บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 250 แสงแห่งฤดูไม้ใบผลิ
งานเลี้ยงของโจวเสวียนทำให้เมืองหลวงมีชีวิตชีวา เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิล่วงหน้า หญิงสาวชายหนุ่มเกาะกลุ่มกันอยู่บนท้องถนน ร้านเครื่องประดับ ร้านตัดเสื้อผ้าเต็มไปด้วยผู้คน
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีตระกูลขุนนางบางตระกูลเคยจัดงานเลี้ยง อาทิ งานเลี้ยงของตระกูลฉางที่มีองค์หญิงจินเหยาและเฉินตันจูเข้าร่วม ครานั้นโจวเสวียนก็ไปด้วย แต่ไม่อาจเทียบได้กับครานี้ คราก่อนเป็นเพียงงานเลี้ยงของเหล่าคุณหนู แต่ครานี้งานเลี้ยงมีชายหนุ่มเป็นหลัก
ครานี้ตระกูลฉางก็ได้รับบัตรเชิญ ทำให้ตระกูลฉางปลื้มปิติเป็นอย่างมาก แสดงให้เห็นถึงเหล่าชายหนุ่มในตระกูลฉางมีโอกาสสานสัมพันธ์กับตระกูลชนชั้นสูงในเมืองหลวง
แน่น่อน หลิวเวยที่ไม่ถือว่าเป็นชนชั้นสูงในเดิมทีก็ได้รับบัตรเชิญ ถึงแม้จะเป็นตระกูลสามัญชนขนาดเล็ก แต่หลิวเวยมีพี่ชายที่ได้รับมอบหมายราชกิจจากฮ่องเต้ มีสหายที่เหิมเกริมอย่างเฉินตันจู อีกทั้งยังรู้จักกับองค์หญิงจินเหยา เวลานี้คุณหนูตระกูลหลิวผู้เป็นสามัญชนก็มีฐานะไม่ต่ำต้อยไปกว่าหญิงสาวชนชั้นสูงตระกูลใด
ท่านยายยังมารับหลิวเวยไปเป็นการเฉพาะ ตัดเย็บเสื้อผ้าใหม่ให้ด้วยตนเอง หลิวเวยเดินทางไปอารามดอกท้อ เลือกสรรเครื่องแต่งกายร่วมกับเฉินตันจู เดิมทีเฉินตันจูที่ไม่ใส่ใจในการแต่งกาย ถูกนางและอาเถียนทำให้เกิดความสนใจ คิดค้นทรงผมสองแบบออกมา อีกทั้งยังวาดลงมาส่งไปให้หลี่เหลียนและองค์หญิงจินเหยา
เหล่าองค์ชายและองค์หญิงในพระราชวังไม่สนใจเรื่องสานสัมพันธ์นัก แต่เนื่องจากความขัดแย้งของฮ่องเต้และฮองเฮาในระยะนี้ ระหว่างเหล่าองค์ชายมีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ บรรยากาศตึงเครียด ทุกคนต่างต้องการออกจากพระราชวังไปผ่อนคลาย
องค์หญิงจินเหยาและองค์หญิงอายุน้อยสองคนต่างวุ่นวายกับการแต่งกาย เหล่านางในต่างวิ่งไปวิ่งมาทางพระสนมเสียน อยากจะตามออกไปเที่ยวเล่นด้วย
ในเวลาหนึ่ง หญิงสาวในวัยงดงามเดินขวักไขว่ดุจดั่งนกนางแอ่นภายในพระราชวังที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน เมื่อฮ่องเต้ที่ยืนอยู่บนหอสูงมองเห็น ใบหน้าที่ดำทะมึนมาหลายวันก็ผ่อนคลายลง หนุ่มสาวในฤดูใบไม้ผลิมักทำให้ผู้เห็นมีความสุข
แต่ตำหนักหนึ่งภายในพระราชวัง แสงในฤดูใบไม้ผลิปรากฏขึ้นด้านนอกพระตำหนักนั้นถูกประตูที่ปิดแน่นขวางกั้นเอาไว้ด้านนอก
หวังเจียนเดินเข้าไปในพระตำหนัก โบกมือกระแอมไอสองครั้ง “สภาพอากาศที่ดีเช่นนี้ ท่านเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อเล่นไม้?”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กนั่งขัดสมาธิอยู่ริมหน้าต่าง บนโต๊ะวางเต็มไปด้วยกองไม้ ชิ้นหนึ่งถูกขัดอยู่บนหัวเข่า เศษไม้กระจายลงบนชุดสีเทา เมื่อไม่สวมเกราะเหล็ก เขาดูไม่เหมือนแม่ทัพ กลับเหมือนช่างไม้ชราคนหนึ่ง
