บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 240 ขุนนางชรา
ภายในตำหนักโกลาหลอย่างมาก
ฮ่องเต้ไม่อาจแสร้งทำมึนงงหลบหลีกได้แล้ว เขายืนขึ้นมาเอ่ยปากห้าม องค์รัชทายาทถือหมวกมาสวมใส่ให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กด้วยตนเอง
โจวเสวียนเบียดขึ้นมาด้านหน้า พูดถาโถมยั่วยุมากขึ้น “ไม่คิดว่าเพิ่งปราบปรามเมืองโจวและเมืองฉีได้ ท่านแม่ทัพเพิ่งนำทัพกลับมาก็จะปลดเกราะกลับแปลงนา สิ่งนี้ไม่ใช่ความต้องการของฝ่าบาท”
คำพูดของแม่ทัพที่เป็นบัณฑิตมาก่อนร้ายกาจยิ่งนัก แม่ทัพท่านอื่นได้ยิน จึงเกิดความเศร้าโศกและโกรธเคืองยิ่งกว่าเดิมขึ้นทันที พวกเขาต่างทุบอกกระทืบเท้า มีบางคนตะโกนขึ้นมาว่าท่านแม่ทัพทุ่มเทให้ต้าเซี่ยอย่างเหน็ดเหนื่อยมาหกสิบปี มีบางคนตะโกนว่าเวลานี้แผ่นดินสงบสุข ท่านแม่ทัพควรพักผ่อนได้แล้ว หากท่านแม่ทัพจะไป พวกเขาก็จะติดตามไปด้วย
เวลานี้เหล่าขุนนางไม่กล้าพูดสิ่งใดอีก ฟังเสียงโหวกเหวกจนมึนหัว
“เงียบเสีย” ฮ่องเต้พูดด้วยความโกรธ “วันนี้เป็นวันดีในการต้อนรับท่านแม่ทัพ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดอีก!”
เหล่าขุนนางที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ต่างรู้ว่าไม่อาจพูดต่อไปได้อีก แม่ทัพหน้ากากเหล็กนำทัพมากว่าหกสิบปี ต้าเซี่ยมีวันนี้ได้ ล้วนเป็นคุณงามความดีของเขา หลายปีนี้ไม่ว่าเรื่องลำบากมากเพียงใด ไม่ได้รับความเป็นธรรมมากเพียงใด เขาไม่เคยพูดว่าจะปลดเกราะกลับแปลงนา วันนี้เพิ่งกลับมา เขากลับพูดเรื่องนี้ออกมาทั้งที่ปราบปรามเหล่าท่านอ๋องสมดังปรารถนาของฮ่องเต้ แสดงว่าเขาโกรธขึ้นมาอย่างแท้จริง เขาต้องการยกดาบขึ้นมาปะทะให้ตายกันไปข้าง…
เสียสติไปแล้ว!
