บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 278 ตัวนำ
ค่ำคืนปกคลุมทั่วเมืองหลวง แสงไฟสว่างไสว
ภายในตำหนักขององค์ชายสามสว่างไสวเป็นพิเศษ เป็นความสว่างไสวที่ไม่เคยมีมาก่อน ภายในตำหนักมีเพียงฮ่องเต้ เหล่าหมอหลวงรวมทั้งพระสนมสวีที่เสด็จมาหลังจากทราบข่าว แต่สำหรับตำหนักที่เคยมีเพียงคนเดียวแล้ว ถือว่าคึกคักเป็นอย่างมาก
ภายนอกตำหนักยังมีคนเดินทางมาอย่างไม่ขาดสาย มีนางใน มีขันทีที่เหล่าเหนียงเหนียง องค์ชายและองค์หญิงส่งมาสืบข่าว แต่ไม่ว่าผู้ใดมาล้วนถูกขวางเอาไว้ด้านนอก
ดังนั้นสุดท้ายไม่รู้ว่าองค์ชายสามเป็นอย่างไร เป็นหรือตาย แต่มีคนได้ยินเสียงร้องไห้ของพระสนมสวีเล็ดลอดออกมาจากภายในพระตำหนัก
คงไม่ไหวแล้วกระมัง มิฉะนั้นเวลาสำคัญที่จะใช้กองกำลังกับท่านอ๋องฉี ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีหมู่บ้านซ่างเหอขององค์รัชทายาท ฮ่องเต้ยังไม่ทันได้สนใจ เฝ้าดูองค์ชายสามอยู่ตลอด
พระสนมสวีภายในห้องนั่งปิดหน้าร่ำไห้ องค์ชายสามระอาเล็กน้อย
“เสด็จแม่ อย่าร้องไห้อีกเลย” เขาพูด เดินเข้าไปยื่นมือลูบไหล่ของนางแผ่วเบา “กระหม่อมไม่เป็นอันใดแล้ว เสด็จแม่ดู กระหม่อมลงมาเดินได้แล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา พระสนมสวีร้องไห้หนักขึ้น นางเอนตัวพิงฮ่องเต้ราวกับนั่งไม่ไหว
ฮ่องเต้ยื่นมือตบไหล่ของนาง ตรัสกับองค์ชายสาม “เสด็จแม่ของเจ้าร่ำไห้เพราะว่าเจ้าหายดีแล้ว นางดีใจ” พูดถึงตรงนี้ ภายในดวงตาของเขาก็มีน้ำตา “ข้าก็อยากร้องไห้ สิบกว่าปีแล้ว”
องค์ชายสามคุกเข่าลง ก้มกราบพวกเขาทั้งสอง “กระหม่อมทำให้พวกพระองค์ลำบากแล้ว ป่วยที่ตัวกระหม่อม เจ็บที่ใจของบิดามารดา สิบกว่าปีนี้ เสด็จพ่อ เสด็จแม่เหน็ดเหนื่อยแล้ว”
พระสนมสวีร่ำไห้ซบไหล่ของฮ่องเต้ น้ำตาของฮ่องเต้หลั่งไหลลงมา ยื่นมือประคอง “รีบลุกขึ้น รีบลุกขึ้น”
องค์ชายสามลุกขึ้น ทั้งสามคนมองหน้ากัน
ฮ่องเต้มองพระสนมสวีผู้เป็นที่รักข้างกาย บุตรผู้เป็นที่รักตรงหน้า รู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย เขาฝันไปหรือไม่ ก่อนจะหันไปเรียกหมอหลวง
“พิษที่เหลืออยู่ถูกขับออกมาแล้วจริงหรือ” ฮ่องเต้ถาม “เจ้าอย่าหลอกข้า”
หมอหลวงจางพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องของการรักษาและยา ไม่อาจหลอกลวงได้พ่ะย่ะค่ะ” ก่อนจะอธิบายต่อฮ่องเต้อย่างละเอียด พิษที่เหลือขององค์ชายสามไม่อาจขจัดได้เสียที เพราะว่าพิษเหล่านั้นไหลเวียนไปทั่วร่างกาย หลอมรวมไปในเลือดเนื้อ แต่เวลานี้ไม่รู้เกิดอันใดขึ้น พิษที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนรวมตัวอยู่ตำแหน่งหนึ่ง จากนั้นถูกองค์ชายสามขับออกมา
