บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 239 ถามกลับ
เฉินตันจูหรือ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้พูดสิ่งใด
เมื่อมีองค์รัชทายาทกล่าวนำ ขุนนางหลายท่านต่างพูดขึ้นอย่างโกรธเคือง “ใช่ ท่านแม่ทัพ ข้าไม่ได้ถามว่าท่านลงมือทำร้ายผู้อื่นหรือไม่ แต่ถามว่าเหตุใดท่านจึงแทรกแซงเรื่องของเฉินตันจู อธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่าง ท่านแม่ทัพจะได้ไม่เสื่อมเสียชื่อเสียง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัวเราะ “ข้ามีชีวิตมาหกเจ็ดสิบปี ไม่กลัวถูกคนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง”
แต่ในเมื่อองค์รัชทายาทกล่าวถึง แม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้โต้แย้ง เพียงแค่ถามกลับ “เฉินตันจูเป็นอย่างไรหรือ?”
พูดถึงเฉินตันจู บรรยากาศการสนทนาคึกคักขึ้นมาทันที เหล่าขุนนางในตำหนักต่างส่งเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมา เฉินตันจูแผลงฤทธิ์อย่างไร้ความเกรงกลัว เฉินตันจูข่มเหงหญิงรังแกชาย เฉินตันจูยึดครองภูเขาตั้งตนเป็นอ๋อง เรียกร้องค่าผ่านทาง หากเจรจาไม่ลงตัวก็ลงมือทำร้ายคน เฉินตันจูก่อกวนที่ว่าการ เฉินตันจูชนผู้คนกลางถนน แม้แต่พระราชวังยังบังอาจบุกรุก…อย่างไรแล้ว คนผู้นี้กระทำการอุกอาจ ไร้กฎไร้เกณฑ์ ไร้ซึ่งความซื่อสัตย์และคุณธรรม ผู้คนในเมืองหลวงต่างหลบหลีก
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเพิ่งฟังไม่กี่คำก็หัวเราะร่า พูดขัดพวกเขา “ทุกท่าน เรื่องนี้มีสิ่งใดน่าโกรธเคืองกัน”
ยังไม่โกรธเคืองหรือ? ทุกคนต่างยิ่งโกรธมากขึ้น พวกเขาพูดเสียเปล่าหรือ แม่ทัพหน้ากากเหล็กปกป้องเฉินตันจูอย่างเห็นได้ชัด…
“ทุกท่าน หากเฉินตันจูไม่ใช่คนเช่นนี้” แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองทุกคน “นางจะทำเรื่องทรยศเฉินเลี่ยหู่และท่านอ๋องอู๋ ต้อนรับฝ่าบาทเข้าเมืองอู๋ได้อย่างไร”
ทุกคนต่างผงะ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเอนตัวลงบนโต๊ะ หมุนถ้วยน้ำชาที่ยังไม่ได้แตะ “เดิมทีเฉินตันจูก็เป็นผู้ที่ไร้ความซื่อสัตย์ ไร้คุณธรรม ไร้ยางอาย ไร้กฎเกณฑ์อยู่แล้ว ก่อนหน้านี้นางเป็นคนเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้สึกดีใจ เหตุใดเวลานี้จึงโกรธจนทนต่อไปไม่ได้ หากเห็นแก่ที่นางช่วยรักษาชีวิตทหารหลายแสนคน การที่พวกท่านเปลี่ยนหน้ารวดเร็วเช่นนี้ ถือว่าพวกท่านก็เป็นคนที่ไร้ความสำนึกบุญคุณ เมื่อหมดประโยชน์แล้วก็ทิ้ง”
ทุกคนที่ฟังคำพูดของเขาต่างตั้งสติกลับมา เหตุผลไม่ควรจะพูดกันเช่นนี้
“ถึงแม้เฉินตันจูมีคุณงามความดีอันยิ่งใหญ่” ขุนนางท่านหนึ่งพูดด้วยคิ้วขมวด “เวลานี้ก็ไม่อาจปล่อยให้นางกระทำการเช่นนี้ ต้าเซี่ยไม่ใช่เมืองอู๋”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเห็นด้วยกับเขา พยักหน้า “ใต้เท้าต่งพูดได้ไม่ผิด ดังนั้นตลอดเวลาที่ผ่านมา ฝ่าบาทจึงโอบอ้อมต่อเฉินตันจู ถือว่าเป็นการสั่งสอนนางให้เป็นไปในทางที่ดี”
พูดพลางมองไปยังฮ่องเต้
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ด้านบนสุด เมื่อได้ยินแม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดคำว่า ‘ฝ่าบาท’ ออกมาแล้ว หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปหนึ่งที เมื่อสายตาของอีกฝ่ายมองมา เขาหลบหลีกสายตาอย่างไม่รู้ตัว
ฮ่องเต้รอจนกระทั่งเหล่าขุนนางมาเกือบครบหมดแล้ว จึงเพิ่งได้ยินว่าแม่ทัพหน้ากากเหล็กมาขอเข้าเฝ้าที่ตำหนักใหญ่ หลังจากที่ได้พบหน้า จึงมีการถามไถ่การเดินทางกลับมา ความเหน็ดเหนื่อยของท่านแม่ทัพ จากนั้นจึงปล่อยให้เหล่าขุนนางคนอื่นแย่งประเด็นสนทนาไป ส่วนฮ่องเต้นั่งเฝ้ามองดูอย่างเงียบๆ
แต่ยังคงหนีไม่พ้น?