ไม่อาจเกิดการปะทะกับคนเสียสติได้
เหล่าขุนนางต่างพูด “ท่านแม่ทัพ พวกกระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนี้”
“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วโกรธพ่ะย่ะค่ะ” ก่อนจะถอยหลังไป
“ท่านแม่ทัพ” ฮ่องเต้ทั้งระอาทั้งปวดใจ “ท่านกำลังโทษข้าหรือ จิ่นหยงพูดแล้ว มีเรื่องใดค่อยๆ พูด”
องค์รัชทายาทฉู่จิ่นหยงยกหมวกขึ้น คำนับต่อแม่ทัพหน้ากากเหล็ก “ล้วนเป็นความผิดของจิ่นหยง ไม่ควรพูดเรื่องนี้ในวันนี้ ขอให้ท่านแม่ทัพให้อภัยจิ่นหยงด้วย”
ฮ่องเต้และแม่ทัพหน้ากากเหล็กจับมือร่วมแรงร่วมใจมาหลายสิบปี แม่ทัพหน้ากากเหล็กอายุมากที่สุด ฮ่องเต้ปฏิบัติต่อเขาดุจดั่งพี่ชาย องค์รัชทายาทคำนับเขาดุจดั่งคนอายุน้อยกว่าก็ไม่ผิด
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมององค์รัชทายาท “องค์รัชทายาทพูดผิดแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่เวลาในการพูด หากแต่เมื่อจำเป็นต้องพูด องค์รัชทายาทเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป เป็นจักพรรดิในอนาคตของต้าเซี่ย ต้องแบกรับรากฐานของต้าเซี่ย หรือว่าองค์รัชทายาทต้องการให้กลุ่มคนเช่นนั้นประคองรากฐานของต้าเซี่ย”
องค์รัชทายาทถูกตำหนิต่อหน้าทุกคน ใบหน้าของเขาแดงก่ำ
เมื่อเห็นองค์รัชทายาทอับอายเช่นนี้ ฮ่องเต้ทนดูไม่ได้ เขาถอนหายใจอย่างระอา “ท่านแม่ทัพอวี๋ ท่านอย่าได้อารมณ์เสียไปเลย องค์รัชทายาทอธิบายให้ท่านฟังด้วยเจตนาดี เหตุใดท่านจึงรีบร้อน คำพูดที่จะปลดเกราะกลับแปลงนาเช่นนี้ ท่านพูดได้อย่างไร”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดด้วยเสียงต่ำ “ฝ่าบาท กระหม่อมก็แก่แล้ว อย่างไรก็ต้องมีวันปลดเกราะกลับแปลงนา”
องค์รัชทายาทขอโทษอีกครั้ง พูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านแม่ทัพอย่าโกรธเลย จิ่นหยงเข้าใจสิ่งที่ท่านแม่ทัพพูด เพียงแต่มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อย่างไรก็ต้องคำนึงถึงตระกูลชนชั้นสูง ไม่อาจบีบบังคับผลักดันได้ทันที…”
“บีบบังคับ?” แม่ทัพหน้ากากเหล็กหันมาทางเขา เสียงแหบพร่าแสดงออกถึงความเยาะเย้ย “บังคับอย่างไรกัน การประลองของบัณฑิตสามัญชนและชนชั้นสูงดำเนินมากว่าหนึ่งเดือนยังไม่พอหรือ คัดค้าน? พวกเขาคัดค้านสิ่งใด หากความรู้ของพวกเขาไม่อาจสู้บัณฑิตสามัญชนได้ พวกเขามีหน้าอันใดคัดค้าน หากความรู้ของพวกเขาดีกว่าบัณฑิตสามัญชน ยิ่งไม่จำเป็นต้องคัดค้าน การคัดเลือกขุนนางตามความสามารถ หากพวกเขาผ่านการคัดเลือก ขุนนางที่ฝ่าบาทเลือกยังคงเป็นพวกเขาไม่ใช่หรือ”
เขามองไปขุนนางในตำหนักอีกครั้ง
“ฝ่าบาททรงจัดการคัดเลือกขุนนางตามความสามารถในเมืองหลวงมาแล้ว แคว้นอื่นในแผ่นดินนี้ไม่ควรปฏิบัติตามหรือ”
