บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 296 ถามบุตร
องค์หญิงจินเหยาคิดไม่ตกว่าผู้ใดเป็นกังวลต่อผู้ใด นางตัดสินใจว่าหลังจากไปเยี่ยมองค์ชายสาม ค่อยไปถามแม่ทัพหน้ากากเหล็กให้กระจ่าง
แต่หลังจากกลับไปถึงพระราชวัง นางหาแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่พบ แม้แต่องค์ชายสามก็ไม่ได้เจอ
“ไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อแล้ว?” องค์หญิงจินเหยาถามเหล่าขันที “ข้าไปด้วย”
นางก้าวเท้าเดินทางไปหาฮ่องเต้ แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกองครักษ์รั้งเอาไว้
“องค์หญิง ฝ่าบาทมีรับสั่งมิให้ผู้ใดเข้าใกล้พ่ะย่ะค่ะ” พวกเขาพูด
องค์หญิงจินเหยาไม่บุกรุกเข้าไป แต่ขอให้พวกเขาเข้าไปทูลเสด็จพ่อว่าตนเองมา บางทีเสด็จพ่ออาจให้เข้าเฝ้า
องครักษ์ส่ายหัว “องค์หญิงเชิญเสด็จกลับเถิด ฝ่าบาทมีรับสั่งไม่พบผู้ใดทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องอันใดกัน องค์หญิงจินเหยาฉงน อดเขย่งเท้ามองไปทางนั้นไม่ได้ ทันใดนั้นดวงตาของนางชะงัก ทางนั้นไม่ใช่ไม่มีผู้คนเดินไปมา หากแต่มีองครักษ์หลายคนลากคนผู้หนึ่งเข้าไปภายในพระตำนัก…
นางอยู่ห่างไกลจึงมองไม่เห็นหน้า แต่ดูจากรูปร่างและเครื่องแต่งกาย คนผู้นั้นคล้ายคลึงกับองค์ชายห้า
องค์ชายห้าก่อเรื่องอีกแล้วหรือ
ดูแล้วเรื่องที่ก่อขึ้นในครั้งนี้ไม่เล็ก ทำให้ฮ่องเต้ต้องปิดพระตำหนักเอาไว้
องค์ชายห้าถูกองครักษ์ผลักเข้าไป เขาตะโกนออกมา “อย่าผลักข้า ข้าเดินเองได้!”
เสียงของเขาทำลายความสงบภายในพระตำหนัก ภายในพระตำหนักที่เงียบสงบไม่ใช่ไม่มีคน นอกจากฮ่องเต้แล้ว ยังมีองค์รัชทายาทและองค์ชาย นอกจากนี้ยังมีโจวเสวียน แม่ทัพหน้ากากเหล็ก
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนขององค์ชายห้า ทุกคนล้วนมองมา
“บังอาจ!” องค์รัชทายาทเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพระราชทานฝ่ามือให้เขา “คุกเข่าลง!”
