บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 235 ขับไสไล่ส่ง
เมื่อนึกย้อนไปในตอนแรก ดูเหมือนว่าเพิ่งผ่านมาได้นาน หญิงชราขายชามองมายังนายบ่าวที่ยิ้มแย้มด้วยความไม่พอใจ ไม่ยอมรับหรือปฏิเสธ
อิงกูถอนหายใจให้กับสาวใช้อีกคน “การที่สามารถทำให้คนเปลี่ยนใจจากความรังเกียจเป็นความรักและอาลัยอาวรณ์ได้ แสดงว่าคุณหนูเป็นคนดีจริงๆ”
น่าเสียดายที่คนดีคนนี้ไม่ถูกคนส่วนใหญ่ยอมรับ เหล่าสาวใช้ถือห่อสัมภาระใบเล็กเดินตามเฉินตันจูลงเขาไป
บริเวณเชิงเขามีรถสามคัน ถึงแม้ว่าอาเถียนจะร้อนรนจนอยากจะขนทั้งอารามไป แต่อันที่จริงพวกนางไม่ได้มีสัมภาระมากมาย เฉินตันจูไม่มีสมบัติมีค่าอันใดสามารถพกพาไปได้
บริเวณเชิงเขาในยามเช้าตรู่มีความคึกคักอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โรงน้ำชาเต็มไปด้วยผู้คน อาฮวาอยู่ตัวคนเดียว นางยุ่งจนเท้าไม่แตะพื้น บนถนนยังมีผู้คนมากมาย หลี่จวิ้นโส่วนำผู้คนมาด้วยตนเอง จุดประสงค์เดิมของเขาคือเพื่อคุมตัวเฉินตันจู แต่เวลานี้ล้วนนำมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ให้ผู้คนมาขวางถนน…
เมื่อเห็นเฉินตันจูเดินลงเขามา ฝูงชนก็เกิดความโกลาหล ไม่รู้ผู้ใดผิวปากขึ้นมา เฉินตันจูรีบมองไปในทันที นางตะโกนเรียกจู๋หลิน ทันใดนั้นมีองครักษ์คนหนึ่งปรากฏตัว จากนั้นพุ่งเข้าไป หิ้วปีกชายผู้หนึ่งออกมาจากฝูงชน…
ชายผู้นั้นถูกจับเอาไว้อย่างไม่ทันตั้งตัว นิ้วของเขายังคาอยู่ในปาก
“เจ้าทำอันใด” เฉินตันจูถาม “เจ้ากำลังดีใจที่ข้าออกจากเมืองหลวงหรือ”
ถึงแม้อาเถียนและคนอื่นไม่ได้นอนทั้งคืน แต่เฉินตันจูนอนอย่างเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมาแต่งตัวแต่เช้า สวมชุดคลุมสีแดงสดที่ดีที่สุด กระโปรงรัดอกสีชมพูขาว ใบหน้าเล็กอ่อนนุ่มดุจดอกท้อ ขนคิ้วงดงาม ดวงตาทั้งกลมทั้งโต ยืนอย่างโดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน เมื่อสายตาของนางมองมา ทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน
ก่อนจะมององครักษ์ที่จ้องอย่างดุดันตรงหน้า ชายผู้นั้นกัดนิ้วส่ายหัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบีบเค้นน้ำตาออกมา “ข้าไม่อยากให้คุณหนูตันจูไป”
เฉินตันจูยิ้มให้เขา “อย่าเสียใจ หากเจ้าอาลัยอาวรณ์ข้า ข้าจะพาเจ้าไปด้วย”
คำพูดนี้ทำให้ชายผู้นั้นตกใจกลัวจนหลั่งน้ำตาที่แท้จริงออกมา ผู้คนที่มุงดูอยู่รอบด้านในเดิมทีหดหัวลงอย่างกะทันหัน…
ทุกคนย่อมเดินทางมาดูหญิงร้ายอย่างเฉินตันจูถูกขับไล่ออกไปอย่างอนาถ แต่ดูจากเวลานี้ หญิงร้ายยังคงเป็นหญิงร้าย
นางถูกฮ่องเต้ขับไล่แล้ว หากนางรังแกพวกเขาขึ้นมา ฮ่องเต้คงไม่ออกหน้าแทนพวกเขา
บริเวณรอบด้านเงียบสงบและสุขุม กลายเป็นบรรยากาศแห่งการจากลาขึ้นมาทันที เฉินตันจูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
เดิมทีหลี่จวิ้นโส่วยังมีความรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย แต่ในเวลานี้เขามีเพียงความระอาหญิงสาวผู้นี้ เขาเอ่ยปากเร่ง “คุณหนูตันจู ท่านรีบขึ้นรถเสียเถิด”
อย่าได้สร้างปัญหาอีก
ราษฎรที่ไร้การไร้งานเหล่านี้ยังดี หากมีคนที่ยากที่จะรับมือเดินทางมา ผู้ใดจะกล้ารับรองว่านางจะไม่เสียเปรียบ มีผู้ใดที่จะได้เปรียบเสมอจากการกระทำแข็งกร้าว คนหนุ่มสาวมักไม่เข้าใจความจริงข้อนี้