“ฝ่าบาท ท่านไม่ได้โกรธเคืองเฉินตันจูจริงๆ ใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพหน้ากากเหล็กถาม
ฮ่องเต้ส่งเสียงตอบรับออกมา ทั้งพยักหน้าทั้งส่ายหัว “หญิงสาวผู้นี้ได้สร้างผลงานให้แก่กองทัพแห่งต้าเซี่ย แต่การกระทำของนางก็…เฮ้อ”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กจึงไม่ถามต่อ ฮ่องเต้โล่งใจพร้อมทั้งได้ใจเล็กน้อย เห็นหรือไม่ รับมือกับแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ต้องไม่เห็นด้วยหรือปฏิเสธคำถามของเขา มิฉะนั้นเขาย่อมสามารถหาเหตุผลแปลกประหลาดมายั่วโมโหได้
องค์รัชทายาทเห็นประเด็นสนทนาในตำหนักเริ่มเบี่ยงเบนอีกครั้ง เขาหัวเราะขมขื่นออกมา พูดด้วยความจริงใจ “ท่านแม่ทัพ เรื่องก่อนหน้านี้ ฝ่าบาทไม่ได้ลงโทษเฉินตันจู ในเมื่อท่านเข้าใจฝ่าบาท เช่นนั้นครานี้ฝ่าบาทลงโทษเฉินตันจู ท่านควรจะเข้าใจว่านางกระทำผิดอันใหญ่หลวงที่ไม่อาจให้อภัยได้”
ใช่ๆ ไม่พูดถึงเรื่องแต่ก่อน เรื่องแต่ก่อนเหล่านั้นฝ่าบาทล้วนไม่ได้ลงโทษ อีกทั้งไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ทุกคนต่างตั้งสติกลับมา
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเคารพองค์รัชทายาทอย่างมาก เขาไม่ได้พูดเหตุผลของตนเองต่อ หากแต่ถามอย่างจริงจัง “นางกระทำผิดเรื่องใด”
เรื่องนี้หากพูดขึ้นมาคงสนุกอย่างมาก เหล่าขุนนางในตำหนักต่างกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาอีกครั้งในทันที เริ่มจากเฉินตันจูลักพาตัวบัณฑิตผู้หนึ่ง แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นแค่ข่าวลือ พวกเขาในฐานะขุนนางไม่เชื่อเรื่องนี้ อีกทั้งสถานการณ์จริงก็สืบกระจ่างแล้ว บัณฑิตผู้นี้เป็นคู่หมั้นของหลิวเวย สหายสามัญชนของเฉินตันจู อย่างไรแล้ว เฉินตันจูพังกั๋วจื่อเจี้ยน กระตุนให้เกิดการแข่งขันระหว่างบัณฑิตสามัญชนและชนชั้นสูง
ครานี้แม่ทัพหน้ากากเหล็กฟังอย่างสงบ ไม่ได้พูดขัด เขาปล่อยให้ทุกคนพูดออกมาตามที่ต้องการ จนกระทั่งพูดถึงเฉินตันจูว่าได้คืบเอาศอก ฝ่าบาทอภัยโทษที่นางพังกั๋วจื่อเจี้ยน แต่นางกลับบุกรุกพระราชวังทูลขอให้ฝ่าบาทยกเลิกการคัดเลือกขุนนางจากชนชั้น ให้ใช้ความสามารถในการคัดเลือก นางกำลังจะล้มล้างกฎที่บรรพบุรุษตั้งมา ทำลายแผ่นดินของต้าเซี่ยเป็นโทษใหญ่อันมหันต์นั้น แม่ทัพหน้ากากเหล็กยกมือขึ้นตบโต๊ะเสียงดัง
