บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 226 พูดอีกครั้ง
แส้ม้าของจู๋หลินสะบัดอยู่กลางอากาศ ส่งเสียงดังกึกก้อง แต่ไม่ได้กระทบลงบนตัวม้า
เขามองด้านหน้าพลางถอนหายใจ
“คุณหนูตันจู” เขาพูด “จะถึงพระราชวังแล้ว จะขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเวลานี้ หรือว่ารอก่อน”
เฉินตันจูเปิดม่านขึ้น “ย่อมต้องเป็นเวลานี้ เหตุใดจึงต้องรอ”
จู๋หลินพูดอย่างเรียบเฉย “เพราะว่าเวลานี้เป็นเวลาที่ฝ่าบาทกำลังเสวยกลางวัน”
เฉินตันจูเงยหน้ามองท้องฟ้า พลางพูด “ถึงเวลากินกลางวันแล้วหรือ ข้าลืมไปแล้ว…พอดี ไม่แน่ว่าไปถึงฝ่าบาทอาจพระราชทานข้าวกลางวันให้ข้ากิน”
เมื่อหลายวันก่อนเพิ่งถูกฮ่องเต้ขับไล่ไม่ใช่หรือ ยังกล้าไปอีก อีกทั้งยังบังอาจให้ฮ่องเต้พระราชทานอาหาร คุณหนูตันจูช่าง…จู๋หลินหมดอาลัยตายอยากแล้ว เขาจะทำอย่างไรได้ เวลานี้เขาเป็นองครักษ์ของคุณหนูตันจู
ฮ่องเต้กำลังเสวยอยู่จริง เนื่องจากตอนเช้าต้องทรงพระราชกิจในท้องพระโรงจึงตื่นเร็วเสวยอาหารอย่างง่าย ดังนั้นมื้อกลางวันย่อมเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดในพระราชวัง อีกทั้งยังเป็นเวลาที่ฮ่องเต้มีความสุขที่สุด ตอนเช้าว่าพระราชกิจเสร็จสิ้น เสวยอย่างมีความสุข จากนั้นพักผ่อนหนึ่งเค่อ แล้วจึงเริ่มทรงพระราชกิจที่ไม่มีที่สิ้นสุดอีกครั้ง…
มื้อกลางวันวันนี้ไม่ได้มีเพียงฮ่องเต้คนเดียว แต่ยังมีเหล่าองค์ชายและองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉี สนทนากันทั่วไปอย่างสนุกสนาน
ขันทีจิ้นจงเห็นขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างกล้าๆ กลัวๆ รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที ระดับขั้นของขันทีผู้นี้ไม่อาจเข้ามาทูลถวายในพระตำหนักได้ แต่มีข้อยกเว้น…
“อาจี๋” ขันทีจิ้นจงเดินเข้ามาเรียกเสียงเบา “คุณหนูตันจูมาขอเข้าเฝ้าหรือ?”
ขันทีอาจี๋รีบพยักหน้า พร้อมทั้งโล่งใจ ในเมื่อขันทีจิ้นจงถามแล้ว เขาย่อมไม่ต้องเดินเข้าไปทูลต่อหน้าฮ่องเต้ด้วยตนเอง
เหตุใดคุณหนูตันจูนี้เดินทางมาอีกแล้ว อีกทั้งยังเลือกเวลาที่ฮ่องเต้กำลังมีความสุข ทำลายบรรยากาศเสียหมด ขันทีจิ้นจงถอนหายใจ หลีกตัวออก “ไปเถิด”
เอ๊ะ? ขันทีอาจี๋ผงะ ก่อนจะมองขันทีจิ้นจงด้วยใบหน้าฉงน
ขันทีจิ้นจงบอกอย่างสง่างาม “รีบเข้าไปทูลเถิด”
ขันทีอาจี๋ทำได้เพียงเดินไปตรงหน้าของฮ่องเต้อย่างหวาดกลัว ฮ่องเต้กำลังฟังสิ่งที่องค์ชายห้าตรัส ก่อนจะหัวเราะร่า ยกแก้วสุราขึ้น ในขณะที่กำลังจะยกขึ้นดื่ม เขาหันกลับมาพบขันทีที่เดินมาถึงข้างตัว ทันใดนั้นใบหน้าของเขาดำทะมึนลง “เจ้าอีกแล้ว!”
ฝ่าบาทย่อมจำเขาได้ หากเป็นแต่ก่อนอาจี๋คงจะร้องไห้ด้วยความดีใจ อืม เวลานี้เขาก็อยากร้องไห้ แต่ไม่ใช่เพราะดีใจ
“ฝ่าบาท มิใช่ มิใช่กระหม่อม” เขาหลุดปากอธิบาย ไม่เกี่ยวกับเขา เขาไม่ได้อยากมาเข้าเฝ้าฝ่าบาท
ฮ่องเต้ไม่สนใจคำพูดกลับไปกลับมาของขันทีนี้ เอ่ยถามด้วยคิ้วขมวด “เฉินตันจูมาอีกแล้ว?”
