บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 299 ทุกข์ร่วมกัน
เมื่อทั้งกลุ่มหันมองตามนั้น ก็เห็นว่าก๊อกน้ำนับร้อยอันนั้นกำลังปล่อยน้ำไหลออกมา
น้ำที่ไหลออกมาไม่ได้เร็วนัก แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขารู้สึกกดดัน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปริมาณน้ำในสถานการณ์ที่ผนังทั้งสี่ด้านถูกล้อมเอาไว้เช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าความตายจะอยู่ห่างจากพวกเขาแค่เอื้อม
หน้าแข้งของพวกเขาก็ถูกน้ำท่วมจนมิดในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
ในสถานการณ์ที่ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ การหายใจของมนุษย์เราย่อมรุนแรงขึ้นจากปกติสองถึงสามเท่าตอนที่ระดับน้ำขึ้นมาถึงช่วงเอวหรือสูงกว่านั้น
สมัยที่เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องออกไปทำภารกิจ นี่คือสถานการณ์ที่นางเกรงว่าจะเจอมากที่สุด หากนางอยู่คนเดียวก็คงไม่ได้แย่นัก แต่ในเวลานี้นางมีเด็กชายหัวโล้นอยู่ด้วย
นับว่าการทดสอบอันเหนือความคาดหมายนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถผ่านไปได้ง่ายๆ เลย
และที่สำคัญคือไม่มีใครในกลุ่มพวกนางที่เตรียมตัวมาพร้อมสำหรับเรื่องนี้เลยแม้แต่คนเดียว
พวกนางคิดว่าในเมื่อการทดสอบแรกของพวกนางเพิ่งจะจบลงไปหมาดๆ พวกนางคงต้องรอให้ถึงวันถัดไป จึงจะได้เริ่มการทดสอบรอบที่สอง
ไม่มีใครคิดเลยว่าการทดสอบรอบที่สองจะมาถึงในเวลาเพียงแค่ครึ่งก้านธูป[1]
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าตู๋ซูเฟิงกำลังทดสอบสัญชาตญาณการตอบสนองในสภาวะที่ร่างกายของพวกเขาเหน็ดเหนื่อยจนถึงที่สุด และสภาพจิตใจของพวกเขาอยู่ในสภาวะผ่อนคลายอย่างมากอยู่
แต่นางคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นนี้ทั้งที่เจ้าเจ็ดยังอยู่ที่นี่ด้วย
“เดินกลับไป!” อวิ๋นปี้ลั่วมีปฏิกิริยาตอบสนองทันที!
แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว!
ปริมาณน้ำจากก๊อกน้ำนับร้อยนั้นอยู่เหนือจากที่พวกนางคาดเอาไว้ ในเวลาต่อมาระดับน้ำภายในอุโมงค์ก็ขึ้นมาถึงเอวของพวกนางอย่างรวดเร็ว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา แล้ววางเจ้าเจ็ดลงบนพื้นที่สูงกว่าพวกนาง เขาจะได้ไม่ถูกกระแสน้ำพัดไป
กว่าหานอวี้จะสามารถสลัดตาข่ายหลุดออกมาได้ ระดับน้ำก็ท่วมขึ้นมาจนถึงคอของเขาแล้ว
ทุกคนว่ายน้ำกันอย่างบ้าคลั่ง เวลาที่เผชิญหน้ากับความตาย ปฏิกิริยาของคนเรามักจะจบลงด้วยการยอมแพ้โดยไม่มีข้อแม้
“พี่สะใภ้สาม” เด็กชายว่ายน้ำไม่เป็น เขาขมวดคิ้วหนาแน่น เขาพยายามสู้กับกระแสน้ำ แล้วเอ่ยกับเฮ่อเหลียนเวยเวยว่า ”ถ้าในน้ำมีปลา ข้าคงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้นกว่านี้”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ในน้ำจะมีปลาหรือไม่นั้นมันเกี่ยวอะไรกับสถานการณ์ในเวลานี้ด้วยหรือ นางไม่เข้าใจความคิดของคนที่เห็นแก่กินเช่นนี้เลยจริงๆ
“พวกเจ้า แค่กๆ พวกเจ้ายังไม่ไปอีกหรือ” หานอวี้สำลักน้ำออกมาเป็นฟองระหว่างพูด
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะระดับน้ำขึ้นมาถึงระดับสายตาของนางแล้ว สิ่งที่พวกนางจำเป็นต้องทำในเวลานี้คือการรักษาแรงกายเอาไว้!