ท่านแม่ทัพผู้แก่ชรา เมื่อยกมือขึ้นตบโต๊ะ เสียงดังสนั่นราวกับทุบก้อนหินใหญ่ให้แหลกละเอียด ทำให้ผู้คนเงียบสงัดลงทันที แต่เมื่อมองไปยังโต๊ะน้ำชาธรรมดาที่ยังตั้งมั่นอยู่เหมือนเคย หากไม่ใช่น้ำชาที่สั่นไหว ทุกคนคงสงสัยว่าเสียงนี้เป็นเพียงแค่พวกเขาหูฝาด
“เรื่องนี้เป็นโทษได้อย่างไร” แม่ทัพหน้ากากเหล็กถาม “เฉินตันจูทำผิดหรือ”
สายตาด้านหลังหน้ากากเหล็กกวาดมองไปยังทุกคน น้ำเสียงแหบพร่าไม่อาจปิดบังความเหยียดหยามที่ซ่อนอยู่ได้
“การประลองของคนนับร้อย คัดเลือกผู้ชนะออกมายี่สิบคน ภายในนั้นมีบัณฑิตสามัญชนสิบสามคน บัณฑิตชนชั้นสูงยังมีหน้าอันใดที่จะเข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน ได้รับการคัดเลือกเป็นขุนนาง”
ขุนนางท่านหนึ่งใบหน้าแดงก่ำ พลางอธิบาย “เรื่องนี้เป็นแค่ตัวอย่าง เกิดขึ้นแค่ในเมืองหลวง…”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่งเสียงดังขัดเขา “เมืองหลวงเป็นพื้นที่รวมตัวของบัณฑิตทั่วทั้งแผ่นดิน
กั๋วจื่อเจี้ยนยิ่งเป็นสถานที่ของผู้มีความสามารถ เพียงแค่ตัวอย่างในครั้งนี้ก็ได้ผลลัพธ์เช่นนี้ หากมองไปทั่วแผ่นดิน แคว้นอื่นยังไม่รู้จะมีสถานการณ์ที่ย่ำแย่เพียงใด ดังนั้นคุณหนูตันจูบอกให้ฝ่าบาทคัดเลือกขุนนางจากความสามารถ ย่อมสามารถใช้การนี้ในการตรวจสอบ ดูว่าบัณฑิตชนชั้นสูงภายในแผ่นดินนี้ไร้ความสามารถถึงเพียงใด!”
ขุนนางอีกคนไม่โต้เถียงกับเขาในเรื่องนี้ เกลี้ยกล่อม “สิ่งที่ท่านแม่ทัพพูดมีเหตุผล พวกเราและฝ่าบาทมีความคิดเรื่องนี้เช่นกัน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ควรวางแผนระยะยาว มิฉะนั้น เรื่องนี้อาจทำให้ชนชั้นสูงอันเป็นรากฐานสั่นคลอน…”
“มันสั่นคลอนไปแล้ว ยังต้องวางแผนระยะยาว?” แม่ทัพหน้ากากเหล็กเย้ยหยัน เหลือบมองขุนนางที่นั่งอยู่ “ตกลงพวกท่านเป็นขุนนางของฝ่าบาทหรือเป็นขุนนางของชนชั้นสูง?”
คำพูดนี้เกินไป เหล่าขุนนางไม่ว่าจะมีนิสัยดีเพียงใดก็โกรธขึ้นมา
“ท่านแม่ทัพอวี๋!” ขุนนางหน้าดำอีกคนลุกขึ้นตะโกนด้วยเสียงเย็นชา “ข้าไม่พูดถึงชนชั้นสูงหรือรากฐาน แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ท่านในฐานะทหาร มีสิทธิ์อันใดมาชี้นิ้ว”
ประโยคนี้ทำให้ขุนนางฝ่ายทหารอีกคนที่นั่งเงียบอยู่ในตำหนักมองมาทันที สีหน้าของเขาไม่พอใจนัก
“เหลิ่งเน่ยสื่อ!” ขุนนางฝ่ายทหารอีกคนรีบลุกขึ้นทันที “ท่านหยาบคาย!”
