บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 230 พี่ชาย
ขบวนองค์รัชทายาทเสด็จเข้าเมืองหลวงยิ่งใหญ่อย่างมาก แตกต่างจากความทรงจำเมื่ออดีตของเฉินตันจูอย่างสิ้นเชิง
เมื่ออดีตชาติ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าองค์รัชทายาทเสด็จเข้าเมืองหลวง องค์รัชทายาทในสายตาของราษฎรเป็นเพียงคนที่เรียบง่ายและซื่อสัตย์ ดุจดั่งบุตรชายคนโตในครอบครัวสามัญชนทั่วไป ไม่พูดไม่จา ขยันขันแข็ง แบกรับภาระในตระกูล แบ่งเบาความกังวลของบิดา ปกป้องรักใคร่พี่น้อง อีกทั้งไร้สิ้นไร้เสียง
ภายในสายตาของฮ่องเต้ก็เช่นเดียวกัน
แต่สิ่งที่แตกต่างจากบุตรชายคนโตในครอบครัวสามัญชนคือ ฮ่องเต้ได้รับโอรสองค์โตในเวลาที่อกสั่นขวัญแขวนที่สุด โอรสองค์โตเป็นการยืดชีวิตของเขา เป็นเขาอีกคน
เมื่ออดีตชาติ ไม่เคยได้ยินความไม่พอใจของฮ่องเต้ที่มีต่อองค์รัชทายาท แต่เหตุใดองค์รัชทายาทจึงให้หลี่เหลียงลอบสังหารองค์ชายหก
องค์รัชทายาทที่ได้รับความโปรดปรานอย่างมากจากฮ่องเต้มาเป็นเวลานาน ได้ยินว่าน้องชายที่อ่อนแอรอดตายถูกฮ่องเต้เรียกเข้าเมืองหลวง จึงต้องการลอบสังหารเขา? น้องชายคนนี้เป็นภัยคุกคามต่อเขามากหรือ
“คุณหนู คุณหนู” อาเถียนตะโกนอย่างตื่นเต้น “มาแล้ว มาแล้ว”
เฉินตันจูยืนอยู่บนถนนบนภูเขาดึงสติกลับมาจากความคิด นางมองลงไปยังเชิงเขา ทหารจำนวนมากผ่านไปแล้ว เวลานี้เป็นขบวนของนางใน จากนั้นเป็นขุนนาง ตามมาด้วยเหล่าขันทีที่ล้อมรอบราชรถสูงคันหนึ่ง ประตูของราชรถสูงปิดสนิท…
“มองไม่เห็น” อาเถียนและชุ่ยเอ๋อพูดอย่างเสียดาย
เนื่องจากฤดูหนาวอากาศเย็น เขาไม่เปิดประตู หรือขี่ม้าเหมือนเหล่าองค์ชายและองค์หญิงท่านอื่นให้ทุกคนมองเห็น
“องค์รัชทายาทไม่ได้นั่งอยู่ในรถ” จู๋หลินทนฟังเสียงของเหล่าสาวรับใช้ไม่ได้ จึงพูดขึ้น
ไม่อยู่หรือ ทุกคนเงยหน้ามองจู๋หลิน เฉินตันจูก็ตกตะลึงเล็กน้อย
จู๋หลินมองไปยังด้านหน้า “ราชองครักษ์ที่ผ่านไปแต่แรกนั้น องค์รัชทายาทขี่ม้าสวมเกราะนำหน้าอยู่”
เฉินตันจูเบนสายตากลับมา มองไปด้านหน้า เมื่ออดีตชาตินางก็ไม่เคยเห็นองค์รัชทายาท ไม่รู้ว่าเขามีลักษณะอย่างไร
หน้าประตูเมืองเต็มไปด้วยทหารและม้า ขุนนางและขันทีกระจายตัวไปทั่ว ขบวนของราชวงศ์แสดงออกถึงความเคร่งขรึม
เมื่อเห็นชายหนุ่มขี่ม้าสวมเกราะเดินทางเข้ามา ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่บนราชรถอดยืนขึ้นไม่ได้ เขาลงจากราชรถอย่างรวดเร็ว มีฮองเฮาตามหลัง
“จิ่นหยง!” ฮ่องเต้เรียกชื่อขององค์รัชทายาท
ชายหนุ่มผู้นั้นเห็นฮ่องเต้และฮองเฮาลงจากรถ เขารีบกระโดดลงจากม้า วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะคุกเข่าลงทั้งสองข้างก้มหัว ตะโกนเรียก “เสด็จพ่อ เสด็จแม่!”
