บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 221 จบสิ้น
บรรยากาศภายในพระตำหนักแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่องค์หญิงจินเหยารู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก นางมองไปยังใบหน้าของฮ่องเต้ที่โกรธจนอยากจะตีคนอันแสนคุ้นเคยนั้น…
“ตันจู” นางรีบพูดแทรกทันที “จางเหยากลับจวนไปแล้ว เสด็จพ่อแค่เรียกพบเขา ถามคำถามเล็กน้อยเท่านั้น”
เฉินตันจูถึงเชื่อ นางเช็ดน้ำตาพลางเอ่ยถาม “ฝ่าบาท มีอันใดถามหม่อมฉันก็พอ หม่อมฉันทูลทุกสิ่งต่อฝ่าบาทอยู่แล้ว…ฝ่าบาทถามสิ่งใดกับจางเหยาหรือเพคะ”
องค์หญิงจินเหยารีบพูด “เป็นเรื่องดี บทกวีที่จางเหยาเขียนเรื่องจัดการน้ำดีอย่างมาก ถูกใต้เท้าหลายท่านเสนอ เสด็จพ่อจึงเรียกเขามาถาม”
อย่างไรนะ เฉินตันจูตะลึงจนแทบจะกระโดดขึ้นมา จริงหรือเท็จ นางมองไปยังฮ่องเต้ด้วยความเหลือเชื่อ ทั้งตกตะลึงทั้งดีใจ “ฝ่าบาท เรื่องเป็นอย่างไรเพคะ”
ฮ่องเต้มองใบหน้าที่ดีใจจนเปลี่ยนรูปไปของหญิงสาว หัวเราะเสียงเย็น “เจ้ามาหาจางเหยา จางเหยาไม่อยู่ตรงนี้ เจ้ายังอยู่ต่อหน้าข้าด้วยเหตุใด ออกไป!”
เฉินตันจูมองฮ่องเต้อย่างหวาดกลัว “ฝ่าบาท หม่อมฉันมาหาฝ่าบาทเพคะ”
องค์หญิงจินเหยามองหนวดของฮ่องเต้ที่แทบจะบินขึ้นมา รีบโบกมือต่อเฉินตันจู “ตันจูเจ้าถอยออกไปก่อนเถิด จางเหยากลับจวนไปแล้ว เจ้ามีสิ่งใดสงสัยไปถามเขา”
เฉินตันจูก้มหัวคำนับฮ่องเต้ “ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ” พูดพลางถอยออกไปด้วยความดีใจ ด้านนอกตำหนักส่งเสียงฝีเท้าวิ่งจากไปไกลอีกครั้ง
ฮ่องเต้ตบโต๊ะ “เฉินตันจูนี้เหลวไหลยิ่งนัก!”
องค์หญิงจินเหยาเรียกขานเสด็จพ่อ “นางแค่เป็นห่วงคุณชายจางมากไปเท่านั้นเพคะ เกรงว่าคุณชายจางได้รับความเดือดร้อนเพราะนาง ก่อนหน้านี้ก่อเรื่องที่กั๋วจื่อเจี้ยนก็เพราะสาเหตุนี้ นางแค่ทำเพื่อช่วยเหลือสหาย! เป็นคุณธรรม”
ฮ่องเต้หัวเราะเสียงเย็น “ดังนั้นในสายตาของนาง ข้าเป็นจักรพรรดิโง่เขลา จึงคิดสู้กับข้าเพื่อสหายของนาง!”
องค์หญิงจินเหยาอ้าปาก ทันใดนั้นนึกขึ้นได้ หากพี่หกอยู่คงต้องตอบว่าใช่ จากนั้นเสด็จพ่อคงโกรธมาก เหตุการณ์เช่นนี้ไม่เคยเห็นมานานแล้ว ไม่คิดว่าวันนี้จะเห็นได้อีก นางอดเหม่อลอยไม่ได้ ก่อนจะหัวเราะออกมา
ฮ่องเต้ยิ่งโกรธมากขึ้น บุตรสาวที่โปรดปรานและเชื่อฟังของเขากำลังหัวเราะตนเอง
องค์ชายสามยิ้มเบาๆ “เสด็จพ่อ ก่อนหน้านี้คุณหนูตันจูไม่ได้โกหก เพราะว่านางรู้ดีแก่ใจว่าท่านเป็นผู้เที่ยงธรรม นางถึงกล้าเหลวไหล ไม่เกรงกลัว ไม่ปิดบัง จริงใจเช่นนี้”
ฮ่องเต้มองบุตรชายที่ตนเองรักใคร่เสมอมา หัวเราะเสียงเย็น “พูดเรื่องดีของนางก็พอ คำว่าจริงใจอย่าใช้บนตัวนาง”
องค์ชายสามตอบรับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยถาม “เสด็จพ่อ จางเหยาผู้นั้นเป็นผู้มีความสามารถจัดการน้ำจริงหรือ”
เขาและองค์หญิงจินเหยาถูกเรียกมาอย่างรีบร้อน ตอนที่ถูกเรียกเข้ามา เรื่องที่หารือในพระตำหนักก็จบสิ้นลงแล้ว พวกเขาได้ยินเพียงเล็กน้อย
ฮ่องเต้ตอนแรกก็ไม่เชื่อ ชื่อของจางเหยาเขาไม่อยากได้ยินแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่อยากพบ สิ่งที่เขียนก็ไม่อยากอ่าน แต่ขุนนางทั้งสามคนที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กัน อยู่คนละตำแหน่งกัน พูดถึงจางเหยาในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังถกเถียงต่อหน้าเขา สิ่งที่ถกเถียงไม่ใช่บทกวีของจางเหยาเชื่อถือได้หรือไม่ หากแต่ให้จางเหยาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ใด…จนแทบจะลงมือกันอยู่แล้ว
ช่างสูญเสียความสง่างามยิ่งนัก!
เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างมาก ตัดสินใจเรียกจางเหยาผู้นี้มาสอบถามดูว่าเรื่องเป็นอย่างไร
เขาเรียกจางเหยามา ชายหนุ่มผู้นี้รู้ความเหมาะสม คำพูดเฉียบขาดยิ่งนัก พูดถึงการจัดการน้ำไม่มีแม้แต่คำพูดไม่จำเป็น ท่าทางและคำพูดล้วนแสดงออกถึงความมั่นใจ หารือถกเถียงกับขุนนางทั้งสามในพระตำหนัก เขาฟังจนหลงใหล…
เฮ้อ คนที่ดีเช่นนี้ ถูกเฉินตันจูเกาะเกี่ยว เกือบจะต้องถูกปกปิดไปแล้ว ช่างโชคร้ายเสียจริง
โชคดีที่เขาไม่สนใจความเหลวไหลของเฉินตันจู มีดวงตาแหลมคมมองเห็นได้ทันเวลา
ฮ่องเต้ลูบคลำหนวดสั้นของตนเองอย่างภูมิใจ เมื่อพูดเช่นนี้ เขาช่างเป็นจักรพรรดิที่เที่ยงธรรมจริงๆ
“เป็นผู้มีความสามารถหรือไม่” เขาพูดอย่างเรียบเฉย “ยังต้องพิสูจน์ เรื่องการจัดการน้ำ ไม่ใช่แค่บทกวีเพียงไม่กี่บทก็สามารถทำได้”
…
เฉินตันจูขี่ม้าเคลื่อนผ่านตลาด ทำให้คนตกใจจนร้องเสียงดัง วุ่นวายอย่างมาก นางเดินทางมาถึงหน้าประตูของจวนตระกูลหลิว ไม่รอม้าหยุดนิ่งก็ผลักประตูเดินเข้าไป เดินไปถึงห้องโถงก่อนที่บ่าวรับใช้ของตระกูลหลิวจะรายงาน
“เรื่องเป็นอย่างไร ฝ่าบาทพูดอันใดกับเจ้า” เฉินตันจูถาม “ตีเจ้า ด่าเจ้า ลงโทษให้เจ้าคุกเข่าหรือ”
ภายในห้องโถง หลิวจั่งกุ้ยและคนอื่นรวมทั้งจางเหยาล้วนนั่งอยู่ สีหน้าของทุกคนต่างดีใจ เมื่อเห็นเฉินตันจูบุกเข้ามาก็ตกใจไม่น้อย
หลิวเวยรีบยื่นมือพยุงนาง “คุณหนูตันจู เจ้ารู้แล้วหรือ”
เฉินตันจูโบกมือให้นาง หอบหายใจ จางเหยายื่นน้ำชาให้นาง
“อย่ารีบ” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “เป็นเรื่องดี ก่อนหน้านี้ตอนประลอง ข้าเขียนบทกลอนเหล่านั้นไม่ได้ จึงเขียนวิธีการจัดการน้ำที่ข้าและท่านพ่อคิดกันมาลงไปหลายบท”
เฉินตันจูไม่ได้สนใจ นางไม่อยากกดดันจางเหยา จึงไม่ได้สนใจการประลองของบัณฑิต เป้าหมายของการประลองในครั้งนี้เพื่อหาโอกาสให้ฮ่องเต้พบจางเหยา เมื่อถึงเวลาค่อยอภิปรายเรื่องการจัดการน้ำ ไม่คิดว่าจางเหยาจะตั้งใจเขียนในเวลานี้
“คนมากมายจ้องมองอยู่” จางเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่อาจไม่เขียนแม้แต่น้อย เขียนในสิ่งที่ตนเองไม่เชี่ยวชาญ อาจทำให้อับอาย สู้ข้าเขียนในสิ่งที่ข้าเชี่ยวชาญดีกว่า”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง เฉินตันจูมองน้ำชาที่เขายื่นมาให้ พยายามผ่อนลมหายใจ
“ท่านพี่เขียนสิ่งเหล่านี้มอบขึ้นไป จึงถูกรวมเอาไว้ในเล่มด้วย” หลิวเวยพูดต่อ ก่อนจะนำเรื่องที่ได้ฟังจากจางเหยาก่อนหน้านี้เล่าให้เฉินตันจูฟังอีกครั้ง บทกวีเหล่านี้ถูกแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง แต่ละคนล้วนมีอยู่ในมือ จากนั้นขุนนางของราชสำนักหลายท่านพบเข้า พวกเขามีความคิดต่อการจัดการน้ำอย่างยิ่ง เมื่อเห็นบทกวีของจางเหยาจึงตกตะลึงอย่างมาก รีบเดินทางเข้าไปทูลฮ่องเต้ ฮ่องเต้จึงเรียกจางเหยาเข้าไปซักถามในพระราชวัง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ความสามารถของจางเหยาจึงถูกฮ่องเต้มองเห็น
เฉินตันจูนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ ดื่มชาหนึ่งคำ
“ท่านพี่จะไปเป็นขุนนางแล้ว!” หลิวเวยพูดอย่างดีใจ
จางเหยายิ้ม “ยังไม่ใช่ ยังไม่ใช่” อธิบายต่อเฉินตันจู “ฝ่าบาทให้ข้าไปแคว้นเว่ยกับใต้เท้าฉีและใต้เท้าเจียวก่อน พิสูจน์การสร้างประตูกั้นน้ำใหม่ที่ทางน้ำเปี่ยนว่าเป็นไปได้หรือไม่ หลังจากกลับมาจึงตัดสิน”
เฉินตันจูสูดจมูก ไม่พูด
มารดาของหลิวเวยยิ้มบางอยู่ด้านข้าง “เช่นนี้ก็ถือเป็นขุนนางแล้ว อีกทั้งยังได้ถูกฝ่าบาทเรียกเข้าพบ ได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท เก่งเสียยิ่งกว่าพันหยงผู้นั้นอีก”
บัณฑิตทั้งสิบสามคนนั้นยังต้องเข้าไปศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยนก่อน จากนั้นจึงแต่งตั้งตำแหน่ง แต่จางเหยาถูกแต่งตั้งขึ้นโดยตรง
หลิวเวยพูดอย่างดีใจ “ท่านพี่เก่งอย่างมาก!”
หลิวจั่งกุ้ยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ทั้งดีใจทั้งเศร้าใจ “ความหวังของพี่ชิ่งจือสามารถบรรลุได้แล้ว เจ้าถั่วน้อยเก่งกว่าบิดาเสียอีก”
จางเหยายิ้ม “ท่านลุง เหตุใดท่านเรียกชื่อเล่นข้าอีกแล้ว”
มารดาของหลิวเวยตำหนิ “ใช่ ต่อจากนี้อาเหยาเป็นขุนนางแล้ว ท่านเป็นท่านลุงต้องระวัง”
หลิวเวยปิดปากหัวเราะ
จางเหยาหัวเราะตาม ทันใดนั้นเสียงหัวเราะหยุดลง เขามองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ หญิงสาวถือถ้วยชาวางไว้ริมฝีปาก แต่ไม่ได้ดื่ม น้ำตาไหลลงมาเป็นเม็ดใหญ่ หยดลงไปในถ้วยชา…
“คุณหนูตันจู” เขาอดเรียกขานเสียงเบาไม่ได้
หลิวเวยและคนอื่นต่างมองไปยังเฉินตันจู ทันใดนั้นตกใจเล็กน้อย
“ตันจู เจ้าเป็นอันใด”
เรื่องดีเช่นนี้ เหตุใดคุณหนูตันจูจึงร้องไห้
เฉินตันจูยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา ยิ้มให้พวกเขา “เป็นเรื่องน่ายินดี ข้าดีใจมาก ข้าดีใจมาก” มือที่เช็ดน้ำตาของนางกุมไว้บริเวณหน้าอก ออกแรงกดลงไป “ใจของข้าสามารถวางลงได้แล้ว”
จางเหยาในชาตินี้ไม่ต้องรอให้ตายไปก่อนถึงเป็นที่รู้จักแล้ว ในชาตินี้เขาสามารถยืนต่อหน้าฮ่องเต้ในขณะที่ยังมีชีวิต ถูกฮ่องเต้ชื่นชมว่าเป็นผู้มีความสามารถแล้ว
หลิวเวยหัวเราะ “เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้กัน” ยกมือเช็ดน้ำตาให้นาง
จางเหยาไม่พูด มองดูหญิงสาวที่น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความสุขของนาง แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความโศกเศร้าอย่างแปลกประหลาด