บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 318 ลงน้ำ
น้ำปกคลุมศีรษะ หญิงสาวจมลงอย่างช้าๆ ชุดและผมยาวของนางลอยพลิ้วไหวไปกับสายน้ำ
เขาว่ายน้ำอยู่ท่ามกลางร่างของนางเหมือนปลา
ในหัวของเขาวนเวียนสิ่งที่หวังเจียนพูด แตกต่างจากหลี่เหลียง เฉินตันจูย่อมไม่สามารถทำอันใดกับสิ่งที่เหยาฝูใช้ได้ ดังนั้นจึงมีทางเดียวคือ เคลือบยาพิษไว้บนตัว บนเสื้อผ้าของตนเอง อาศัยกลิ่นหอม อาศัยการสัมผัส…
โรยผงยาเหล่านี้บนร่างกายของหญิงสาว ตัวของนางเคลือบด้วยยาพิษ ย่อมต้องเกิดความร้อน โยนนางลงน้ำชำระร่างกาย จนกระทั่งร่างกายเย็นลง จึงจะยับยั้งการตายของนางได้ชั่วคราว
ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้ท่ามกลางน้ำลึก ชุดกระโปรงบางในฤดูร้อนเปียกโชกอย่างรวดเร็ว มือของเขาสัมผัสได้ถึงผิวที่เรียบเนียนและร้อนผ่าวผ่านเสื้อ เขากอดนางเอาไว้พร้อมดันนางขึ้นเหนือผิวน้ำ ก่อนจะกระโดดกลับลงน้ำใหม่อีกครั้งราวกับปลา หลังจากทำเช่นนี้ซ้ำกันหลายครั้ง ร่างกายที่ร้อนผ่าวของนางเย็นลง เนื่องจากการขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง หญิงสาวที่หมดสติเกิดอาการสำลักน้ำ นางกระแอมไอออกมา ฟื้นคืนสติกลับมา
คราวนี้เขากระโดดขึ้นจากน้ำ ก่อนจะหย่อนตัวลงบนพื้นริมแม่น้ำ
เขาคว้าเสื้อคลุมที่ถอดไว้ก่อนหน้านี้ห่อตัวให้หญิงสาวที่เปียกโชกไปด้วยน้ำ ก่อนจะแบกนางขึ้นหลังวิ่งอย่างรวดเร็วในยามราตรีอีกครั้ง
หญิงสาวที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นส่ายศีรษะไปมา พึมพำเรื่อยเปื่อย บ้างเสียงดังบ้างเสียงเบา ส่วนใหญ่เป็นคำพูดที่ฟังไม่ชัดเจน จากนั้นนางก็คร่ำครวญร้องไห้ขึ้นมา
หัวใจที่หนักอึ้งของเขาสั่นไหวเพราะเสียงร้องไห้ข้างหู
เฮ้อ
เขาถอนหายใจในใจ ก่อนจะหันหน้ากลับมา “เจ้ายังรู้จักร้องไห้หรือ ไม่อยากตาย เหตุใดจึงไม่มาร้องไห้กับข้า มาร้องไห้เวลานี้ ร้องไห้ให้ผู้ใดดู!”
บางทีมันอาจจะใกล้เกินไป ศีรษะของนางอยู่ใกล้หูของเขา และเมื่อเขาหันศีรษะ ศีรษะของเขาก็อยู่ใกล้หูของนางเช่นกัน
เสียงนั้นดังขึ้นที่ข้างหูนาง นางอยากจะลืมตาขึ้น มือของนางจับผมของเขาเอาไว้…
“ผู้ใด” นางพึมพำ มีสติมากขึ้นกว่าเดิม นางรับรู้ได้ว่ากำลังวิ่ง สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของน้ำค้างยามค่ำคืนในป่า สัมผัสได้ถึงลมที่พัดผ่านใบหน้า สัมผัสได้ถึงหัวไหล่ของผู้อื่น…
นางนึกขึ้นได้ว่าตนเองเอนพิงหัวไหล่ของเหยาฝู ดังนั้น นางกำลังอยู่บนทางไปยมโลกหรือ ไม่ใช่ ทางไปยมโลกไม่ควรเป็นกลิ่นอายแบบนี้ ยมบาลหัววัวหัวม้าก็คงไม่มีร่างกายที่อบอุ่นแบบนี้
นางยื่นมือไปคลำศีรษะของคนผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเลื่อนไปที่ลำคอ หัวไหล่และหน้าอกของเขา…
“อย่าขยับ!” ชายผู้นั้นดุเสียงเบาข้างหู
ชายหนุ่ม? น้ำเสียงดุ? โกรธมาก แต่ก็ช่วยนางไว้
ภาพหนึ่งแวบเข้ามาในจิตสำนึกที่สับสนของเฉินตันจู ราวกับว่าในช่วงเวลาสุดท้าย มีชายผู้หนึ่ง…จู๋หลินมาหรือ
ครานี้จู๋หลินรู้ทันได้อย่างรวดเร็ว? รู้ว่าเขาถูกนางโยนทิ้งอีกครั้ง เหมือนกับครั้งก่อนที่นางจะไปฆ่าเหยาฝู
