…ไม่พูดถึงโจวชิงยังดี เมื่อพูดถึงโจวชิง คิ้วของฮุ้ยจื้อเลิกขึ้น “อย่าเลยเสียดีกว่า อาตมาไม่อาจเทียบอวี้สื่อต้าฟูโจวชิงได้”
เจ้าคนขี้ขลาดกลัวตาย เฉินตันจูเลิกใช้ความอันตรายในการข่มขู่เขา พูดขึ้น “อาจารย์ ท่านไม่รู้สึกว่าเมืองอู๋ของพวกเราเต็มไปด้วยคนเก่ง พื้นที่อุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง เหมาะสมกับการเป็นเมืองหลวงมากกว่าหรือ”
ในหัวของเด็กหญิงคิดอะไรกัน ย้ายเมืองหลวง? ย้ายเมืองหลวงเป็นเรื่องเล็กหรือ? ฮ่องเต้เสียสติแล้ว? อาจารย์ฮุ้ยจื้อมองเฉินตันจูด้วยความตกตะลึงและฉงน เหตุใดจึงพูดเรื่องย้ายเมืองหลวงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เพราะเมืองอู๋มีทหารสี่แสน” เฉินตันจูพูด “หากฮ่องเต้ก่อสงครามกับพวกเราขึ้นมาจริงคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีท่านอ๋องจากเมืองโจวและเมืองฉี หากสงครามห้าเมืองเกิดขึ้นอีกครั้ง ราชสำนักถึงแม้จะได้รับชัยชนะแต่ก็ต้องสูญเสียอย่างมาก หากราชสำนักสามารถเรียกเมืองอู๋คืนได้ เท่ากับราชสำนักมีเมืองศัตรูน้อยลงหนึ่งเมือง แต่มีกองกำลังมากขึ้นสี่แสน โอกาสชนะยิ่งมากขึ้น”
บุตรสาวของท่านมหาราชครูเฉินพูดถึงเรื่องการทหารอย่างมีหลักการ…อาจารย์ฮุ้ยจื้อเหม่อลอยไปไกล ก่อนจะตอบรับ “แต่การย้ายเมืองหลวงเกี่ยวอะไรกับอาตมา”
“ฮ่องเต้ย้ายเมืองหลวงมาที่นี่ เมืองอู๋กลายเป็นของฮ่องเต้อย่างแท้จริงภายใต้สายตาของราษฎร ถึงจะทำให้ท่านอ๋องฉีและท่านอ๋องโจวยอมรับความจริง” เฉินตันจูพูดเสียงเบา “แต่ย้ายเมืองหลวงเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้คนที่ฉลาดเฉลียวและน่าเชื่อถือ…”
นางชี้นิ้วไปยังอาจารย์ฮุ้ยจื้อ
“อย่างอาจารย์ในการเกลี้ยมกล่อมโอรสสวรรค์”
นางพูดเสียงต่ำอย่างไม่รออาจารย์ฮุ้ยจื้อได้พูด
“หากเมืองอู๋กลายป็นเมืองหลวง วัดถิงอวิ๋นอยู่ใต้พระบาทของโอรสสวรรค์ กลายเป็นพระสงฆ์ชั้นสูงของโอรสสวรรค์ ทุกสิ่งจะแตกต่างไป”
สิ่งที่นางต้องการพูดคือประโยคสุดท้าย ด้านหน้าคือข้อได้ปรียบของราชสำนัก ด้านหลังเป็นของเขา…อาจารย์ฮุ้ยจื้อกระจ่างทันที ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้า ราวกับไกลเกินเอื้อม แต่ก็ราวกับอยู่เพียงแค่เอื้อม…
“อาตมาไม่ปิดบัง” เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น “อันที่จริงอาตมาเคยบอกกับท่านอ๋องแล้วว่าเมืองอู๋เป็นเมืองแห่งโอรสสวรรค์…”
เอ๊ะ? เขาเคยเยินยอท่านอ๋องอู๋มาก่อน เฉินตันจูประหลาดใจอย่างมาก เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดรู้มาก่อน อืม บางทีหลี่เหลียงอาจรู้?