ถึงแม้องค์รัชทายาทจะเข้มงวดต่อพี่น้องอย่างมาก แต่จำกัดเพียงแค่กิริยาและความรู้ อย่างมากแค่ลงโทษให้คัดลอกหรือยืน ไม่เคยลงมือกับพวกเขา
เห็นได้ชัดว่าองค์รัชทายาทโกรธอย่างมาก
องค์ชายห้ายื่นมือจับหน้าเอาไว้ กัดฟันคุกเข่าลง ก้มกราบฮ่องเต้ “กระหม่อมมีความผิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์ สีหน้าเย็นชา เอ่ย “เจ้ามีความผิดอันใด”
องค์ชายห้าพูด “กระหม่อมไม่ได้รับพระราชานุญาตจากเสด็จพ่อ ติดตามโจวเสวียนออกไปด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
ทางโจวเสวียนก็คุกเข่าลง “กระหม่อมมีความผิด กระหม่อมให้องค์ชายห้าเดินทางไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถาม “โจวเสวียนได้รับคำสั่งจากข้า ฉู่มู่หยง เจ้าตามไปเพื่อสิ่งใด”
องค์ชายห้าพูด “กระหม่อมเบื่อหน่ายที่จะอยู่ในพระราชวัง ได้ยินคนบอกว่าพี่สามเก่งมากทุกวัน แคว้นฉีเป็นอย่างไร กระหม่อมสงสัย จึงอยากตามไปดู”
องค์รัชทายาทพูดอย่างโกรธเคือง “หากเจ้าบอกว่าเจ้าอยากไป เสด็จพ่อจะไม่อนุญาตหรือ”
องค์ชายห้าก็โกรธ “เสด็จพ่อจะอนุญาตหรือ เสด็จพ่อและเสด็จพี่ พวกท่านล้วนตำหนิว่าข้าไม่รักการเรียน ข้าต้องการทำสิ่งใด พวกท่านล้วนไม่อนุญาต ข้าบอกว่าข้าอยากไปดูแคว้นฉี อยากศึกษาการทรงงานของเสด็จพี่สาม พวกท่านจะยินยอมหรือ”
สีหน้าขององค์รัชทายาทเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “มู่หยง เพราะว่าพี่ทำได้ไม่มาก แต่ว่าเจ้าไม่อาจไม่บอกได้”
องค์ชายห้าทำหน้าบึ้ง “อย่างไรข้าก็ทำไปแล้ว จะลงโทษก็ลงโทษเถิด”
องค์รัชทายาททั้งเจ็บปวดทั้งโกรธทั้งโทษตัวเอง เขาหันไปคุกเข่าต่อฮ่องเต้ “ขอให้เสด็จพ่อลงโทษมู่หยงอย่างหนัก รวมทั้งกระหม่อมที่ละเลยการสั่งสอนพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสี่กำลังจะคุกเข่าลงด้านข้างด้วยความเคยชินแล้ว แต่ในขณะที่กำลังจะคุกเข่า เขาเห็นองค์ชายสองและองค์ชายสามล้วนยืนนิ่งไม่ขยับ จึงยืดตัวตรงขึ้นอย่างช้าๆ ถอยหลังไปอย่างเงียบๆ
ฮ่องเต้ตรัส “ไม่รีบ รอข้าถามเสร็จ ค่อยลงโทษ” เขามองไปทางโจวเสวียน “อาเสวียน ตอนที่องค์ชายสามเผชิญการลอบโจมตี เจ้าอยู่ที่ใด”
โจวเสวียนพูด “กระหม่อมนำทัพอยู่ห่างไกลออกไปร้อยลี้ องค์ชายสามมีการส่งข่าวกับกระหม่อมเนื่องจากอีกสองวันจะพบกันแล้ว กระหม่อมจึงหยุดกองทัพลง ตั้งค่าย รอกองทัพขององค์ชายสามเดินทางมาพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “โจวเสวียน ฝ่าบาทรับสั่งให้เจ้านำทัพคุ้มกันองค์ชายสาม ก่อนที่จะได้พบกับกองทัพขององค์ชายสาม นอกจากการพักผ่อนของกองทัพในยามจำเป็น ไม่อาจหยุดเดินทางตั้งค่ายได้ตามใจ ถึงแม้ตั้งค่าย ย่อมต้องแบ่งจำนวนคนเดินทางอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย เจ้าในฐานะแม่ทัพกลับทำเรื่องผิดพลาดใหญ่เช่นนี้ เจ้าทำให้ข้าผิดหวังอย่างมาก”