เฉินตันจูมองไปรอบด้าน บริเวณนี้ไม่มีสหายที่นางรู้จักมาส่ง สหายของนางมีเพียงไม่กี่คน องค์หญิงจินเหยาและองค์ชายสามต่างส่งขันทีมา หลิวเวยและหลี่เหลียนมาตั้งแต่เมื่อวาน ทั้งสองคนบอกอย่างชัดเจนว่าวันนี้จะไม่เดินทางมาส่ง เพราะไม่อาจทนต่อการจากลาได้
เฉินตันจูเข้าใจความรู้สึกของพวกนาง การจากลาครั้งนี้ไม่ใช่การจากลาที่มีเกียรติ พวกนางไม่อาจทนเห็นมันได้
ดวงตารอบด้านไม่อาจซ่อนเร้นความเยาะเย้ยได้ แต่แล้วอย่างไร นางไม่กลัวที่จะถูกผู้อื่นด่าเสียด้วยซ้ำ คิดว่านางจะกลัวการถูกด่าด้วยสายตา? เฉินตันจูส่งเสียงไม่พอใจออกมา “ใต้เท้าหลี่ ข้ายังจะกลับมาอีก”
หลี่จวิ้นโส่วปวดหัวจนไม่อยากพูดสิ่งใดออกมา เขาโบกมือให้ เฉินตันจูจึงพยุงมือของอาเถียนขึ้นรถไป
เฉินตันจูขึ้นรถ ทุกคนต่างเดินตาม อาเถียนและเฉินตันจูนั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน อีกสี่คนนั่งในรถอีกคัน ส่วนรถอีกคันเอาไว้ขนสัมภาระ จู๋หลินและองครักษ์อีกสองคนบังคับรถ องครักษ์คนอื่นขี่ม้า จู๋หลินยกแส้เร่งม้า ม้าร้องขึ้นมาหนึ่งที ก่อนจะวิ่งไปข้างหน้าเหมือนเคย โชคดีที่ผู้คนหลีกทางไปแล้ว แต่ก็ยังคงทำให้ราษฎรข้างทางตกใจเล็กน้อย
คนที่ยืนอยู่บนภูเขาดอกท้ออดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นภาพนี้
“คุณชาย” ชิงเฟิงถามอีกฝ่าย “ท่านไม่ไปส่งคุณหนูตันจูหรือ”
โจเสวียนหัวเราะเย้ยหยัน “เหตุใดข้าต้องไปส่งนาง”
ชิงเฟิงเหลือบตามองเขา “ไม่ส่งคุณหนูตันจู เหตุใดจึงวิ่งมาที่นี่แต่เช้า”
“ย่อมมาเพราะต้องการเห็นนางถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงอย่างอนาถ” โจวเสวียนพูด ส่ายหัว “ดู ท่าทางยโสของนาง ช่างทำให้คนอยากตีนางสักที”
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่บริเวณมุมปากของเขามีเพียงรอยยิ้ม
ชิงเฟิงมองไปยังเชิงเขา “ผ่านเส้นทางภูเขานี้ไปก็มองไม่เห็นแล้ว คุณชาย พวกเราไปภูเขาลูกหน้าหรือไม่”
โจวเสวียนถลึงตามองเขา “ตามไปดูถึงเมืองซีจิงเลยหรือไม่”
ชิงเฟิงพยักหน้าอยางดีใจ “ได้ๆ คุณหนูตันจูไปอยู่กับคนในตระกูลที่เมืองซีจิง คุณชายก็สามารถไปอยู่กับคนในตระกูลเช่นเดียวกัน”
ดูท่าทางตื่นเต้นของเขา ราวกับทันทีที่โจวเสวียนรับปาก เขาก็พร้อมจะออกเดินทางทันที สำหรับทุกสิ่งในเมืองหลวงใหม่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งท่านโหว หรือความร่ำรวยเท่ากองภูเขา เขาล้วนสามารถทอดทิ้งได้
ดวงตาของโจวเสวียนฉายแววโศกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย ความมั่งคั่งและความรุ่งโรจน์อาจทอดทิ้งไปได้ แต่บางสิ่งไม่อาจทอดทิ้งได้ ความโศกเศร้าปรากฏขึ้นมาเพียงชั่วขณะ ก่อนที่ดวงตาดำขลับจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม สายตาของเขามองตามรถม้าของเฉินตันจู…เฉินตันจู นางก็คงไม่อยากไปจากเมืองหลวงเช่นเดียวกัน
เขาจับมือซ้ายเอาไว้ที่เดิมทีมีลูกปัดอยู่บนนั้น แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือข้อมือเรียบ จากนั้นเขาถึงนึกขึ้นได้ว่ากำไลลูกปัดนั้นถูกมอบออกไปแล้ว
ไม่รู้ว่ากำไลลูกปัดนั้นจะถูกสวมใส่ไว้บนมือของเจ้าของใหม่หรือไม่ หรือจะถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ หรืออาจจะถูกทุบจนแตกละเอียด…หญิงสาวร้ายกาจผู้นี้!