ฮ่องเต้รีบเดินขึ้นหน้าพยุงเขา “รีบลุกขึ้นมา พื้นเย็น”
องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้น พูดกับฮ่องเต้ด้วยดวงตาที่ปริ่มน้ำตา “เสด็จพ่อ อากาศหนาวเช่นนี้พระองค์เสด็จออกมาได้อย่างไร หากรับลมหนาวเข้าจะทำอย่างไร เฮ้อ ทำให้เป็นเรื่องใหญ่”
ฮ่องเต้ทำหน้าเย็นชา “ตกลงเจ้ากังวลว่าข้าจะได้รับลมหนาว หรือกังวลว่าเป็นเรื่องใหญ่”
องค์รัชทายาทหัวเราะ “เป็นห่วงเสด็จพ่อ เป็นห่วงเสด็จพ่อก่อน”
เมื่อพ่อลูกกำลังพูดกัน ฮองเฮายืนฟังอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ องค์ชายและองค์หญิงท่านอื่นต่างตามมา เวลานี้องค์ชายห้าอดกลั้นไม่อยู่ “เสด็จพ่อ เสด็จพี่ เหตุใดพวกท่านพบหน้าก็พูดถึงเรื่องบ้านเมือง”
ฮ่องเต้ถลึงตาใส่เขา “เจ้าก็รู้เรื่องบ้านเมือง?”
องค์ชายห้าหัวเราะ เดินเข้าไปใกล้ “เสด็จพี่ ท่านรีบลุกขึ้น ท่านยิ่งคุกเข่านานยิ่งตัวสั่น เสด็จพ่อยิ่งรับลมหนาวง่ายขึ้น”
องค์รัชทายาทจับแขนของเขาออกแรงดึง ร่างขององค์ชายห้าซวนเซ องค์รัชทายาทอาศัยแรงลุกขึ้นยืน ขมวดคิ้ว “อามู่ ไม่ได้พบเจ้านาน เหตุใดขาเจ้าจึงไม่มั่นคง เจ้าไม่ได้ฝึกฝนเป็นเวลานานใช่หรือไม่”
องค์ชายห้ายิ้มเหยเก ยังไม่ทันตอบ องค์หญิงจินเหยาตะโกนแทรกอยู่ด้านหลัง “เสด็จพี่ พี่ห้าไม่เพียงไม่ฝึกฝนกลยุทธ์ อีกทั้งยังไม่ศึกษาตำรา กั๋วจื่อเจี้ยนสิบครั้งมีแปดครั้งไม่ไป ไม่เชื่อท่านลองทดสอบความรู้ของเขา”
องค์ชายห้าขุ่นเคือง “จินเหยาเงียบปากเสีย ดูแลตัวเจ้าเองเถิด แต่ละวันมั่วสุม มีท่าทางขององค์หญิงที่ใดกัน!”