มีขุนนางอีกหลายคนที่อยู่ข้างๆ ไม่แสดงความโกรธ เพียงแต่กลับตอบโต้อย่างเย็นชา “เพราะว่าท่านแม่ทัพอวี๋หยาบคายก่อน เพียงแค่ฟังคำเล็กน้อย ผู้เป็นแม่ทัพก็บังอาจมาถกเถียงเรื่องการศึกษา เหลวไหลสิ้นดี”
บรรยากาศในพระตำหนักตึงเครียดอย่างกะทันหัน เหล่าขุนนางของราชสำนักถกเถียงกัน ถึงแม้ไม่เห็นเลือด แต่การชนะย่อมเป็นเรื่องความเป็นความตาย
ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ราวกับตกใจในเหตุการณ์ เขาไม่พูดสิ่งใด องค์รัชทายาททำได้เพียงยืนเกลี้ยกล่อม “ทุกคนสงบลงก่อน มีสิ่งใดค่อยๆ พูด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กลุกขึ้นคำนับองค์รัชทายาท “ได้ เช่นนั้นข้าขอพูด ว่าข้ามีสิทธิ์อันใด” ก่อนจะหันไปมองเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ด้วยสีหน้าโกรธเคือง
“ข้าเป็นแม่ทัพ แต่ข้าเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดที่จะหารือเกี่ยวกับรากฐาน ไม่ว่าจะเป็นรากฐานของแผ่นดิน หรือรากฐานของการศึกษา”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ
“มือของข้าเปื้อนเลือด เท้าของข้าเหยียบย่ำซากศพ ทำลายเมืองเพื่อฆ่าศัตรู ข้าทำไปเพื่ออันใด”
“เพื่อความสงบสุขและความมั่นคงของบ้านเมือง เพื่อต้าเซี่ยไม่ต้องพเนจรอีกต่อไป”
“มรดกของต้าเซี่ยแลกเปลี่ยนมาด้วยเลือดเนื้อของทหารและผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน เลือดและเนื้อเหล่านี้ไม่ควรถูกคนโง่เขลาและไร้ความสามารถทำให้แปดเปื้อน รากฐานที่แลกเปลี่ยนมาด้วยเลือดเนื้อนี้ มีเพียงผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะทำให้มันมั่นคง และสืบทอดต่อไปได้”
“มิฉะนั้น ให้กลุ่มคนที่ไร้ความสามารถมาจัดการ นำแผ่นดินไปสู่ความเสื่อมโทรม เลือดของทหารและผู้คนเหล่านี้จะหลั่งไหลอย่างไร้ค่า อีกทั้งจะเกิดการนองเลือดและความโกลาหลอย่างต่อเนื่องมากขึ้น มันคือรากฐานที่พวกท่านต้องการ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กถอดหมวกออก
“ข้าคงไม่มีความจำเป็นต้องนำทัพออกรบ ปลดอาวุธกลับแปลงนา”
ฮ่องเต้ลุกขึ้นพรวด “ท่านแม่ทัพ อย่า…”
เหล่าขุนนางทางการทหารพูดขึ้นอย่างโศกเศร้าและโกรธเคือง “ท่านแม่ทัพ…”
ชั่วขณะหนึ่ง เสียงเศร้าโศกและขุ่นเคืองปกคลุมไปทั่วพระตำหนัก ราวกับคลื่นทะเลที่ซัดเข้าไปยังร่างกายของเหล่าขุนนางจนยืนไม่อยู่ จิตใจกระสับกระส่าย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
โจวเสวียนที่นั่งอยู่ท้ายสุด ไม่แปลกใจ ไม่โกรธ เขายื่นมือไปแตะคาง ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัย การร้องไห้ของเฉินตันจูครั้งนี้ทำให้แม่ทัพหน้ากากเหล็กเป็นเช่นนี้ได้
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองไม่ออกจริงๆ หรือว่าเฉินตันจูแสร้งทำ ดวงตาคงไม่พร่ามัวถึงเพียงนั้นกระมัง ฟังจากคำพูดของเขาแล้ว สมองของเขายังคงว่องไวและเจ้าเล่ห์อย่างมาก