โจวเสวียนคิดอย่างเหม่อลอย ชิงเฟิงส่งเสียงตกใจขึ้นมา “แย่แล้ว!”
สิ่งใดแย่? โจวเสวียนเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า ดวงตาคมกริบขึ้นในทันที รถม้าคันหนึ่งรายล้อมไปด้วยผู้ติดตามยี่สิบสามสิบคน คนมากรถใหญ่ ครอบครองพื้นที่บนเส้นทางทั้งหมด เมื่อเผชิญหน้ากับรถม้าของเฉินตันจูไม่แม้แต่จะลดความเร็วลง หากแต่เคลื่อนที่ไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วเหมือนเคย…
เมื่อรถม้าขบวนนี้ปรากฏขึ้น จู๋หลินก็เกร็งไปทั้งตัว เขาจับแส้ม้าแน่น ก่อนจะมองท่าทางดุดันของอีกฝ่าย เขาไม่ได้ขออนุญาตเฉินตันจู หากแต่ตะโกนเสียงดัง “คุณหนูตันจู นั่งให้มั่นคง!”
อาเถียนถาม “เกิดอันใดขึ้น” เฉินตันจูจับนางเอาไว้ เอนกายพิงผนังรถพร้อมกับตนเอง เท้าของนางยันไว้ที่ฝั่งตรงข้าม
รถม้าลอยขึ้นจากพื้นทันที จากนั้นหมุนตัวรถหนึ่งที เสียงคนตะโกนและเสียงม้าร้องดังขึ้นจากภายนอก
รถม้าของจู๋หลินหลบรถม้าที่วิ่งเข้ามาได้อย่างหวุดหวิด ชนเข้ากับผู้ติดตามของอีกฝ่ายที่ขี่ม้าอยู่ ทันใดนั้นคนล้มลงเป็นจำนวนมาก
แต่รถม้าคันนั้นยังไม่หยุด องครักษ์ที่ติดตามอยู่ด้านหลังจู๋หลินหลบออกไปได้อย่างยากลำบาก ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของเยี่ยนเอ๋อและชุ่ยเอ๋อ ก่อนจะชนเข้ากับเหล่าผู้ติดตามด้านข้าง จากนั้นเกิดการล้มลุกคลุกคลานของคนอีกกลุ่ม แต่รถขนสัมภาระคันสุดท้ายไม่อาจหลบได้ ชนเข้ากับรถม้าคันนี้เกิดเสียงกระทบดังปัง…
คนบังคับรถกลิ้งลงมา ม้าหลุดออกจากเชือก รถพลิกคว่ำ
ในรถม้าคันนั้นไม่มีคน รถขนสัมภาระของเฉินตันจูพลิกคว่ำ สัมภาระกระจายเต็มพื้น
เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ฝูงชนที่ยังไม่จากไปบริเวณเชิงเขาเห็นเหตุการณ์ ต่างวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
หลี่จวิ้นโส่วตกใจในเหตุการณ์นี้ เวลานี้เห็นฝูงชนหลั่งไหลเข้าไป เขานั้นไม่รู้ว่าควรจับคนที่ชนรถ หรือควรจะรั้งฝูงชนเหล่านี้ ทันใดนั้นบนถนนตกอยู่ในความวุ่นวาย
เฉินตันจูลงจากรถ ชำเลืองมองเหตุการณ์นี้อย่างเย็นชา อาเถียนทั้งโกรธเคืองทั้งร้อนใจ กลั้นน้ำตาแล้วตะโกน “พวกเจ้าจะทำอันใด”
แม้ว่าคนของอีกฝ่ายจะล้มลงจำนวนมาก แต่มีคนกว่าครึ่งยังปลอดภัยดี ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกคุ้มครองในการปะทะก่อนหน้านี้ กล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ขอโทษด้วยที่ข้าชนรถของคุณหนูตันจู ท่านจะขับไล่ตระกูลของข้าออกจากเมืองหลวงหรือไม่”
ว่าแล้ว ว่าแล้ว เขาตั้งใจ! อาเถียนตัวสั่นเทาด้วยความโกรธ
“คุณชายอย่ารีบร้อน” เฉินตันจูมองหน้าเขาอย่างไม่เกรงกลัว นัยน์ตาดุดัน “ข้าย่อมต้องขับไล่เจ้า แต่ก่อนหน้านั้น ข้าขอตีเจ้าก่อน!”