ชาติก่อนหลี่เหลียงเป็นคนนำฮ่องเต้มายังวัดถิงอวิ๋น ต่อมาความสัมพันธ์ระหว่างหลี่เหลียงและอาจารย์ฮุ้ยจื้อวัดถิงอวิ๋นดีอย่างยิ่ง หลี่เหลียงสามารถให้วัดถิงอวิ๋นปิดประตูรับแขกเพื่อตนเองได้ สามารถวางอาหารคาวในวิหารได้…
นางจึงคาดว่าชาติก่อนหลี่เหลียงเป็นคนแนะนำอาจารย์ฮุ้ยจื้อแก่ฮ่องเต้ อาจารย์ฮุ้ยจื้อโน้มน้าวฮ่องเต้ในการอพยพเมืองหลวงสำเร็จ ทำให้เขามีอนาคตที่พุ่งทะยาน…
อาจารย์ฮุ้ยจื้อมีความมุ่งมั่นในการประสบความเจริญรุ่งเรือง แต่ชาตินี้ไม่มีหลี่เหลียง ดังนั้นนางจะเป็นคนหยิบยื่นโอกาสนี้ให้เขาเอง
นางมองไปยังอาจารย์ฮุ้ยจื้อ
อาจารย์ฮุ้ยจื้อดวงตาลุกวาว แต่ถอนหายใจออกมา “เสียดายที่ท่านอ๋องไม่มีใจที่จะเป็นโอรสสวรรค์”
มีใจน่ะมี แต่เขารอเพียงให้หล่นลงมาจากสวรรค์ หาใช่การแย่งชิง
เฉินตันจูปรบมือ พูด “เป็นดั่งที่อาจารย์พูดมิใช่หรือ ผู้ใดอยู่เมืองอู๋ ผู้นั้นย่อมมีพลังโอรสสวรรค์”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อไม่พูด แต่สีหน้าไม่คัดค้านเหมือนก่อนหน้านี้
“ส่วนจะพูดอย่างไร” เฉินตันจูพอเห็นว่าถึงเวลาก็หยุดลง หากพูดถึงกลอุบาย นางไม่คิดว่าตนเองจะมีกลอุบายมากกว่าพระสงฆ์ที่เป็นราชครูเมื่อชาติก่อน นางเพียงแค่โชคดีที่รู้เรื่องราวล่วงหน้า “ข้าอายุน้อย อาจารย์เชี่ยวชาญทางธรรม อาจารย์ย่อมรู้ดีกว่าข้า ข้าคงไม่ต้องพูดมาก”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อเห็นว่าเด็กหญิงทำท่าจะลุกขึ้นเดินจากไป เขาเรียกขานขึ้น “แต่ว่า อาตมาไม่มีเหตุผลเข้าเฝ้าฮ่องเต้”
นางกำลังรอคำนี้ เฉินตันจูยิ้ม “ข้าจะไปเชิญฮ่องเต้มา เมื่อถึงเวลาอาจารย์พูดกับฝ่าบาทที่นี่ก็พอ”
นางเชิญฮ่องเต้มาได้ ฮุ้ยจื้อมองพินิจเด็กหญิงตรงหน้า เขารู้ว่าฮ่องเต้เพิ่งขับไล่ท่านอ๋องอู๋ออกจากพระราชวัง เวลานี้หากต้องการให้ฮ่องเต้ออกจากพระราชวังไม่ใช่เรื่องง่าย ความลังเลภายในใจของเขาลดลงอีกเล็กน้อย เด็กหญิงคนนี้ร้ายกาจกว่าที่เขาจินตนาการเสียอีก ดังนั้นคำพูดของนางจึงน่าเชื่อถือมากขึ้น
อันที่จริงไม่ใช่นางร้ายกาจ เฉินตันจูคิดภายในใจ เชิญมาได้หรือไม่ตนเองก็ยังไม่รู้ เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
อาจารย์ฮุ้ยจื้อมีความคิดนี้ เป้าหมายของนางก็บรรลุแล้ว นางลุกขึ้นขอตัว “ข้าขอให้อาจารย์สมปรารถนา อนาคตราบรื่น”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อเรียกขานนางอีกครั้ง เขาเงียบไปสักพัก จึงถามขึ้น “คุณหนูรองเฉิน ท่านอยากให้ ท่านอ๋องอู๋ตายหรือ”
โอรสสวรรค์ย้ายเมืองหลวงมาเมืองอู๋ ท่านอ๋องอู๋ก็ไม่มีชีวิตอยู่ นี่คือเงื่อนไขที่เฉินตันจูพูดตั้งแต่แรก ล้มท่านอ๋องอู๋…ท่านอ๋องอู๋จะล้มลงทั้งที่มีชีวิตอยู่หรือกลายเป็นศพนั้น สิ่งที่ต้องพูดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ต้องการให้ท่านอ๋องอู๋ตายหรือไม่หรือ ถึงแม้นางจะเกลียดชังท่านอ๋องอู๋เพราะเรื่องเมื่อชาติก่อน แต่…เฉินตันจูส่ายหัว “คนไม่ต้องตาย ชื่อตายก็พอ”
หากท่านอ๋องอู๋ตาย ท่านพ่อของนางก็ย่อมต้องตายเพื่อท่านอ๋องอู๋ เมืองอู๋ย่อมต้องสั่นสะเทือน นึกย้อนไปเมื่อชาติก่อน ท่านอ๋องอู๋ตายแล้ว เมืองอู๋ปรากฏสายเลือดท่านอ๋องอู๋สืบทอดตำแหน่งท่านอ๋อง คิดจะฟื้นฟูเมืองอู๋ ตระกูลชั้นสูงและราษฎรเมืองอู๋ต่างถูกฮ่องเต้เฝ้าระวัง หลี่เหลียงใช้โอกาสนี้ปั่นป่วนสถานการณ์ ราษฎรเมืองอู๋อยู่อย่างยากลำบากเป็นเวลานาน
ในเมื่อท่านอ๋องอู๋ไร้ใจเผชิญสงครามกับราชสำนัก ต้องการที่จะเป็นท่านอ๋องเสพสมความสุขเท่านั้น เช่นนั้นก็อย่าให้เมืองอู๋ตกอยู่ในความวุ่นวายเลย
เฉินตันจูพูด “ให้เขาออกจากเมืองอู๋ ไปเป็นท่านอ๋องที่อื่นเถิด”
พาเหล่าขุนนางของเขาไปด้วยกัน คนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการเฝ้ารักษาท่านอ๋องของพวกเขาหรือ ฉะนั้นเปลี่ยนสถานที่ไปเฝ้ารักษาเถิด อย่าได้อยู่รังแกทำร้ายนางและท่านพ่ออีก
อาจารย์ฮุ้ยจื้อครุ่นคิด ก่อนจะพูดกับเฉินตันจู “คุณหนูรองเฉินเมตตา”
เฉินตันจูหัวเราะออกมา เมตตา? นางเป็นคนมีเมตตาหรือ
นางเป็นแค่คนเลว