“มีสิ่งใดเป็นการบีบบังคับ มีสิ่งใดไม่อาจพูดได้ สิ่งที่ไม่อาจพูดได้เหล่านั้นล้วนมีเฉินตันจูพูดแล้ว สิ่งที่พวกท่านต้องพูดก็มีแต่สิ่งที่พูดได้”
อย่างนั้นหรือ? ภายในตำหนักเงียบสงัด สีหน้าของทุกคนต่างแปรเปลี่ยนไป
…
เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้เกิดความคึกคักในเมืองหลวงขึ้นอีกครั้ง บนถนนเต็มไปด้วยผู้คน ภายในจวนใหญ่ก็เต็มไปด้วยผู้คน จวนมากมายยังคงสว่างไปด้วยแสงเทียนอย่างต่อเนื่อง
เมื่อแสงอาทิตย์สาดเข้าตำหนักใหญ่ ขันทีจิ้นจงที่เฝ้าอยู่ด้านนอกห้องลับเคาะกำแพงเบาๆ เป็นการเตือนฮ่องเต้ว่าฟ้าสว่างแล้ว
ภายในห้องลับสว่างไปด้วยแสงเทียน แยกกลางวันและกลางคืนไม่ได้ ฮ่องเต้อยู่กับขุนนางสี่คนเหมือนครั้งก่อน แต่ละคนล้วนดวงตาแดงก่ำเพราะไม่ได้นอน แต่ใบหน้าแสดงออกถึงความตื่นเต้น
“ฝ่าบาท วิธีการนี้เหมาะสมที่สุดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” คนหนึ่งถือกระดาษที่หมึกยังไม่แห้งพูดด้วยเสียงสั่นเทา “การคัดเลือกด้วยชนชั้นยังคงไม่เปลี่ยน แต่จัดตั้งสำนักสอบในแต่ละแคว้น กำหนดเวลานี้ในแต่ละปีในการสอบ ไม่ว่าบัณฑิตสามัญชนหรือชนชั้นสูงล้วนสามารถเข้าได้ จากนั้นจึงถูกคัดเลือก”
ขุนนางอีกคนถือกระดาษอีกแผ่นหนึ่ง “ส่วนเรื่องการสอบ ย่อมเป็นความรู้ทั้งหก เช่นนี้ ผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านคัมภีร์ แต่มีความรู้เฉพาะทางอย่างจางเหยาย่อมสามารถรับใช้ฝ่าบาทได้”
ขุนนางอีกคนยังคงถือพู่กัน ครุ่นคิดอย่างหนัก “ส่วนวิธีการสอบ พวกเรายังต้องคิดให้รอบคอบ…”
ฮ่องเต้หัวเราะ “ใต้เท้าเว่ย ไม่ต้องรีบร้อน รายละเอียดเอาไว้หารือตอนว่าราชการยามเช้า เวลานี้ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือลงมือปฏิบัติ”
ขุนนางทั้งหลายโน้มตัว “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท”
ฮ่องเต้บอกให้พวกเขาลุกขึ้น พูดด้วยความปิติยินดี “พวกเจ้าก็ทำงานหนักแล้ว”
ขุนนางท่านหนึ่งขยี้ตาที่เมื่อยล้า ถอนหายใจ “กระหม่อมก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเร็วเพียงนี้ ต้องขอบคุณการกลับมาของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก มีความช่วยเหลือของเขา บารมีก็เพียงพอแล้ว”
ขุนนางอีกคนอดหัวเราะไม่ได้ “ควรเชิญให้ท่านแม่ทัพกลับมาเร็วกว่านี้”
คงต้องดูว่าผู้ใดเป็นคนเชิญ ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจสองทีภายในใจ ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะกำแพงเร่งเร้าจากด้านนอกอีกครั้ง เขาพยักหน้าให้คนทั้งหลาย “ทุกคนตกลงตามนี้ เตรียมพร้อมให้ดี กลับไปพักผ่อนให้เพียงพอก่อน จากนั้นเสนอขึ้นมาในราชสำนัก”
ขุนนางทั้งหลายตอบรับอย่างหนักแน่น