หากคิดตามหลักการแล้ว นี่ต้องเป็นการทดสอบอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่ามันจะต้องมีทางออกไปจากที่นี่
แต่ทางออกนั้นคงจะไม่ใช่การเดินกลับไป
เพราะการเดินกลับไปนั้น…
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่มีอารมณ์มาคิดถึงเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว นางรู้สึกสมองเบลอไปเล็กน้อย ซึ่งนั่นเป็นปฏิกิริยาเบื้องต้นของมนุษย์เมื่ออยู่ใต้น้ำ
พวกนางเริ่มค่อยๆ มองไม่เห็นอะไรในอุโมงค์อีกเลยนอกจากสายน้ำ แต่ก็ต้องขอบคุณอยู่อย่างหนึ่งที่ทัศนวิสัยใต้น้ำนั้นค่อนข้างชัดเจนมากทีเดียว อีกทั้งภายในอุโมงค์แห่งนี้ยังมีแสงสว่างจากไข่มุกกลางคืนปรากฏให้เห็นอยู่ด้วย
แต่สำหรับมนุษย์แล้ว การลืมตาเป็นเวลานานนั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ทรมานนัก
เจ้าเจ็ดว่ายน้ำไม่เป็น เขาจึงไม่เหมาะที่จะอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน
เฮ่อเหลียนเวยเวยกัดฟัน แล้วตั้งใจจะหันหลังกลับพร้อมกับพาตัวเขาไปด้วย
แต่คนที่มุ่งหน้าไปยังทางออกนั้นกลับว่ายกลับมา แล้วทุบผนังนั้นอย่างสิ้นหวังอยู่ใต้น้ำราวกับกำลังพยายามหาทางออกอื่นอยู่!
สถานการณ์ทางด้านอวิ๋นปี้ลั่วดูดีที่สุด นางเริ่มรวบรวมพลังปราณในร่างของตน พลังปราณที่อยู่รอบนางทำให้นางสามารถหายใจได้ในเวลาสั้นๆ
เมื่อเห็นสิ่งที่นางทำ คนอื่นๆ ก็เริ่มรวบรวมพลังปราณของตัวเองตามบ้าง
วิธีการนี้ใช้ได้ผลจริงในเวลาสั้นๆ แต่มันก็มีผลร้ายแรงต่อชีวิต
คนที่มีพลังปราณไม่เพียงพอจะสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไปหลังจากใช้วิธีนี้
“ช่วยด้วย!”
ในที่สุดก็มีคนที่ทนไม่ไหว แสงสว่างบนร่างของเขาเริ่มจางหายไประหว่างที่เขาพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะยื่นมือออกมา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถดูแลคนอื่นได้อีก นางจึงทำเพียงแค่กระชับร่างของเด็กชายเอาไว้เท่านั้น นางหรี่ตาลง แล้วจ้องมองไปยังที่แห่งหนึ่งตาไม่กะพริบ
ผนังหินโปร่งแสงนั่น
ในเมื่อไม่มีเวลามากพอที่จะหากลไกของมัน เช่นนั้นทำไมนางไม่ลงมือโจมตีมันไปเลยเล่า!
“ด้วยคำสั่งของข้า ข้าขอบงการสายลมและเมฆทั้งหลายบนโลกนี้!”
จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยืนตรงอยู่ใต้น้ำทั้งที่มือซ้ายของนางยังโอบเจ้าเจ็ดอยู่ ส่วนมือขวาของนางก็เริ่มรวบรวมพลังอย่างช้าๆ กระแสพลังที่มองไม่เห็นสายหนึ่งพลันพุ่งเข้าสู่ฝ่ามือของนาง
ไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องนี้นอกจากหยวนหมิง เป็นอีกครั้งที่ผู้หญิงคนนี้ทำลายความรู้ความเข้าใจของเขาที่มีต่อมนุษย์ลง
ปัง!
ท่ามกลางกระแสน้ำอันทรงพลัง เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้กำปั้นของตนอัดเข้ากับกำแพงหินโปร่งแสงนั้น
มีเสียงปริแตกเกิดขึ้น
รอยร้าวหลายชั้นปรากฏขึ้นบนกำแพงหินในทันที
ตู๋ซูเฟิงมองนางด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอย่างเคย แต่กลับกัน ที่ปรึกษาที่ยืนอยู่ด้านหลังตู๋ซูเฟิงกลับขมวดคิ้วอย่างแรง
ปัง!
หมัดพุ่งเข้ากระแทกอีกครั้ง!
กำแพงหินแตก!