พูดพลางเรียกจู๋หลิน
จู๋หลินและองครักษ์คนอื่นต่างกระโดดขึ้นไปล้อมคนเหล่านี้ ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าองครักษ์สิบกว่าคนถูกชนจนล้ม แต่เขาพาคนมาด้วยสามสิบคน เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมการมา…
“เฉินตันจู เจ้าเป็นผู้ที่ถูกเนรเทศ เจ้ายังบังอาจกระทำชั่วต่อหน้าฝูงชน!” เขาตะโกนพลางชี้ไปรอบด้าน “มีขุนนางอยู่ มีฝูงชนอยู่ เจ้ายังบังอาจกระทำการเหิมเกริม!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มคนนี้แต่งกายด้วยชุดที่ไม่ธรรมดา มีฐานะที่ร่ำรวย ก่อนจะเห็นคนที่เขาพามาด้วยกว่าสามสิบคน ฝูงชนที่ดูความสนุกอยู่รอบด้านก็มีความกล้าหาญขึ้นมา พวกเขาตะโกน
“เหิมเกริม! หยิ่งยโส!”
“คุณชายสั่งสอนนาง!”
ทันใดนั้น เสียงตะโกนดังราวกับฟ้าร้อง กระแทกเข้าไปยังเฉินตันจู
เฉินตันจูยืนอยู่ข้างรถ ผ้าคลุมของนางพลิ้วไหวอยู่ในสายลม ราวกับถูกเสียงเหล่านั้นกระแทกจนยืนไม่ไหว
หลี่จวิ้นโส่วมองดูเหตุการณ์พลางตะโกน “หยุดทั้งหมด…”
แต่เสียงของเขาถูกกลบไปอย่างรวดเร็ว เฉินตันจูและชายหนุ่มผู้นั้นเพิกเฉยต่อเขา
“ลงมือ!” เฉินตันจูตะโกน ยกมือเขวี้ยงเตาอุ่นมือออกไป
ชายหนุ่มผู้นั้นไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งไม่คิดว่าเฉินตันจูจะกล้าลงมือ เฉินตันจูผู้เป็นบุตรสาวของแม่ทัพยังมีกำลังมาก เตาอุ่นมือนั้นกระแทกเข้าที่หน้าผากของเขาอย่างรวดเร็ว
คุณชายผู้นั้นส่งเสียงร้องออกมา
คนรอบด้านก็ส่งเสียงร้องออกมา
คุณชายจับหน้าผากเอาไว้ แผนการที่วางไว้เป็นเวลานาน แต่กลับทำให้เขาอับอายมากเช่นนี้ เขาโกรธจนดวงตาแดงก่ำ
“อย่ากลัวนาง!” เขาตะโกนอย่างโกรธเคือง “ลงมือ…”
เขายังพูดไม่ทันจบ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากข้างหลังว่า “เจ้ากำลังทำอันใด”
ถึงแม้เวลานี้จะเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวก แต่เสียงนี้ราวกับถูกส่งเข้าหูของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทุกคนตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อมองไปตามเสียง พบว่าบนเส้นทางมีขบวนทหารเดินทางมาถึง มีรถม้าคันสูงใหญ่นำอยู่ด้านหน้า ประตูรถเปิดออก ด้านในมีคนรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่…
พระอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเป็นแสงสีทองอยู่ด้านหลังเขา