อาจี๋รีบพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ นางบอกว่าขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
ฮ่องเต้รู้สึกรำคาญยิ่งนัก เฉินตันจูนี้ต้องการสิ่งใด เขามองไปยังองค์ชายสามที่นั่งอยู่ด้านล่าง องค์ชายสามกำลังเสวยอย่างตั้งใจ…ก่อนหน้านี้องครักษ์ลับทูลรายงาน องค์ชายสามและเฉินตันจูพบหน้ากันอย่างลับๆ ในวัดถิงอวิ๋น องค์ชายสามยังทำซานจาเคลือบน้ำตาลให้เฉินตันจู ทั้งสองคนทำเช่นนั้นเช่นนี้ภายใต้ต้นซานจา…
โอรสนี้เนื่องจากได้รับความลำบากมาแต่เล็ก ฮ่องเต้รู้สึกผิดและรักใคร่เขาเสมอมา ดูแลอย่างระมัดระวังจนเติบใหญ่เพียงนี้ แม้แต่น้ำชาสักแก้วยังไม่เคยรินเอง แต่เวลานี้กลับถลกแขนเสื้อไปทำซานจาเคลือบน้ำตาลให้หญิงสาวผู้หนึ่ง! ผู้เป็นเสด็จพ่ออย่างเขายังไม่ได้กินแม้แต่คำเดียว น่าขุ่นเคืองยิ่งนัก
เฉินตันจูเพิ่งหลอกลวงบุตรชายของเขาเช่นนี้เช่นนั้น จากนั้นวิ่งมาขอเข้าเฝ้าเขา หรือว่าต้องการพูดถึงเรื่องแต่งงาน ให้เขาอนุญาตเรื่องงานแต่งของนางกับองค์ชายสาม?
เขาไม่มีทางอนุญาต!
ฮ่องเต้วางแก้วสุราลง “ให้นางเข้ามา!”
ขันทีรีบหดหัววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ฮ่องเต้หน้าดำทะมึน การกระทำชัดเจนอย่างมาก เหล่าองค์ชายและองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีต่างหยุดลง
“ไม่มีอันใด” ฮ่องเต้ปลอบพวกเขา “พวกเจ้ากินต่อเถิด ข้ามีเรื่องเล็กน้อย”
พูดพลางลุกขึ้น ขันทีจิ้นจงนำฮ่องเต้เข้าไปยังตำหนักด้านข้าง
องค์ชายห้ายักคิ้วหลิ่วตา “พวกท่านลองเดา ผู้ใดทำให้เสด็จพ่อไม่พอใจ”
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีถอนหายใจเบาๆ “ฝ่าบาทมีความสามารถอันยิ่งใหญ่และแผนการอันลึกล้ำ ไม่ได้เกียจคร้านในการทรงงาน แม้แต่การดื่มด่ำเพียงชั่วขณะก็ไม่เคย จดจำเรื่องของบ้านเมืองไว้ในใจตลอดเวลา นานๆ ทีจะมีความสุข…”
องค์ชายสี่ไม่ชอบหน้าของเขามานานแล้ว จึงพูดขึ้น “ฉู่เส้าอันเจ้าเงียบปากเถิด ไม่ต้องมาทำพูดจาอ่อนหวาน แต่ภายในใจดุจดั่งคมมีดตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเจ้าและเสด็จพ่อของเจ้าทำให้ฝ่าบาทยากที่จะมีความสุขหรือ”
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีตาแดงก่ำ ยกแขนสื้อขึ้นปิดหน้า “ข้ามีโทษ ขอบพระทัยองค์ชายสี่ ข้าจะทูลรายงานโทษต่อฝ่าบาท” ทำให้องค์ชายสี่โกรธจนถลึงตา
องค์ชายห้าชื่นชมความสนุกอยู่ด้านข้าง ใส่สีตีไข่ ยั่วยุปลุกปั่น กระตุ้นให้องค์ชายสี่ชกต่อยองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉี องค์ชายสองผู้เป็นพี่ออกหน้าห้ามปราม “พวกเจ้าอย่าโหวกเหวก เสด็จพ่อกำลังมีเรื่องรำคาญใจ” พูดพลางมองไปยังองค์ชายสามที่เงียบสงบ “เหมือนน้องสามเช่นนี้ทั้งหมดจะดีเพียงใด…”
เสียงของเขายังไม่ทันจบลง ก็ได้ยินทางด้านตำหนักด้านข้างนั้นมีเสียงฝีเท้า เสียงเปิดปิดประตูและเสียงหญิงสาวดังขึ้น
“หม่อมฉัน เฉินตันจูคารวะฝ่าบาทเพคะ”
เฉินตันจู…
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีและองค์ชายสี่ที่โหวกเหวกเงียบลงทันที สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังองค์ชายสาม องค์ชายสี่เปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดกลั้นไม่ไหว