โจวเสวียนโน้มตัว “ข้ามีความผิด” ก่อนจะก้มกราบฮ่องเต้อีกครั้ง “กระหม่อมสมควรตาย”
ฮ่องเต้มองโจวเสวียนที่โน้มตัว เขาถอดชุดเกราะออกแล้ว บนตัวถูกมัดด้วยเชือก หลังจากที่ได้ข่าว แม่ทัพหน้ากากเหล็กออกคำสั่งให้ลงโทษเขาตามกฏทหาร
เสื้อผ้าสะเปะสะปะ บนหลังถูกเฆี่ยนตีจนแหลกละเอียด เผยให้เห็นรอยแผลที่สดใหม่ก่อนหน้านี้
“มัดก็มัด” ฮ่องเต้อดพูดไม่ได้ “เหตุใดจึงเฆี่ยนตีด้วย กลับมาค่อยลงโทษก็ไม่สาย”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮ่องเต้ องค์ชายห้าที่ก้มหน้าอยู่เบ้ปาก ดวงตาที่หยิ่งยโสเผยความผ่อนคลายเล็กน้อย
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “กระหม่อมลงโทษตามกฎทหาร หลังจากกลับมา ฝ่าบาทค่อยลงโทษตามกฎเมือง”
ฮ่องเต้ไม่ตรัสสิ่งใดอีก สายตามองไปยังองค์ชายสาม สีหน้าขององค์ชายสามซีดเซียวกว่าก่อนออกเดินทางอย่างมาก อีกทั้งยังผอมลง เวลานี้บนแขนเขาห่อไปด้วยผ้าพันแผล คนทั้งคนดูตัวเบา ราวกับสามารถล้มลงได้เมื่อถูกลมพัด…
“ซิวหยง เจ้านั่งลงเถิด” ฮ่องเต้ตรัส
องค์ชายสามขอบพระทัย ก่อนจะส่ายหัว “เสด็จพ่อ กระหม่อมไม่เป็นอันใด แผลบนแขนไม่หนัก กระหม่อมดูไม่ดีนักมิใช่เพราะร่างกาย หากแต่เพราะความเหน็ดเหนื่อยในระยะนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่บังคับ ตรัสเสียงเบา “ซิวหยง เมื่อเจ้ายังดีอยู่ เจ้าก็เป็นผู้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ถูกลอบโจมตีในวันนั้น”
องค์ชายสามตอบรับ “เวลานั้นออกห่างจากแคว้นฉีมาไกลมากแล้ว กระหม่อมได้รับตำแหน่งที่อาเสวียนส่งมา ระยะนี้ถือว่าอีกไม่ไกลก็จะพบกันแล้ว กระหม่อมจึงไม่รีบร้อนในการเดินทาง ตอนที่พักผ่อนในยามกลางคืน เดิมทีทุกสิ่งเป็นปกติ แต่ทันใดนั้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เกิดความโกลาหล มีคนบุกรุกค่าย อีกทั้งตอนที่เริ่มโจมตีนั้น โจรเหล่านั้นอยู่ในค่ายแล้ว”
การโจมตีนี้น่ากลัวที่สุด ทันใดนั้นภายในค่ายจึงวุ่นวาย โจรเหล่านั้นจึงอาศัยช่วงชุลมุนพุ่งตรงมายังที่พักของเขา
โชคดีที่เหล่าองครักษ์ป้องกันเอาไว้ได้ หลีกเลี่ยงโศกนาฏกรรม
ฮ่องเต้ถาม “เวลานั้นค่ายของเจ้ามีทหารกี่ราย”
องค์ชายสามพูด “สามร้อยนายพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถามอีกครั้ง “โจรมีกี่ราย”
องค์ชายสามพูด “ผู้ที่จู่โจมค่ายมีราวห้าสิบคน ด้านนอกยังมีกองกำลังสนับสนุนห้าสิบกว่าคน ตอนที่ค่ายใหญ่โกลาหล ด้านนอกค่ายก็ถูกล้อมเอาไว้ ราวกับต้องการผนึกกำลังทั้งในและนอกพ่ะย่ะค่ะ”
โจวเสวียนพูดขึ้นในเวลานี้ “ตอนที่ได้รับข่าว กระหม่อมนำกองกำลังไล่ล่า สังหารโจรราวยี่สิบกว่าราย ส่วนคนอื่นยังหาไม่พบพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถาม “ยังมีคนรอดอยู่หรือไม่”