จินเหยาไม่กลัวเขา หลบอยู่ด้านหลังฮองเฮา “เสด็จแม่ หม่อมฉันพูดผิดหรือเพคะ”
ฮองเฮายิ้ม มองดูเหล่าโอรสด้วยความเมตตา “ทุกคนไม่ได้พบหน้ากันปีกว่า ระลึกถึงเจ้ายิ่งนัก เจ้ามาถึงก็ถามเรื่องนี้ ทดสอบเรื่องนั้น เวลานี้ทุกคนรู้สึกไม่อยากให้เจ้ามาแล้ว”
เหล่าองค์ชายและองค์หญิงต่างหัวเราะขึ้นมา องค์รัชทายาทไม่ได้หัวเราะ เขาเดินมาถึงตรงหน้าของฮองเฮาก่อนจะคุกเข่าลง “คำนับเสด็จแม่”
ฮองเฮาให้เขาลุกขึ้น ลูบไล้ใบหน้าขาวซีดของชายหนุ่มแผ่วเบา ไม่ได้พูดสิ่งใด เหล่าองค์ชายและองค์หญิงที่รออยู่ด้านข้างเดินขึ้นหน้า เรียกขานเสด็จพี่
องค์รัชทายาทมองดูพวกเขาทีละคน พูดกับองค์ชายสองว่าเหนื่อยแล้ว เขาไม่อยู่ องค์ชายสองถือเป็นพี่ใหญ่ เพียงแต่องค์ชายสองเป็นพี่ก็ไม่มีผู้ใดสนใจ องค์ชายสองก็ไม่สนใจ องค์รัชทายาทพูดสิ่งใดเขาก็รับเอาไว้
องค์รัชทายาทมององค์ชายสาม พินิจใบหน้า “สีหน้าดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ยังไอรุนแรงอยู่หรือไม่ ยากินตรงเวลาหรือไม่”
องค์ชายสามพยักหน้าตอบทีละคำถาม ก่อนจะพูด “ขอบพระทัยเสด็จพี่ที่ระลึกถึง”
องค์ชายห้าพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดอยู่ด้านข้าง “เสด็จพี่ไม่ต้องกังวล เวลานี้พี่สามมีผู้อื่นระลึกถึงอยู่”
องค์ชายสี่ถลึงตาใส่เขา “เสด็จพี่เพิ่งมาอย่างดีใจ เจ้าพูดเรื่องน่ายินดีไม่ได้หรือ”
องค์ชายห้าถลึงตาใส่เขากลับ “เจ้าสนข้า…”
“อาเต๋อพูดถูก” องค์รัชทายาทพยักหน้าให้องค์ชายสี่ “อาเต๋อโตแล้ว รู้ความมากขึ้นแล้ว”
องค์ชายสี่เรียกขานเสด็จพี่อย่างดีใจ องค์ชายห้าย่อมไม่ได้โกรธจริง เมื่อเห็นพี่น้องเหล่านี้รักใคร่องค์รัชทายาท เขาย่อมดีใจที่สุด
องค์รัชทายาทเข้มงวดกับเหล่าน้องชาย แต่เมตตากับเหล่าองค์หญิงมาก
ขันทีจิ้นจงอดหัวเราะต่อฮ่องเต้เสียงเบาไม่ได้ “องค์รัชทายาทถอดแบบออกมาจากฝ่าบาทเสียจริง อายุยังน้อยแต่กลับทำท่าแก่ชราเช่นนี้”
ฮ่องเต้มองใบหน้ารูปงามแต่เข้มงวดขององค์รัชทายาท พูดอย่างรักใคร่ “ทำอย่างไรได้ เขาตามติดอยู่ข้างข้าในสถานการณ์เช่นนั้นตั้งแต่ยังเล็ก ข้าพูดถึงสถานการณ์อันยากลำบากกับเขาทุกวัน ทำให้เด็กคนนี้ระวังและกังวลแต่เด็ก คิ้วของเขาขมวดไม่ปล่อยแม้แต่ตอนนอน” ก่อนจะมองภาพรักใคร่กลมเกลียวของพี่น้อง นึกถึงเรื่องในอดีตที่ไม่มีความสุขของตนเอง “เขามีความสุขกว่าข้า ข้าไม่เคยมีพี่น้องที่ดีเช่นนี้”
ฮ่องเต้มีพี่ชายสองคน พวกเขาเป็นศัตรูกันเพื่อบัลลังก์ เขาโชคดีที่รอดมาได้ แต่พี่ชายทั้งสองล้วนตายไป
