บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 32 อธิบาย
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นเฉินตันจูอารมณ์ดีอย่างมากที่ได้กินเอ็นกวางตุ๋น
ชาติที่แล้วนางถูกกักขังอยู่ในภูเขาดอกท้อ ถึงแม้หลี่เหลียงจะดูแลนางอย่างดี แต่นางก็ไม่ใช่คุณหนูรองเฉินเหมือนในอดีตแล้ว เมืองอู๋ที่ประสบกับน้ำหลาก และการอพยพของตระกูลขุนนางชั้นสูงจากเมืองหลวงก็เปลี่ยนแปลงไป คนและร้านค้าส่วนมากล้วนหายไป
เฉินตันจูอดอุทานไม่ได้ “ไม่ได้กินสิ่งนี้มานานเท่าไรแล้ว”
ก็ไม่ได้นานเท่าไร อาเถียนคิดในใจ ตอนที่เพิ่งอารามดอกท้อนางยังใช้ให้สาวรับใช้ไปซื้อมา คุณหนูชอบกินอย่างมาก ทั้งๆ ที่ลักษณะท่าทางอ่อนแอ แต่นางกลับชอบกินเนื้อที่สุด ขาดเนื้อไม่ได้แม้แต่มื้อเดียว
“หากคุณหนูชอบ พรุ่งนี้ข้าจะซื้ออีก”
เฉินตันจูพูดกลั้นหัวเราะ “พรุ่งนี้ซื้อสิ่งอื่น”
อาเถียนยิ้มพลางตอบรับ นางเดินลงเขาพร้อมเฉินตันจู เชิงเขามีรถม้ารออยู่ คนที่บังคับรถม้าคือองครักษ์คนเมื่อคืน เฉินตันจูรู้ชื่อของเขา เขาชื่อจู๋หลิน
“จู๋หลิน” เฉินตันจูพูดกับเขา “ไปวัดถิงอวิ๋น”
จู๋หลินผู้ซึ่งไม่ใช่คนเมืองอู๋ไม่ได้ถามถึงตำแหน่งที่ตั้งของวัดถิงอวิ๋น เขาเพียงสะบัดแส้บังคับรถม้าให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้า
เฉินตันจูนั่งชื่นชมทิวทัศน์ด้านนอกอยู่ภายในรถ ชาติที่แล้วนางไร้อารมณ์ในการชื่นชมทิวทัศน์ระหว่างทางไปวัดถิงอวิ๋น ไม่รู้ว่าสิบปีก่อนกับสิบปีหลังมีอันใดแตกต่างหรือไม่ จนกระทั่งเดินทางมาถึงวัดถิงอวิ๋น นางถึงได้กระจ่างว่าแตกต่างกัน
หน้าประตูของวัดถิงอวิ๋นในเวลานี้ไม่มีลานกว้างขวาง เวลาเช้าครู่มีพ่อค้าแม่ค้าจำนวนมากขายอาหารและธูปเทียน เหล่าแม่นางเดินทางมาจุดธูปสักการะตั้งแต่เช้า เดินเล่นชื่นชมทิวทัศน์ทั้งวุ่นวายทั้งครึกครื้น ไร้ซึ่งความเคร่งขรึมน่าเกรงขามของวัดหลวงเหมือนเมื่อชาติก่อน
ความทรงจำตอนเด็กของเฉินตันจูเริ่มปรากฏชัดขึ้นมา
ท่านพี่มาสักการะขอบุตร จึงพาตนเองติดตามมาด้วยหลายครั้ง ตนเองไร้ความสนใจต่อการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เห็นว่าด้านหลังลานวัดมีต้นซานจา [1] ไม่รู้ว่าเติบโตมานานเท่าใด มันมีกิ่งก้านและใบไม้จำนวนมาก ออกผลเต็มต้น นางหยิบหน้าไม้ยิงผลซานจา ถูกเณรน้อยห้ามเอาไว้ บอกว่าผลไม้เหล่านี้เป็นผลไม้ของพระพุทธเจ้า ไม่อาจให้นางเหยียบย่ำได้ แต่เฉินตันจูไม่สนใจ นางยิงผลไม้สีแดงสดล่วงหล่นลงมาเต็มพื้น สวยงามอย่างมาก เณรน้อยยืนร้องไห้อยู่ใต้ต้นไม้…