“แน่นอนว่าในร่างกายยังมีพิษค้างอยู่ เพราะว่าองค์ชายสามใช้พิษต้านพิษเป็นเวลาหลายปี” หมอหลวงจางพูด “แต่ส่วนที่อันตรายที่สุดถูกกำจัดแล้ว ส่วนที่เหลือย่อมง่าย อย่างน้อยไม่ต้องใช้พิษต้านพิษแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมสวีฟังจบ พูดพลางร้องไห้ “เขาสามารถแต่งงานมีบุตรได้หรือไม่”
เดิมทีร่างกายขององค์ชายสามมีแต่พิษ ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องทายาทแม้แต่น้อย
ไม่คิดว่าพระสนมสวีจะถามเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก องค์ชายสามหัวเราะ
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงจางก็หัวเราะ “เหนียงเหนียงวางใจ ปีนี้ปรับร่างกายอีกหนึ่งปี ปีหน้าเหนียงเหนียงย่อมมีหลานแล้ว”
พระสนมสวีหัวเราะออกมา ฮ่องเต้มองนาง ก่อนจะยิ้มตาม ยื่นมือเช็ดน้ำตาให้นาง “หลายปีแล้ว เจ้ายอมยิ้มต่อหน้าข้าเสียที เหตุใดจึงเป็นห่วงแค่เรื่องมีหลาน”
“หม่อมฉันไม่อยากให้ซิวหยงต้องโดดเดี่ยวจนตาย” พระสนมสวีพูด มองฮ่องเต้พร้อมร่ำไห้ ก่อนจะลุกขึ้นคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ก้มหัวลง “หม่อมฉันมีโทษ ทำให้ฝ่าบาทต้องเจ็บปวดใจมาหลายปี”
นางคุกเข่าลง องค์ชายสามจึงรีบคุกเข่าตาม ฮ่องเต้ทั้งโกรธทั้งขบขัน “รีบลุกขึ้น ซิวหยงเพิ่งหายดี เจ้าพาเขาคุกเข่าไปคุกเข่ามาอีก”
พระสนมสวียืนขึ้นตามรับสั่ง องค์ชายสามลุกขึ้นตาม
ภายในพระตำหนักบรรยากาศกลมเกลียว ฮ่องเต้ตระหนักถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ “รักษาหายได้อย่างไร”
ใช่ หลายปีมานี้ หมอหลวง หมอเทวดามากมายล้วนไม่มีทางรักษา ทุกคนต่างยอมรับว่าเป็นโรคที่ไม่อาจรักษาได้แล้ว
องค์ชายสามพูด “เสด็จพ่อยังจำสาวรับใช้ที่องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีมอบให้กระหม่อมได้หรือไม่”
ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่จดจำสาวรับใช้ประเภทนี้เอาไว้ในใจ แต่เนื่องจากการปรากฏตัวของสาวรับใช้นี้ช่วยองค์ชายสามเอาไว้ ดังนั้นจึงยังพอมีความทรงจำ ฮ่องเต้พยักหน้า
องค์ชายสามพูด “นางตามกระหม่อมกลับวัง เสด็จพ่อให้นางอยู่ดูแลกระหม่อม นางดูอาการของกระหม่อม นางบอกว่านางรักษาได้ นางมียาที่ได้รับการถ่ายทอดจากตระกูล”
หญิงสาวเมืองฉีผู้นั้น สีหน้าของฮ่องเต้ตกตะลึง เขาจำได้แล้ว มีขันทีเคยทูลถึงเรื่องนี้ บอกว่าหญิงสาวเมืองฉีบอกว่าสามารถรักษาองค์ชายสามได้ ฮ่องเต้ย่อมไม่เชื่อ คำพูดเช่นนี้เฉินตันจูก็เคยพูด แต่นางก็แค่เหลวไหล หญิงสาวเมืองฉีผู้ได้รับมาจากการถวายขององค์รัชทายาทท่านอ๋องฉี แต่ก็เพียงแค่ประจบองค์ชายสาม…
ไม่คิดว่าจะรักษาได้จริง!