ขันทีจิ้นจงพูดด้วยเสียงเคียดแค้น “ล้วนเป็นเพราะความโหดร้ายของเหล่าท่านอ๋อง ทำให้ฝ่าบาทและพี่น้องต้องฆ่ากันเอง พวกเขาคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อยู่เฉยๆ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจด้วยความเศร้า “ไร้ลมย่อมไม่เกิดคลื่น หากมีใจที่แน่วแน่ จะถูกคนยั่วยุได้อย่างไร”
ขันทีจิ้นจงไม่กล้าพูดเรื่องในอดีต รีบพูด “ฝ่าบาท เข้าวังค่อยสนทนากันเถิด องค์รัชทายาทเสด็จมาไกล อีกทั้งยังไม่ได้นั่งรถ…”
ใช่ ฮ่องเต้เพิ่งสังเกตเห็น จึงรีบเรียกองค์รัชทายาทมาตำหนิว่าเหตุใดจึงไม่นั่งรถ เหตุใดจึงขี่ม้ามาเป็นระยะทางไกล
“คนนั่งรถน้อยลงหนึ่งคนสามารถบรรจุของได้มากขึ้น” องค์รัชทายาทหัวเราะ เมื่อเห็นท่าทางโกรธของเสด็จพ่อ จึงรีบพูด “กระหม่อมอยากเห็นราษฎรในแคว้นที่ท่านพ่อเก็บกลับคืนมา”
คำพูดนี้ยังดี ฮ่องเต้ไม่ได้ตำหนิอีก เหล่าขุนนางเดินขึ้นหน้าเชิญเสด็จกลับวัง ดังนั้นจึงออกพระราชโองการตั้งขบวนเสด็จกลับวัง ฮ่องเต้และฮองเฮานั่งอยู่ในราชรถ ให้องค์รัชทายาทเดินนำอยู่ด้านหน้า ให้ราษฎรเห็นถึงความสง่างามของเขา ความคึกคักปรากฏขึ้นตั้งแต่ประตูเมืองถึงพระราชวัง
เมื่อกลับถึงพระราชวัง ฮ่องเต้ให้องค์รัชทายาทไปแต่งตัว จากนั้นรอสนทนากันในงานเลี้ยงยามค่ำคืน
องค์รัชทายาทถูกขันทีจิ้นจงเดินทางไปส่งถึงตำหนักองค์รัชทายาทที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ พระชายานำพาคนในจวนองค์รัชทายาทย้ายเข้ามา พวกนางไม่ได้เดินทางไปรับที่ประตูเมือง เวลานี้ล้วนรออยู่บริเวณประตูตำหนัก เมื่อเห็นองค์รัชทายาทเดินทางมาถึง พระชายาและเหล่าโอรสต่างร้องไห้ขึ้นมา มีความปิติยินดีที่สามีภรรยาและพ่อลูกพบหน้ากัน
เมื่อพาเหล่าเด็กๆ ลงไป องค์รัชทายาทเตรียมตัวเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย พระชายายืนอยู่ด้านข้าง มองใบหน้าขององค์รัชทายาท มีคำอยากจะพูดมากมายแต่ไม่รู้ว่าต้องพูดสิ่งใด…นางไม่รู้ต้องพูดสิ่งใดเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาท ดังนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ให้ฟัง
อย่างไรแล้วล้วนเป็นเรื่องที่เกิดจากเฉินตันจู
องค์รัชทายาทพยักหน้า “เรื่องเหล่านี้ข้ารู้แล้ว” สายตามองไปด้านนอก “อาฝูอยู่หรือไม่”
เสียงของพระชายาชะงัก มองไปยังม่านที่ไหวอยู่ด้านนอก เหยาฝูที่ยืนเป็นสาวรับใช้อยู่ด้านนอกเดินก้มหน้าเข้ามา ยังไม่ทันได้แสร้งทำเสียงกังวลเรียกขานองค์รัชทายาทองค์รัชทายาทก็พูดขึ้น “เรื่องเหล่านี้เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่”
สีหน้าของเหยาฝูซีดเผือด คุกเข่าลงทันที
พระชายาชะงัก ก่อนจะโกรธจัด “นางสารเลว เจ้ากล้าหลอกข้า!”