ใช่ นางไม่ได้ต้องการกลับไปที่ซีจิงจริงๆ นางไม่มีแผนการนั้นตั้งแต่แรก
นางไม่ได้ขอให้องค์ชายสามไปอ้อนวอนฮ่องเต้ นางไม่ปะทะกับองค์รัชทายาทและฮ่องเต้ นางไม่ได้บ่นกับโจวเสวียน ยิ่งไม่ไปหาท่านแม่ทัพหน้ากากเหล็ก
เพราะพวกเขาไม่มีทางและไม่สามารถบรรลุความปรารถนาที่แท้จริงภายในใจของนางได้
สิ่งเดียวที่นางต้องการคือฆ่าเหยาฝู เหมือนกับการฆ่าหลี่เหลียง
แต่มันต่างจากการฆ่าหลี่เหลียง ในเวลานั้นนางเป็นบุตรสาวขุนนางเมืองอู๋ ค่ายทหารมากกว่าครึ่งยังอยู่ในเงื้อมมือของตระกูลเฉิน นางสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย แต่การฆ่าเหยาฝูไม่ได้ง่ายเช่นนั้น เว้นเสียแต่นางจะเสียสละชีพตัวเอง
เช่นนั้นนางก็จะเสียสละชีพตัวเอง
นางไม่ยอมให้เหยาฝูได้รับพระราชทาน นางไม่มีวันยอมให้พี่สาวของนางต้องมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวผู้นี้ นางไม่มีวันยอมให้พี่สาวของนางต้องรับมือกับหญิงสาวผู้นี้ รู้สึกขยะแขยงกับหญิงสาวผู้นี้ ไม่ได้แม้แต่สักนิดเดียว
นางไม่มีโอกาส ดังนั้นนางจึงรอคอยเสมอมา รอจนกระทั่งเหยาฝูออกมาจากตำหนักบูรพา
นางขอทหารเกราะทองจากฮ่องเต้ เดินทางกลับเมืองซีจิงอย่างเปิดเผย ไล่ตามเหยาฝู
ไม่คิดว่าจู๋หลินจะตามมา
“เจ้าอย่ากลัว” เฉินตันจูพึมพำ “ข้าไม่กลัวแม้แต่น้อย เจ้าก็อย่ากังวล เพราะว่ามีแม่ทัพหน้ากากเหล็กอยู่”
หัวใจที่ตึงเครียดของเขาอ่อนลง “มีเขาอยู่แล้วอย่างไร”
“มีเขาอยู่ เขาจะปกป้องคนในตระกูลของข้า” เฉินตันจูยิ้มมุมปาก เอนพิงหัวไหล่อย่างหมดแรง ปลดปล่อยสติสุดท้าย “มีเขาอยู่ ข้าก็กล้าไปตายอย่างวางใจแล้ว”
นางฆ่าเหยาฝู ย่อมต้องทำให้ฮ่องเต้โกรธอย่างมาก แม้ว่านางจะตายไปพร้อมเหยาฝู แต่คนในตระกูลของนางที่ยังมีชีวิตอยู่ย่อมต้องเดือดร้อน
แต่นางมั่นใจว่าเขาจะจัดการได้ เขาจะปกป้องคนในตระกูลของนาง ดังนั้นถึงแม้ต้องตายก็ตายได้อย่างวางใจ
ดังนั้นนางจึงไม่เคยไปหาเขา นางไปขอให้จินเหยาขอทหารเกราะทองจากฮ่องเต้ กีดกันจู๋หลินและองครักษ์คนอื่นออกไป เพียงเพื่อให้เขาไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เพื่อรอนางฆ่าเหยาฝูสำเร็จ และขอร้องอ้อนวอนแทนนาง ให้คนในตระกูลของนางสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้
หญิงสาวผู้นี้นี่ เขาส่ายหัวด้วยความระอา
ตอนนั้นที่ได้รับข่าว นางขอจวนคืนจากโจวเสวียน แสร้งวางแผนให้แก่อนาคต หวังเจียนยังชื่นชมนางว่าเป็นหญิงสาวที่ใจเย็น
แต่อันที่จริงเขารู้ตั้งแต่แรก หญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่หญิงสาวที่ใจเย็น นางเป็นแค่เจ้าเด็กบ้าคลั่งที่พร้อมจะตายพร้อมกับผู้อื่น
นางไม่ใช่ไม่คิดสิ่งใด นางมีเพียงแผนการเดียว ภายในแผนการนั้นมีเพียงเขา หลังจากที่นางตาย ให้เขาปกป้องคนในตระกูลของนาง
“เฉินตันจู เจ้ามั่นใจเพียงนั้นได้อย่างไร” เขาถามเสียงเบา “เจ้าตายไปแล้ว เหตุใดข้าต้องปกป้องคนในตระกูลของเจ้า”
คนด้านหลังไม่มีคำตอบ หญิงสาวผู้นั้นสลบไปอีกครั้ง มือทั้งคู่คล้อยลงจากหัวไหล่มาด้านหน้าตัวของเขาอย่างหมดแรง