“บุตรสาวของท่านให้จู๋หลินมาถามว่าท่านจะเข้าร่วมงานเลี้ยงหรือไม่” หวังเจียนยื่นมือเปิดหน้าต่างออก สัมผัสลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดเข้ามา เอ่ยหยอกล้อ “ข้าแนะนำให้ท่านไป จะได้ปกป้องบุตรสาวของท่าน”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กใช้มีดแกะสลักลงบนไม้อย่างตั้งใจ ไม่มองทิวทัศน์ด้านนอกแม้แต่น้อย เพียงแค่พูดขึ้น “ข้านั่งอยู่ตรงนี้ก็สามารถปกป้องนางได้ ไม่ต้องไปด้วยตนเอง”
หวังเจียนหัวเราะร่า ท่ามกลางสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิก็มีเสียงหัวเราะของหญิงสาวดังแว่วมา เขามองไปตามเสียง เห็นนางในหลายคนที่ห่างออกไปไม่ไกลกำลังหยอกล้อกันเดินผ่านไป ราวกับเพียงชั่วพริบตา เครื่องแต่งกายอันหนาในฤดูหนาวล้วนเปลี่ยนเป็นชุดที่สดใสในฤดูใบไม้ผลิ
“เป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่มาก” เขาลูบคลำหนวดเครา “ได้ยินว่าตั้งแต่กลางวันถึงกลางคืน กลางวันมีขี่ม้า ยิงธนู การเล่นต่อสู้ กลางคืนมีโคมไฟและพลุ ข้าจำได้ว่าตอนที่ข้ายังหนุ่มมักจะเข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ จนกระทั่งเช้าตรู่ถึงได้จากไปพร้อมความมึนเมา ช่างสนุกเสียจริง”
เขาหันไปมองแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ยังคงแกะสลักไม้อย่างตั้งใจ ถามด้วยรอยยิ้มมีนัย “ท่านแม่ทัพเคยไปหรือไม่”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ข้าไม่ชอบงานสังสรรค์เช่นนี้”
หวังเจียนอยากจะพูดหยอกล้อ แต่ก็รู้สึกพูดไม่ออก เขาก้มหน้ามองชายชราผมขาว…ผู้ใดไม่เคยเป็นหนุ่มมาก่อน คนเรามีวัยหนุ่มเพียงครั้งเดียว สลายหายไปอย่างง่ายดาย
“ท่านแม่ทัพ หรือไม่พวกเราก็ไปเถิด” เขาอดเสนอแนะไม่ได้ “ท่านโหวโจวเป็นคนหนุ่ม แต่ผู้ใดบอกว่าคนชราไปไม่ได้”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่ายหัว “เสียงดังเกินไป ข้าอายุมากแล้ว ชอบแต่ความสงบ”
หวังเจียนขุ่นเคืองเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อ “ข้าอายุน้อยกว่าท่าน ท่านไม่ไป ข้าไปเอง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดอยู่ด้านหลัง “ปิดประตูลงเสีย ลมในฤดูใบไม้ผลิเย็นยะเยือก ขาของข้ารับไม่ได้”
หวังเจียนบ่นอยู่สองคำ ก่อนจะเดินไปยังริมประตู อดถามไม่ได้ “อาการบาดเจ็บที่ขากำเริบอีกแล้วหรือ ใช้ยาเสียหน่อยเถิด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ ก่อนจะหัวเราะเมื่อครุ่นคิดบางสิ่งได้ “ยาที่คุณหนูตันจูส่งมาก็มียาสำหรับรักษาอาการปวดอยู่ สมกับเป็นบุตรสาวของท่านแม่ทัพ รู้ว่าบนตัวของแม่ทัพมักมีอาการบาดเจ็บอย่างไร”
