บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 212 ร้อนรุ่ม
รถม้าที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วแหวกทางออกมาบนท้องถนนที่คับคั่ง
เฉินตันจูกระโดดลงจากรถโดยไม่รอรถหยุดนิ่ง นางยกกระโปรงเดินเข้าหอไจซิงอย่างรวดเร็ว คนที่มุงดูบนถนนเห็นเพียงแต่ผ้าคลุมสีขาวที่พลิ้วไหว ราวกับมีจิ้งจอกขาวตัวหนึ่งกระโดดผ่านหน้าไป
“สมกับที่เป็นปีศาจจิ้งจอกที่หลอกลวงผู้คนด้วยความงาม” บัณฑิตหยูที่ตาลายบนท้องถนนตำหนิด้วยความปวดใจ
เฉินตันจูเดินเข้าไปในหอไจซิง ภายในหอมีบัณฑิตที่อายุต่างกันนับสิบคนบ้างยืนบ้างนั่งกำลังสนทนาเสียงเบา ทันใดนั้นพวกเขาเงียบลงทันที สายตาของทุกคนจับจ้องไปบนตัวของเฉินตันจู แต่รีบเบนสายตาออกอย่างรวดเร็ว ไม่รู้เป็นเพราะไม่กล้ามองหรือไม่อยากมอง
เฉินตันจูไม่สนใจว่าคนเหล่านี้มองนางอย่างไร นางเพียงแค่มองไปยังองค์ชายสาม องค์ชายสามที่เคยปรากฏต่อหน้านางมักสวมชุดเรียบง่าย ไม่โดดเด่น แต่องค์ชายสามในวันนี้ บนตัวสวมชุดผ้าไหมชั้นดี ปกคลุมด้วยชุดคลุมสีดำ บนสายคาดเอวปักเต็มไปด้วยทองและหยก นั่งอยู่ท่ามกลางผู้คนอย่างโดดเด่นสะดุดตา
“คุณหนูตันจู…” องค์ชายสามทักทายด้วยรอยยิ้ม
ยังพูดไม่ทันจบ เฉินตันจูวิ่งมาตรงหน้าเขา ยื่นมือจับแขนเสื้อของเขาเอาไว้ ก่อนจะให้อีกฝ่ายเดินขึ้นชั้นบน “องค์ชายตามหม่อมฉันมาเพคะ”
องค์ชายสามถูกเฉินตันจูดึงเอาไว้ ทำได้เพียงลุกขึ้นเดินตาม ทั้งสองคนเดินขึ้นชั้นสองท่ามกลางสายตาหลบๆ ซ่อนๆ ของทุกคน บรรยากาศชั้นหนึ่งผ่อนคลายลงทันที ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะสบตาซึ่งกันและกัน คุณหนูตันจูกระทำการตามอำเภอใจอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชายสาม จากนั้นสายตาเบนเบี่ยงไปยังอีกคน จางเหยาที่นั่งอยู่ด้านล่างขององค์ชายสาม
องค์ชายสามทำเพื่อคุณหนูตันจู คุณหนูตันจูทำเพื่อจางเหยานี้ ซับซ้อนยิ่งนัก…
จางเหยานั่งอยู่ ราวกับมองไม่เห็นคุณหนูตันจูเดินเข้ามา อีกทั้งมองไม่เห็นองค์ชายสามจากไปกับคุณหนูตันจู ยิ่งไม่สนใจสายตาของคนรอบด้าน เขานั่งปล่อยความคิดไปไกล
“องค์ชายมาได้อย่างไรเพคะ” ยืนอยู่บนทางเดินชั้นสอง เฉินตันจูถามอย่างรีบร้อน ก่อนจะมองเหล่าบัณฑิตที่กลับมาสนทนากันเสียงเบาเหมือนเดิมบริเวณชั้นล่าง “คนเหล่านี้ท่านเชิญมา?”
องค์ชายสามพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่ เหล่าผู้มีความสามารถที่คุณหนูตันจูต้องตา ข้าก็ตามไปดูด้วยความอยากรู้”
เขายังหยอกล้อ เฉินตันจูขมวดคิ้วถอนหายใจ “องค์ชาย ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้”
องค์ชายสามหุบยิ้ม “ย่อมต้องทำเพื่อช่วยสหาย คุณหนูตันจูไม่ต้องการสหายคนนี้หรือ”
เฉินตันจูถอนหายใจ “หม่อมฉันไม่ใช่ไม่ต้องการสหายอย่างองค์ชาย หากแต่ความช่วยเหลือขององค์ชายไม่ถูกเวลา”
องค์ชายสามอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ความช่วยเหลือยังต้องคำนึงเวลาด้วยหรือ”
“แน่นอน” เฉินตันจูทำหน้าเครียด “เวลานี้ เรื่องนี้ไม่ได้สำคัญนัก อีกทั้งไม่ใช่เรื่องความเป็นความตาย เพียงแค่ชื่อเสียงที่เสื่อมเสีย ท่านคิดว่าหม่อมฉันสนใจชื่อเสียง? องค์ชายท่านพัวพันเข้ามา ทำให้ชื่อเสียงของท่านต้องเสื่อมเสียไปด้วย”
ครานี้ฮ่องเต้ปกป้องนางเพราะเห็นแก่หน้าของโอรสตนเอง ครั้งหน้าเล่า? เรื่องบุญคุณยิ่งใช้ยิ่งบอบบาง
“องค์ชาย ท่านเป็นที่พึ่งใหญ่ที่สุดของหม่อมฉันเฉินตันจู เป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุด ใช้ในเรื่องนี้ ช่างเป็นการใช้ที่ไม่เหมาะสม สิ้นเปลืองอย่างยิ่ง”