“หากเจ้าตายจริง” เขาหันไปพูด “เฉินตันจู ข้าจะไม่ปกป้องคนในตระกูลของเจ้า”
หญิงสาวที่พิงอยู่บนหัวไหล่ไร้เสียง ราวกับไม่มีแม้แต่ลมหายใจ
มือทั้งสองข้างของเขาโอบอุ้มนางไว้บนหลังแน่น ใช้ความเร็วยิ่งขึ้นในการวิ่งไปด้านหน้า ภายในใจก่นด่าหวังเจียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า “หลังจากไม่ทำสงคราม นับวันยิ่งถอยหลัง ขี่ม้าต้องใช้เวลานานเพียงนี้หรือ”
ในที่สุดหลังจากที่ก่นด่านับครั้งไม่ถ้วน วิ่งจนขาไร้ความรู้สึก วิ่งจนฟ้าสว่างขึ้นอย่างช้าๆ เขาก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังมาจากข้างหน้า
เขาส่งเสียงร้องแหลมเลียนแบบนกเค้าแมวออกมา
…
ในที่สุด ภายในสายตาของหวังเจียนก็ปรากฏร่างร่างหนึ่ง เขาราวกับมุดออกมาจากใต้ดิน ร่างของเขาส่ายไปมาท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ยังคงสลัว
ในขณะที่หวังเจียนกำลังจะตะโกน คนผู้นั้นคุกเข่าลง ล้มลงไปทางด้านหน้า คนที่แบกอยู่ด้านหลังหมอบอยู่บนตัวของเขาอย่างมั่นคง ทั้งสองคนไม่ขยับแม้แต่น้อย
หวังเจียนรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองซีดเผือด
หญิงสาวผู้นั้นใช้พิษฆ่าคน นางฆ่าเหยาฝูได้ ฆ่าตัวเองได้ ย่อมสามารถฆ่าคนที่ช่วยนางได้
โดยเฉพาะคนที่ช่วยนางนี้ก็ไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเองเหมือนกัน
คนบ้าทั้งสอง!
หวังเจียนกระโดดลงจากม้า อุ้มกล่องยาด้านหน้าตัว วิ่งเข้าไปอย่างโซซัดโซเซ
…
เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง รู้สึกวิงเวียน
ความคิดแรกของเขาคือยื่นมือจับใบหน้า…เมื่อสัมผัสได้ว่าไม่มีหน้ากากเหล็ก เขาลุกขึ้นพรวดด้วยความหนาวสะท้านในทันที
ความคิดถัดไปหลั่งไหลเข้ามาดุจน้ำในลำธาร ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องใดขึ้น เขากำลังทำสิ่งใด เขาลุกขึ้นนั่งโดยไม่สนใจว่าบนใบหน้ามีหน้ากากหรือไม่ หากแต่รีบมองไปข้างตัว
ข้างตัวไม่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ของหญิงสาว มีเพียงใบหน้าของหวังเจียน ดวงตาคู่เล็กทั้งดำคล้ำทั้งแดงก่ำ ดูแล้วแก่ชราลงอีกสิบปี
“เหตุใดท่านจึงช้าเช่นนั้น” เขายื่นมือกุมหน้าอก พูดเสียงเบา “หวังไต้ฟู พวกเราเกือบต้องพบกันบนทางยมโลกแล้ว”
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าไม่มีทางไปยมโลกเร็วเช่นนั้น ท่านไม่ต้องรอข้าบนทางยมโลก”
เขายิ้ม ก่อนจะมองไปรอบด้าน ห้องนี้เป็นห้องพักในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เวลานี้เขานั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่น หวังเจียนนั่งอยู่ข้างกายเขา บนเตียงหลังม่านอีกด้านสามารถมองเห็นร่างคนได้ลางๆ
เขาไม่ได้ถามว่าช่วยชีวิตไว้ได้หรือไม่ เวลานี้หวังเจียนนั่งอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้ เขาก็มีคำตอบอยู่แล้ว
เขาลุกขึ้น สัมผัสถึงความเมื่อยล้าของขาทั้งสองข้าง ก่อนจะรีบประคองตัว เดินเข้าไปทีละก้าว เปิดม่านขึ้น หญิงสาวบนเตียงหลับใหลด้วยความสงบ ถึงแม้สีหน้าซีดเซียว แต่ปลายจมูกเล็กขยับเปิดปิด
เขายิ้มเล็กน้อย