“คนเล่า” ฮ่องเต้ถาม มองไปซ้ายขวา
ทุกคนถึงได้พบว่า วุ่นวายเป็นเวลานาน หญิงสาวเมืองฉีผู้ที่อยู่ข้างกายองค์ชายสามอยู่เสมอไม่ได้ปรากฏตัว
เสี่ยวชวีรีบอธิบาย เขาบอกว่าเพื่อต้มยาชุดสุดท้ายให้องค์ชายสาม หนิงหนิงเหน็ดเหนื่อยอย่างมากจึงไปพักผ่อน
แต่เวลานี้ฮ่องเต้เรียกพบ เหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ต้องมา เสี่ยวชวีให้ขันทีไปเรียกคน ไม่นานนัก ขันทีก็พาคนเดินทางมา
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวผู้นั้นถูกปลุกขึ้นมา เสื้อผ้าและผมเผ้ากระเจิงเล็กน้อย นางก้มหน้า เดินกระเผลก…
“เอ๊ะ?” เสี่ยวชวีรีบถาม “เป็นอันใด”
หญิงสาวเมืองฉีก้มหน้าพูดเสียงสั่น “ข้าตื่นนอนเร่งรีบเกินไป จึงล้ม”
ขันทีที่เรียกนางมาเป็นพยาน ยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง “ได้ยินฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าจึงตื่นตระหนก”
หญิงสาวเมืองฉีคุกเข่าลง ร่างเล็กสั่นเทาอยู่บนพื้น แม้แต่คำพูดก็ตะกุกตะกัก “หม่อมฉัน คารวะฝ่าบาท เหนียงเหนียงเพคะ”
สาวรับใช้นี้กลัวอันใด ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้ อืม สาวรับใช้นี้ถูกท่านอ๋องฉีส่งมา เวลานี้คดีหมู่บ้านซ่างเหอเป็นฝีมือของท่านอ๋องฉี ราชสำนักจะใช้กองกำลังต่อท่านอ๋องฉี นางในฐานะคนของท่านอ๋องฉี เกรงกลัวก็เป็นเรื่องธรรมดา
“ไม่ต้องกลัว” ฮ่องเต้พูดอย่างเป็นมิตร “เจ้ารักษาองค์ชายสามให้หายดี เป็นคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่ ข้าจะพระราชทานรางวัลให้เจ้า”
องค์ชายสามพูดอยู่ด้านข้าง “หนิงหนิง อย่ากลัว”
ราวกับสบายใจเมื่อได้ยินเสียงของเขา หนิงหนิงเงยหน้ามององค์ชายสามอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มขอบพระทัย
หญิงสาวผู้นี้ตกใจไม่น้อย อ่อนแอน่าทะนุถนอม อีกทั้งฮ่องเต้สามารถเห็นเหงื่อบนปลายจมูกของนาง นางกลัวจริง ไม่เหมือนเฉินตันจู…ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจภายในใจ แต่ละวันพูดจาเหลวไหล หลอกลวงผู้คน เสแสร้งท่าทาง
ฮ่องเต้ถามด้วยความสงสัย “ข้าเคยได้ยินว่าตระกูลหนิงเป็นตระกูลชนชั้นสูงในซิ่งหลินของเมืองฉี ฝีมือการรักษาของเจ้าก็เก่งกาจมากหรือ”
หนิงหนิงก้มหน้าส่ายหัว “มิใช่เพคะ ฝีมือของหม่อมฉันธรรมดา เพียงแต่มีสูตรลับจากตระกูล สามารถรักษาอาการขององค์ชายสามได้พอดีเพคะ”