“พี่สองพอเถิด” เขาพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบา “หากพวกเราเหมือนพี่สามทั้งหมด คบหาหญิงสาวอย่างเฉินตันจู เสด็จพ่อคงไม่มีวันสงบสุขอีก”
องค์ชายสามไม่ได้สนใจเสียงหัวเราะเยาะของเขา เพียงแค่เงยหน้ามองตำหนักด้านข้าง สีหน้ากังวล เหตุใดคุณหนูตันจูยังมาหาฝ่าบาท มาเพื่อขอบพระทัยหรือมาเพื่อรับโทษหรือ…
เฉินตันจูก้มตัวคุกเข่าคำนับอย่างยิ่งใหญ่ในตำหนัก “เฉินตันจูขอบพระทัยฝ่าบาท ที่อภัยโทษใหญ่ให้หม่อมฉันเรื่องที่กั๋วจื่อเจี้ยนเพคะ”
ฮ่องเต้มองหญิงสาวที่คุกเข่ารับผิดอยู่บนพื้น หัวเราะเสียงเย็น “อย่างนั้นหรือ ที่แท้เจ้ายังรู้ว่าเป็นโทษใหญ่ เช่นนี้ถือว่ารู้ผิดแต่ยังกระทำผิด ต้องเพิ่มโทษหรือไม่”
เฉินตันจูเงยหน้าขึ้น “ฝ่าบาท หม่อมฉันกระทำเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะ…”
“เพราะข้า!” ฮ่องเต้พูดต่อทันที พลางชี้ไปยังเฉินตันจู “เจ้ามาเพื่อตอบแทนข้าหรือมาเพื่อรับโทษหรือมาเพื่อทำให้ข้าโกรธกันแน่ คำพูดชุดเดียวพูดซ้ำไปซ้ำมาทุกครั้ง เพราะข้า หากพูดเช่นนี้ ข้ากระทำผิดอยู่ก่อนแล้วหรือไม่”
เฉินตันจูพูด “มิใช่ความผิดของฝ่าบาทเพคะ นับแต่อดีตล้วนเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทแค่กระทำตามกฎระเบียบเท่านั้น”
ฮ่องเต้ส่งเสียงไม่พอใจออกมา
“ฝ่าบาท พระองค์ลองคิดดู หากไม่ใช่การประลองในครานี้ พระองค์จะมองเห็นผู้มีความสามารถที่เป็นสามัญชนสิบกว่าคนนั้นหรือไม่เพคะ” เฉินตันจูถาม “พวกเขาแม้แต่กั๋วจื่อเจี้ยนก็เข้าไปไม่ได้ จะนับประสาอันใดกับการถูกฝ่าบาทมองเห็น”
รู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่มีทางมาตอบแทนหรือรับผิดอย่างง่ายดาย ที่แท้ก็มาตามรังควานไม่หยุด หรือมาเรียกร้องผลประโยชน์มากขึ้น ให้กั๋วจื่อเจี้ยนขอโทษนาง ให้สวีลั่วจือก้มหัวให้นาง จากนั้นนางย่อม
เหิมเกริมไร้ความเกรงกลัวมากขึ้น…
ฮ่องเต้คาดเดา ยิ้มเย็น “ข้าต้องขอบใจเจ้า”
เฉินตันจูพูด “ไม่ต้องตอบแทนเพคะ หม่อมฉันมีความต้องการหนึ่งขอให้ฝ่าบาทรับปาก”
ยังบังอาจเหยียบจมูกขึ้นหน้าอีก! ฮ่องเต้ตบบัลลังก์มังกร “เฉินตันจู เจ้าออกไปบัดนี้ ต่อจากนี้ไม่อนุญาตให้เจ้าเข้าพระราชวัง เก็บองครักษ์หลวงข้างกายเจ้ากลับมาทั้งหมด!”
เฉินตันจูเงยหน้าเรียกขานฝ่าบาทเสียดัง “ฝ่าบาทก็เห็น บัณฑิตสามัญชนมีผู้มีความสามารถมากมาย แต่เพราะว่ามีการกำหนดตำแหน่งตามชนชั้น ความสามารถของพวกเขาจึงไม่อาจแสดงต่อหน้าฝ่าบาท มีเพียงต้องดิ้นรนหาผู้อุปถัมภ์ นำความรู้ทั้งตัวขายให้แก่เหล่าชนชั้นสูง แลกเปลี่ยนความก้าวหน้า บัณฑิตสามัญชนรู้แต่เพียงตอบแทนบุญคุณชนชั้นสูง ทั้งๆ ที่อนาคตนี้เป็นเพราะฝ่าบาทพระราชทานให้ชนชั้นสูง แต่กลับถูกพวกเขานำอำนาจมาใช้ให้เหล่าบัณฑิตสามัญชนเป็นวัวเป็นควาย ซื้อใจผู้คน…ผู้อื่นยังไม่ต้องพูดถึง ฝ่าบาท องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉียังรู้จักอาศัยการประลองในครานี้ ซื้อใจบัณฑิตทั่วแผ่นดิน ภายในจวนรวบรวมผู้มีความสามารถนับร้อย!”
องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีที่ฟังอยู่ในตำหนักใหญ่ตกตะลึง ตัวสั่นเทา ใบหน้าซีดเผือดลงทันที
เฉินตันจู! ข้าไม่มีความแค้นกับเจ้า เหตุใดจึงต้องใส่ร้ายข้า!