ฮ่องเต้ออกจากห้องลับไป เขาไม่เหน็ดเหนื่อยมากถึงแม้จะไม่ได้นอนทั้งคืน อีกทั้งยังมีความกระปรี้กระเปร่า ขันทีจิ้นจงพยุงเขาเดินไปยังตำหนักใหญ่ พูดเสียงเบา “ท่านแม่ทัพยังรอฝ่าบาทอยู่ภายในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”
ฝีเท้าของฮ่องเต้ชะงัก เดินไปถึงด้านหน้าม่าน มองเห็นภายในตำหนักที่ถูกแสงแดดสาดส่อง ชายชราที่ใช้มือยันศีรษะเอาไว้ดุจดั่งกำลังหลับอยู่บนเบาะนั่ง
ถึงแม้จะเก็บหมวกคืนไปแล้ว แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้สวมใส่อีก เพียงแค่วางไว้ข้างตัว ใช้ปิ่นไม้หนึ่งมัดผมขาวที่แผ่สยายของเขาเอาไว้ ขาของเขานั่งขัดกัน ท่าทางเหมือนต้นไม้ที่กำลังจะแห้งเหี่ยวตายไป
ฮ่องเต้เจ็บปวดเล็กน้อย
“ท่านแม่ทัพก็ไม่ได้นอนทั้งคืนพ่ะย่ะค่ะ อาหารที่กระหม่อมนำมาก็ไม่ได้กิน” ขันทีจิ้นจงพูดเสียงเบา “ท่านแม่ทัพควบม้าเร็วกลับมาทั้งวันทั้งคืน…”
ไม่ใช่อดนอนเพียงแค่คืนเดียว
ฮ่องเต้ถอนหายใจ เดินเข้าไป ยืนอยู่หน้าแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ก่อนจะยื่นมือลูบหัวของเขาเบาๆ “เอาเถิด อย่ามาแสร้งทำอยู่ตรงนี้ ด้านนอกตำหนักจัดเตรียมห้องเอาไว้ให้แล้ว ไปนอนตรงนั้นเสีย”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเงยหน้าขึ้น หน้ากากเหล็กเย็นเฉียบ แต่น้ำเสียงแหบพร่ากลั้วหัวเราะ “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทที่ทำสำเร็จ”
ฮ่องเต้พูดอย่างโกรธเคือง “ถึงเจ้าจะฉลาด เจ้าก็ไม่ต้องรีบร้อนสร้างปัญหานี้ เจ้าดูสภาพเจ้าในตอนนี้เหมือนอันใดกัน!”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “เพื่อฝ่าบาท กระหม่อมกลายเป็นอย่างไรก็ได้”
คำพูดนี้คุ้นหูยิ่งนัก…ฮ่องเต้เหม่อลอยเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเยาะออกมา ยกมือขึ้นตีศีรษะของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ปิ่นไม้ที่เสียบเอาไว้ไม่แน่นถูกตีหล่น ผมสีขาวของแม่ทัพหน้ากากเหล็กแผ่สยายลงมาทันที
“ไม่ต้องมาพูดจาชวนฟังกับข้า เจ้าทำเพื่อข้าที่ใดกัน ทำเพื่อเฉินตันจูนั้นมากกว่า!”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเงยหน้ามองฮ่องเต้ “เฉินตันจูก็ทำเพื่อฝ่าบาท ดังนั้น เหมือนกัน”
เหมือนกันอย่างไร! ฮ่องเต้ยกมือทำท่าจะตีอีกครั้ง ก่อนจะวางลง
“ข้าไม่รังแกคนแก่อย่างเจ้า” เขาตะโกนเรียกขันทีจิ้นจงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เจ้า ตีแทนข้า ตีให้แรง!”
ขันทีจิ้นจงพูดอย่างระอา “ฝ่าบาท อันที่จริง อายุของกระหม่อมก็ไม่ได้มากนัก”
หากตีแม่ทัพหน้ากากเหล็กก็ถือว่าเป็นการรังแกคนแก่เหมือนกัน
ฮ่องเต้ถลึงตา แม่ทัพหน้ากากเหล็กโน้มตัวด้วยรอยยิ้ม ผมสีขาวหย่อนลงพื้น “กระหม่อมมีโทษ กระหม่อมขอตัว”