เฮ้อ ราวกับว่านางจะเป็นเด็กที่ทำให้คนเกลียดชัง
เฉินตันจูสลัดความคิดเดินเข้าไปภายในวัด พระสงฆ์ที่ทำหน้าที่ต้อนรับญาติโยมจำนางได้จึงรีบเดินเข้ามาถามไถ่ เฉินตันจูบอกว่าต้องการพบเจ้าอาวาส พระสงฆ์รูปนั้นจึงให้คนไปรายงาน แต่เจ้าอาวาสไม่อนุญาตให้เข้าพบ
“อาจารย์รู้สึกจิตใจไม่สงบมาหลายวัน ท่านต้องการฝึกสมาธิและไม่ต้อนรับใครทั้งสิ้น” เณรน้อยตอบ “คุณหนูรองเฉินท่านคงต้องมาใหม่อีกครั้งสิบวันหลังจากนี้”
นายหญิงคุณหนูในเมืองหลวงมีจำนวนมาก แต่เณรน้อยจำคุณหนูรองเฉินได้แม่นยำที่สุด มาวัดไม่จุดธูปสักการะ เดินชมเที่ยวเล่นวิ่งไล่สัตว์เล็กเด็ดดอกไม้ต้นหญ้า…
ได้ยินว่าคุณหนูรองเฉินสังหารพี่เขยของตนเอง อีกทั้งยังต้อนรับฮ่องเต้เข้ามา น่ากลัวยิ่งนัก
ปิดประตู? แต่ก่อนที่ท่านพี่นำเงินถวายธูปเทียนจำนวนมากมาย นางไม่เคยพบเจ้าอาวาสปิดประตูมาก่อน!
“เจ้าอาวาสคงไม่ต้องฝึกสมาธิ หากท่านพบข้า ท่านคงสงบมากขึ้น” เฉินตันจูพูด
พูดจบก็เดินไปยังหลังวัด เจ้าอาวาสพักที่ไหนนางย่อมรู้ดี
พระสงฆ์ที่ทำหน้าที่ต้อนรับญาติโยม และเณรน้อยต่างรีบห้ามปราม แต่ก็ไม่กล้ายื่นมือไปจับรั้งเอาไว้ ทำได้เพียงมองเฉินตันจูเดินไปยังสถานที่พักของเจ้าอาวาส
“อาจารย์ฮุ้ยจื้อ” เฉินตันจูเรียกขานอยู่ด้านนอกประตู “ข้ามีเรื่องหารือกับท่าน”
เสียงชราหนึ่งดังขึ้นจากด้านใน “โยมเฉิน มีเรื่องยากอันใดบอกพระพุทธเจ้าก่อน หรือไม่โยมเฉินมาใหม่อีกครั้งในสิบวันหลัง อาตมาจะรับฟัง”
สิบวัน? สิบวันหลังให้ศพของข้ามาหรืออย่างไร
เฉินตันจูยกมือเคาะประตู พูดเสียงดัง “เรื่องนี้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและท่าน ข้าบอกกับท่านก่อน ค่อยบอกกับพระพุทธเจ้า อาจารย์ ฮ่องเต้เดินทางมาเมืองอู๋พักอยู่ในพระราชวังของท่านอ๋อง ข้าคิดว่าไม่เหมาะสม ควรสร้างพระราชวังให้ฮ่องเต้อีกแห่งหนึ่ง ข้ารู้สึกว่าวัดถิงอวิ๋นเหมาะสมที่สุด ดังนั้นจึงคิดจะเข้าเฝ้าทูลถวายฝ่าบาทและท่านอ๋อง ทำให้ที่นี่ราบเรียบ…”
เมื่อพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่ต้อนรับญาติโยม และเณรน้อยที่ตามมาด้านหลังได้ยินดังนั้นก็ตกใจจนเบิกตาโต ส่วนอาจารย์ฮุ้ยจื้อที่อยู่ภายในห้องตัวสั่นสะท้าน ยกมือขึ้นกุมหน้าอก ดี ในที่สุดเขาก็รู้ว่าจิตใจที่ไม่สงบนิ่งขึ้นมาอย่างกะทันหันเมื่อคืนเกิดจากอะไรแล้ว!
ปีศาจตระกูลเฉินนี้นอกจากทำร้ายท่านอ๋องอู๋ยังไม่พอ ยังคิดจะมาทำร้ายวัดเล็กของเขาอีก!