ฮ่องเต้ยิ่งสงสัย ถาม “สูตรลับอันใด”
ร่างกายของหนิงหนิงสั่นเทา ไม่พูด ราวกับลำบากใจเล็กน้อย
ฮ่องเต้กระจ่าง มีสูตรลับของบางตระกูลเข้มงวดอย่างมาก ไม่อาจบอกคนภายนอกได้ เขายิ้ม “เจ้าวางใจ ข้าไม่นำสูตรลับของตระกูลเจ้าไปใช้ ที่นี่ก็ไม่มีคนอื่น” เขามองไปรอบด้าน ส่งสัญญาณให้ขันทีและหมอหลวง โดยเฉพาะหมอหลวงจาง “พวกเจ้าถอยหลัง ถอยหลัง อย่าแอบฟัง”
ขันทีจิ้นจงพาคนอื่นถอยหลังไปด้วยรอยยิ้ม หมอหลวงจางก็หลบไปด้วยรอยยิ้ม
“เอาเถิด เวลานี้บอกข้าได้แล้วหรือไม่” ฮ่องเต้ถาม
หนิงหนิงตอบรับ ก่อนจะพูดชื่อยาออกมา “ใช้ต่อเนื่องห้าชุดก็สามารถขจัดพิษได้เพคะ”
ฮ่องเต้พอจะรู้เรื่องยาบ้าง จึงพูดต่อพระสนมสวี “ฟังดูแล้วไม่มีสิ่งใดพิเศษ” ก่อนจะพูด “เจ้ามีสิ่งใดซ่อนเอาไว้อีกหรือไม่”
เดิมทีเขาแค่หยอกเล่น แต่พบว่าสีหน้าของหนิงหนิงซีดมากยิ่งขึ้น เงยหน้าด้วยความสั่นเทา “ฝ่าบาท ยาไม่มีสิ่งใดพิเศษเพคะ เพียงแต่มีตัวนำหนึ่ง…”
เอ๊ะ มีซ่อนเอาไว้จริงหรือ
พระสนมสวีพูดขึ้น “เจ้าเด็กคนนี้ รีบพูดเถิด ฝ่าบาทไม่แย่งชิงสูตรลับตระกูลเจ้าหรอก”
หนิงหนิงหลุบตาต่ำ “ตัวนำยา คือ เนื้อคนเพคะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง คนทั้งสามตรงหน้าผงะไป ฮ่องเต้เหลือเชื่อเล็กน้อย คิดว่าตนเองได้ยินผิด “อันใด”
พระสนมสวีปิดปาก…
“ขอฝ่าบาทโปรดอภัยโทษด้วยเพคะ” หนิงหนิงพูดเสียงสั่น ร่างกายสั่นเทาจนราวกับคุกเข่าไม่อยู่ “สูตรลับนี้ผิดหนทางอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่อาจบอกผู้อื่นได้”
สีหน้าของฮ่องเต้แปรเปลี่ยนไป “เช่นนั้น เนื้อคนจากที่ใด”
ทันทีที่สิ้นเสียง ก็เห็นองค์ชายสามเดินขึ้นหน้าจับหนิงหนิงเอาไว้ หนิงหนิงตัวเอนล้มลงไปด้านข้าง องค์ชายสามยื่นมือเปิดกระโปรงของนาง…
พระสนมสวีลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ปิดปากส่งเสียงร้องออกมา
กางเกงภายใต้กระโปรงของหนิงหนิงเต็มไปด้วยเลือด บริเวณต้นขาพันไปด้วยผ้าขาว แต่เลือดยังคงซึมออกมาไม่หยุด
“เจ้า” องค์ชายสามมองหญิงสาวที่ใบหน้าไร้สีเลือดกึ่งนั่งอยู่บนพื้น “ใช้เนื้อของเจ้า?”
หญิงสาวใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเต็มใบหน้าไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป นางมององค์ชายสาม อ้าปากจะเอ่ยบางสิ่ง ก่อนจะหลับตาเป็นลมไป
องค์ชายสามยื่นมือรับนางเอาไว้ได้ทันเวลา ไม่ได้ให้นางล้มลงกับพื้น