องค์ชายสามส่ายหัว “คืนนั้นมีการลอบสังหารขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ละคนล้วนต่อสู้ด้วยชีวิต”
เวลานี้ไม่ทันได้สนใจเหลือคนรอดชีวิตเอาไว้
โจวเสวียนพูด “ตอนที่ไล่จับ โจรเหล่านั้นไม่ยอมจำนน คนที่จับได้ล้วนกลืนยาพิษปลิดชีพตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น มองผู้คนในตำหนัก “ได้ยินหรือไม่ โจรในเวลานี้ล้วนเป็นทหารหน่วยกล้าตายแล้ว”
องค์รัชทายาทพูดเสียงเบา “เสด็จพ่อ เห็นได้ชัดว่ามีคนจ้างวาน”
ฮ่องเต้มองไปยังคนอื่น “พวกเจ้าคิดอย่างไร”
องค์ชายสามพูด “โจรที่ลอบโจมตีไม่เพียงมีเจตนา อีกทั้งยังรู้พื้นที่ในค่ายอย่างดี พวกเขาสามารถหาตำแหน่งของกระหม่อมได้อย่างรวดเร็ว”
โจวเสวียนพูด “กระหม่อมสำรวจในภายหลัง โจรเหล่านี้ลอบเข้าไปในค่าย แต่ภายในค่ายมีการดูแลอย่างเข้มงวด พวกเขาสามารถลอบเข้าไปได้ เห็นได้ชัดว่ามีคนในให้การช่วยเหลือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “องค์ชายสามและท่านโหวโจวพูดมีเหตุผล ข้าสืบถามกับเหล่าทหารประจำแคว้นรอบด้าน พวกเขาต่างบอกว่าไม่เคยมีโจร”
องค์ชายสองรีบเดินขึ้นหน้า เอ่ย “กระหม่อมก็คิดว่าเป็นการเจตนาจ้างวาน ถึงแม้กระหม่อมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่…”
ฮ่องเต้พูดขัดเขา “เอาเถิด ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ก็ไม่ต้องพูดมาก”
องค์ชายสองตอบรับ
เมื่อเห็นเช่นนี้ องค์ชายสี่จึงพูดขึ้น “กระหม่อมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าต้องเอ่ยสิ่งใด”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ฮ่องเต้ที่ไม่ได้มองเขาหันไปมองเขาหนึ่งที ไม่ได้ตำหนิแต่ก็ไม่ได้ถามอีก สายตาจับจ้องไปยังองค์ชายห้า
องค์ชายห้าก้มหน้าคุกเข่าอยู่บนพื้น สีหน้าราวกับทุกคนติดหนี้เขา
ฮ่องเต้ถาม “เจ้าเล่า?”
องค์ชายห้าผงะเมื่อถูกถาม “กระหม่อมก็ต้องพูดหรือ” ก่อนจะหัวเราะ “เสด็จพ่อ พระองค์ยังต้องถามกระหม่อมหรือ”
องค์รัชทายาทตำหนิ “พูดดีๆ”
องค์ชายห้ายิ้ม พูดอย่างไม่ใส่ใจ “กระหม่อมรู้สึกว่าทุกคนล้วนพูดถูก”
ฮ่องเต้มองเขา “อย่างนั้นหรือ เจ้ามาดู คนเหล่านี้เจ้าจำได้หรือไม่”
พูดพลางโบกมือ
ม่านที่ทอดลงมาด้านข้างถูกเปิดขึ้น ชายห้าคนที่เสื้อผ้าขาดวิ่นสภาพอนาถคุกเข่าอยู่ด้านหลัง พวกเขาล้วนถูกมัดเอาไว้
“ฉู่มู่หยง เจ้าใช้เงินจ้างวานมากเพียงใด ข้าจ่ายสามเท่าให้พวกเขาเป็นพยาน” ฮ่องเต้พูด สีหน้าเย็นชา “เป็นพยานว่าเจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ไร้คุณธรรม จ้างวานลอบสังหารพี่สามของเจ้า!”
ภายในพระตำหนักดุจดั่งสายฟ้าฟาดลงมา ทำให้หูทั้งสองข้างอื้ออึง