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ ก่อนจะปิดประตูลง “ท่านใช้ยาของบุตรสาวท่านไปเถิด ข้าไม่สนแล้ว” ก่อนจะเดินออกไปด้วยความขุ่นเคือง ประตูปิดลงแต่หน้าต่างไม่ได้ปิด เขาเดินออกไปหลายก้าว ก่อนจะหันหน้ากลับมา เห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กนั่งก้มหน้าแกะสลักไม้อย่างตั้งใจอยู่ที่ริมหน้าต่างต่อ…
สำหรับคนชรา คงมีเพียงสิ่งนี้ที่เล่นได้แล้วกระมัง แสงในฤดูใบไม้ผลิ ความอ่อนเยาว์ ความงดงามของชายหนุ่ม ความงดงามของหญิงสาว ล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาแล้ว
ร่างของหวังเจียนหายลับไปริมหน้าต่าง แม่ทัพหน้ากากเหล็กแกะสลักชิ้นสุดท้ายเสร็จสิ้น เขาวางมันลงอย่างพึงพอใจ สะบัดชิ้นไม้เล็กน้อย ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ บนโต๊ะวางเรียงรายไปด้วยชิ้นไม้แบบเดียวกันสิบกว่าชิ้น เขาพินิจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้แขนเสื้อใหญ่กวาดพื้นที่หนึ่งออก วางกระดาษลงไป หยิบหินหมึกมา นำไม้ชิ้นหนึ่งจุ่มลงไปในหมึก ก่อนจะกดลงบนกระดาษ จากนั้นหยิบขึ้นมา บนกระดาษมีภาพของคนเพิ่มขึ้น
คนในภาพนั้นมีความเสมือนจริง แบกคันธนู ราวกับกำลังควบม้าอยู่
แม่ทัพหน้ากากเหล็กนำไม้ชิ้นอื่นหยิบขึ้นมาจุ่มหมึกและประทับลงบนกระดาษ บนกระดาษปรากฏร่างคนจำนวนมากขึ้น มีคนถือไฟ มีคนรำดาบ มีคนเป่าปี่ มีคนตีกลอง มีคนดื่มสุรา มีคนเล่นหมาก มีคนจับมือหัวเราะ…
ลมในฤดูใบไม้ผลิพัดเข้ามา กระทบกับกระดาษ คนบนกระดาษราวกับมีชีวิตขึ้นมา พวกเขาต่างเที่ยวเล่น หัวเราะอย่างตามใจ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผมขาวของเขา ชุดสีเทาของเขา เขานั่งขัดสมาธิ เท้าคาง มองดูอย่างเงียบสงบ
อาเถียนกระโดดลงจากรถม้า เงยหน้ามองด้านบน ข้ามผ่านกำแพงสูงของจวนโหว มองเข้าไปยังหอหกเหลี่ยมที่จัดตั้งอยู่ด้านใน
“คุณหนูรีบดูเจ้าค่ะ” นางชี้นิ้วอย่างดีใจ “ยังมีชิงช้าด้วยเจ้าค่ะ”
เฉินตันจูและหลิวเวยนั่งรถคันเดียวกัน เวลานี้ทั้งสองคนลงจากรถ ต่างเงยหน้ามองไป พบว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินทางมาถึงแล้ว เหล่าหญิงสาวกำลังโหนชิงช้า เสียงหัวเราะลอยออกมาจากกำแพงสูง
เสียงหัวเราะสามารถถ่ายทอดได้ เฉินตันจูและหลิวเวยต่างมองหน้ากันด้วยรอยยิ้ม
“พวกเราไปเล่นด้วยกันเถิด” หลิวเวยพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉินตันจูพยักหน้า ทั้งสองคนจับมือกันเดินเข้าประตู ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าและเสียงเกือกม้าที่พร้อมเพรียงดังขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีผู้ที่มีฐานะสูงส่งเดินทางมา เฉินตันจูยังไม่ทันหันกลับไป ก็ได้ยินเสียงคนเรียก “ตันจู!”