วัดถิงอวิ๋นอยู่มานานกว่าราชวงศ์ต้าเซี่ย แต่ในเวลานี้เด็กหญิงคนหนึ่งบอกว่าจะทำให้ที่นี่เรียบเป็นหน้ากอง ไม่ว่าผู้ใดได้ยินต่างรู้สึกเหลือเชื่อ
แต่อาจารย์ฮุ้ยจื้อไม่คิดเช่นนั้น เขามือถือลูกประคำถอนหายใน เขารู้ว่าท่านอ๋องอู๋เป็นคนอย่างไร ละโมบเสพสมความสุขไร้น้ำใจไร้คุณธรรมอีกทั้งไร้ความคิด…
ส่วนฮ่องเต้เป็นคนอย่างไรเขาก็รู้ ตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนคิดจะเรียกคืนพื้นที่ศักดินา ถูกเหล่าท่านอ๋องล้มลง พระราชโอรสทั้งสามถกเหล่าท่านอ๋องบังคับขู่เข็น พระราชโอรสองค์เล็กสุดอดทนแบกรับความเหยียดยามมาหลายปี มีความโลภและโหดเหี้ยม…
ส่วนเด็กหญิงตระกูลเฉินเป็นคนอย่างไร อาจารย์ฮุ้ยจื้อไม่รู้ แต่ดูจากสิ่งที่นางทำก็พอจะคิดได้ พลังพิฆาตของเด็กหญิงแม้แต่ประตูยังต้านไว้ไม่อยู่
ปีศาจ!
อาจารย์ฮุ้ยจื้อเปิดประตูเชิญนางเข้ามาอย่างจำยอม เขาพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “คุณหนูรองเฉิน เจ้าต้องการอะไร หลายปีนี้อาตมาสะสมทรัพย์ไว้จำนวนไม่น้อย”
เฉินตันจูนึกขำในคำพูดของเขา อาจารย์คนนี้ไม่เหมือนกับที่นางจินตนาการเอาไว้
นางพินิจอาจารย์ฮุ้ยจื้อ ตอนเด็กไม่ได้ใส่ใจมากนัก จึงไม่มีความทรงจำต่อเขาอะไรมากมาย แต่จากที่ดูในเวลานี้ ถึงแม้เจ้าอาวาสตรงหน้ามีลักษณะเมตตา แต่รูปร่างทั้งสูงทั้งอ้วน จีวรตัวโคร่งที่ปกคลุมอยู่บนตัวก็ไม่อาจปิดบังรูปร่างใหญ่ของเขาได้
ชาติก่อนอาจารย์ฮุ้ยจื้อมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย
อาจารย์ฮุ้ยจื้อเป็นราชครูของฮ่องเต้ เหล่าแม่นางที่ภูเขาดอกท้อชอบไปสักการะที่วัดถิงอวิ๋นมากกว่าเพราะคิดว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่เหล่านักกวีกลับไม่ชอบวัดถิงอวิ๋น ยิ่งไม่ชอบอาจารย์ฮุ้ยจื้อ เพราะวัดในเมืองหลวงมีจำนวนมากขึ้น พระสงฆ์ทำตัวเหมือนดั่งขุนนางชันสูง หรูหราฟุ่มเฟือยวางอำนาจบาตรใหญ่…
เฉินตันจูไม่พูด นางจ้องมองจนอาจารย์ฮุ้ยจื้อหวาดกลัว ภายนอกเด็กหญิงตัวเล็กอ่อนแอ แต่ดวงตานั้นดุเสียจริง…เด็กหญิงอาจไม่ชอบเงินทอง เช่นนั้นนางชอบอะไร
“อาจารย์ หากท่านไม่อยากให้วัดถิงอวิ๋นราบเรียบก็ย่อมได้” เฉินตันจูพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านล้มท่านอ๋องอู๋เถิด”
อาจารย์ฮุ้ยจื้อกระจ่างใจ ที่แท้เด็กหญิงก็ชอบที่จะเป็นขุนนางเลว…
เขาถอยหลังนั่งลงบนเก้าอี้
————————————————
[1] ซานจา หมายถึง ไม้ผลเล็กประเภทเบอร์รี่ ผลสีแดง มีรสเปรี้ยว มักนิยมนำมาทำเป็นขนมตากแห้ง