น้ำไหลออกไป
ตู๋ซูเฟิงก้าวถอยหลังไปก้าวใหญ่
น้ำทั้งหมดไหลลงไปใต้ดินผ่านทางท่อน้ำอย่างรวดเร็ว
มีกลไกซ่อนอยู่ทุกหนแห่งอย่างที่นางคิดเอาไว้ไม่ผิด
ผมดำยาวของเฮ่อเหลียนเวยเวยเปียกโชก ปฏิกิริยาแรกที่นางทำไม่ใช่การตั้งคำถามกับตู๋ซูเฟิง แต่กลับเป็นการก้มตัวลงตรวจสอบดวงตาของเจ้าเจ็ด
จากนั้นนางก็กดลงไปที่หน้าอกของเขาสองครั้ง การเคลื่อนไหวของนางนั้นรวดเร็วและดูเชี่ยวชาญมาก
แม้แต่ตู๋ซูเฟิงก็ยังแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย
เมื่อเด็กชายกระอักน้ำออกมาสามครั้งติดต่อกัน คนอื่นๆ ก็ค่อยๆ เดินออกมาทีละคน
อวิ๋นปี้ลั่วไม่ได้อยู่ในสภาพแตกตื่นแต่อย่างใด แต่สถานการณ์ที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ทำให้นางดูไม่เสถียรเช่นเดิม
ส่วนอีกสองคนกลับดูแย่ยิ่งกว่านั้น หลังจากออกมาได้ พวกเขาก็ยังคงไอแทบไม่หยุด ดวงตาของพวกเขากลายเป็นสีแดง และนอนราบอยู่กับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
แม้กระทั่งหานอวี้เองก็ยังต้องใช้เข่าข้างหนึ่งพยุงตัวเองเอาไว้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแสดงอาการเหนื่อยล้าออกมา
“ยินดีด้วย พวกเจ้าทุกคนยังมีชีวิตอยู่” ตู๋ซูเฟิงสาวเท้าเข้ามา แล้วเอ่ยว่า ”บางครั้งพวกเราก็ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างกะทันหันเช่นนี้เหมือนกัน ตอนที่พวกเราออกไปปฏิบัติภารกิจ ไม่มีใครสามารถการันตีความปลอดภัยของเจ้าได้ทั้งหมด ดังนั้นบทเรียนแรกของการเข้าร่วมในหน่วยพิฆาตวิญญาณคือการเรียนรู้ที่จะปกป้องชีวิตตัวเอง”
เขามองอวิ๋นปี้ลั่วแล้วกล่าวว่า ”ปฏิกิริยาตอบสนองของอวิ๋นปี้ลั่วนั้นรวดเร็วมาก และนางยังคิดที่จะใช้พลังปราณเพื่อป้องกันตัว นับว่าเป็นความคิดที่ดีทีเดียว แต่ข้าไม่แนะนำให้ทุกคนทำเช่นนั้น เพราะการใช้พลังปราณเพื่อประคองชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่กินแรงเกินไป เมื่อเทียบกับวิธีนี้ ข้าแนะนำให้เจ้ามีทักษะการสังเกตที่รอบคอบกว่านี้จะดีกว่า ที่ด้านซ้ายมือของเจ้ามีปุ่มที่เจ้าสามารถกดเพื่อหนีออกจากที่นั่นได้อยู่ แม้เจ้าจะหันหลังกลับไปกันก็เสียเวลาเปล่า เพราะเวลาที่เจ้าเผชิญหน้ากับศัตรูนั้น ไม่มีใครยอมเปิดโอกาสให้เจ้าหนีได้หรอก”
สายตาของตู๋ซูเฟิงจ้องมาที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ”รางวัลในครั้งนี้ทั้งหมดเป็นของเจ้า”
ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่ม เพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนที่ทำลายกำแพงหินอันนั้นลงนั่นเอง
หานอวี้กลับมามีเรี่ยวแรง เขารู้สึกสงสัย ”นี่ แม่นาง เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ากำแพงหินนั่นมันผิดปกติ”
“หากตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป และลองคิดแบบย้อนกลับดู เจ้าก็จะพบว่าการจะหันหลังกลับนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจเป็นไปได้ นี่คือการทดสอบ หากเจ้าเป็นคนที่คิดการทดสอบนี้ขึ้นมา เจ้าจะต้องขวางทางเข้าเอาไว้ด้วยแน่ ปกติแล้วในอุโมงค์ลับนี้ก็น่าจะมีกลไกอะไรอยู่เสมอ และวัสดุที่ใช้ติดตั้งกลไกพวกนั้นก็มักจะไม่ได้แข็งแรงมากนัก ดังนั้นพวกมันย่อมง่ายต่อการทำลายมากกว่าส่วนอื่นๆ แน่นอน” เฮ่อเหลียนอธิบายออกมาได้อย่างง่ายดาย แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถมีปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนอย่างที่นางทำได้
ตู๋ซูเฟิงมองนางด้วยความชื่นชม
ที่ปรึกษาคนนั้นกลับขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นยิ่งขึ้น…
———————-
[1] ประมาณ 15 นาที