นางและหลิวเวยหันกลับไป เห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งเข้ามาภายในการอารักขาขององครักษ์ องค์หญิงจินเหยากำลังเปิดม่านโบกมือทักทายนาง
เฉินตันจูและหลิวเวยรีบหันกลับมาต้อนรับ ม่านของรถอีกคันก็ถูกเปิดขึ้น ชายหนุ่มที่งดงามยิ้มให้นาง
ใบหน้าของเฉินตันจูเผยรอยยิ้มทันที “องค์ชายสาม”
องค์ชายสามและองค์หญิงจินเหยาลงจากรถ เดินมาถึงตรงหน้าของเฉินตันจูภายใต้การห้อมล้อมของเหล่าขันทีและนางใน ในขณะที่กำลังจะพูด ภายในจวนโหวมีการเคลื่อนไหว มีคนหนึ่งเดินออกมาอย่างรวดเร็ว รูปร่างของเขาสูงใหญ่ สวมชุดสีดำปักด้ายทอง ด้ายทองนั้นปักเป็นรูปเสือร้ายจากบริเวณหัวไหล่มาจนถึงหน้าอก โดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางหมู่คนมากมาย
“องค์ชายสาม” โจวเสวียนเรียก “จินเหยา”
แต่ไม่มองเฉินตันจู
กวนเน่ยโหวออกมาต้อนรับด้วยตนเอง องค์ชายสามและองค์หญิงจินเหยาทำได้เพียงออกจากเฉินตันจู พบกับโจวเสวียนก่อน
“เชิญเข้าไปด้านใน” โจวเสวียนทำท่าเชิญ “องค์ชายสอง และองค์ชายห้าล้วนเสด็จมาถึงแล้ว ข้าคิดว่าท่านไม่มาเสียอีก”
ไม่ใช่องค์ชายทุกองค์ที่เสด็จมา องค์รัชทายาทเนื่องจากต้องทรงงานหนัก จึงให้พระชายาพาโอรสมาเข้าร่วมงานเลี้ยง เหล่าองค์ชายต่างคุ้นชิน พี่ใหญ่แตกต่างจากพวกเขา เพียงแต่เวลานี้มีคนที่แตกต่างจากพวกเขาเพิ่มขึ้นอีกคน องค์ชายสามก็กำลังวุ่นวายกับรับสั่งที่ได้รับมอบหมายจากฮ่องเต้
องค์ชายสามยิ้ม “ร่างกายข้าไม่ดีนัก ยังต้องพักผ่อนให้มาก ดังนั้นจึงมาผ่อนคลายในจวนของอาเสวียน”
โจวเสวียนตบไหล่เขา “ถูกแล้ว ชีวิตของคนสั้นนัก เหนื่อยไปเพื่อสิ่งใด”
พูดพลางจับมือของเขาเดินเข้าประตูไป องค์หญิงจินเหยาเดินตามอยู่ด้านข้าง นางในและขันทีเดินตามอยู่ด้านหลัง ทิ้งเฉินตันจูและหลิวเวยเอาไว้
เฉินตันจูไม่สนใจนัก จับมือของหลิวเวยเดินเข้าไป หลังจากที่พวกเขาผ่านไปแล้ว ในขณะที่กำลังก้าวเท้าขึ้นบันได โจวเสวียนที่อยู่ด้านหน้าหันหลังกลับมา ใช้หางตามององค์ชายสาม เลิกคิ้วพร้อมยิ้มอย่างได้ใจต่อนาง
ได้ใจที่ขัดขวางนางไม่ให้นางพูดคุยกับองค์ชายสามหรือ ไร้สาระ เฉินตันจูเบะปากให้เขา