ได้ยินเสียงบ่นพึมพำของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะมองสีหน้าขุ่นเคืองปนเสียดายของนาง ไม่ใช่การแสร้งทำเป็นปฏิเสธ รอยยิ้มในดวงตาขององค์ชายสามเปล่งออกมา “ข้าเป็นอาวุธร้ายแรงอันใดกัน อยู่ด้วยร่างกายที่ป่วยเช่นนี้”
“ย่อมต้องเป็นอาวุธร้ายแรง” เฉินตันจูไม่รับคำสงสัย “องค์ชายสามเป็นผู้ที่เก่งกาจอย่างเป็นที่สุด ป่วยแต่ยังสามารถมีชีวิตอยู่ถึงบัดนี้”
ประโยคนี้ดูไม่เหมือนคำชื่นชมมากนัก เฉินตันจูพูดออกมาก่อนจะคิดในใจ ส่วนทางองค์ชายสามหัวเราะร่าออกมา
“ในเมื่อคุณหนูตันจูรู้ว่าข้าเก่งที่สุด เจ้ายังกังวลสิ่งใดอีก” องค์ชายสามพูด “ครานี้ข้าช่วยเหลือเจ้า เมื่อรอเจ้าถึงเวลาแห่งความเป็นความตาย ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอีกครั้ง”
คำพูดที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ พูดออกมาจากปากขององค์ชายสามผู้อ่อนโยน ฟังดูแล้วประหลาดยิ่งนัก เฉินตันจูอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก่อนจะถอนหายใจ “หม่อมฉันแค่รู้สึกว่าทำให้องค์ชายเดือดร้อน”
องค์ชายสามไม่ได้มองนาง เขาจับราวมองคนด้านล่าง ระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน มีบัณฑิตสามัญชนอีกสองสามคนเดินเข้ามา จากเริ่มแรกที่เดินเข้าหอไจซิงอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เมื่อเข้ามาแล้วก็แทบอยากจะหาร่องหลบซ่อนตัว ทั้งๆ ที่คนทั้งกลุ่มอยู่ด้วยกัน แต่พูดคุยกันราวกับโจร แต่เมื่อผ่านไปครึ่งวัน สถานการณ์ก็ดีขึ้นมากแล้ว…อาจเพราะคนมากทำให้ใจกล้าขึ้น คนที่เดินทางมาในภายหลังเดินเข้ามาอย่างเปิดเผย อีกทั้งยังมีสามัญชนที่ร่ำรวยจากที่ใดไม่รู้เดินทางมาด้วยรถสีทองอร่าม คลุมชุดปักด้ายทอง สวมรองเท้าฝังอัญมณีเดินเข้ามาในหอ
เสียงฮือฮาด้านนอกยิ่งดังมากขึ้น ภายในหอไจซิงคึกคักขึ้นเช่นกัน
องค์ชายสามมองดูผู้คนที่แนะนำตัวด้านล่าง อีกทั้งยังมีเหล่าบัณฑิตที่รวมตัวกันถกเถียงบทกวีเสียงเบา
“คุณหนูตันจูอย่ารู้สึกว่าทำให้ข้าเดือดร้อน” เขาพูด “ชีวิตของข้าฉู่ซิวหยงในชาตินี้ เป็นครั้งแรกที่ยืนอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ถูกคนมองเห็นมากมายเช่นนี้”
เขาจับราวบันได หันไปยิ้มให้เฉินตันจู
“สามารถช่วยเหลือคุณหนูตันจูได้ เป็นเกียรติของข้า”
ชายหนุ่มที่อ่อนโยนเดิมทีก็มีรอยยิ้มตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เมื่อเขายิ้มให้อย่างแท้จริง อีกฝ่ายย่อมรู้สึกได้ถึงคำว่ายิ้มจนทั้งเมืองหลงใหล
เฉินตันจูหน้าแดงขึ้น ก่อนจะครุ่นคิด เมื่ออดีตชาติองค์ชายสามก็ยิ้มให้หญิงสาวเมืองฉีเช่นนี้หรือไม่ หญิงสาวเมืองฉีเฉือนเนื้อก็เป็นเรื่องที่เต็มใจ
“ได้” นางหลบสายตา มองลงไปชั้นล่าง ก่อนจะตบราวบันใด “ครานี้ไม่เพียงถูกคนจำนวนมากมองเห็น อนาคต ชาติหน้า คนนับพันหมื่นย่อมต้องมองเห็นองค์ชาย”
แต่ในเวลานี้ หวังเจียนคงไม่ได้เห็นกับตาแล้ว ถึงแม้จดหมายที่จู๋หลินเขียนจะเพิ่มมากขึ้นอีกหลายสิบใบ แต่ก็ไม่อาจทำให้พึงพอใจได้…ยิ่งไปกว่านั้น จดหมายที่จู๋หลินเขียนถึงแม้จะมีมาก แต่เนื้อหาเรียบง่ายเกินไป
อาทิสามวันนี้ประลองสิ่งใด ทางนี้ผู้ใดขึ้นประลอง ทางนั้นส่งผู้ใดขึ้นมา ผู้ใดพูดสิ่งใด ผู้ใดพูดสิ่งใดตอบ สุดท้ายผู้ใดชนะ…
“เนื้อหาเล่า คำพูดตอนอภิปรายเล่า” หวังเจียนสั่นจดหมายด้วยความโกรธ “การถกเถียงหลักการ แต่ละคำแต่ละจุด ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ!”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กถือพู่กันตรวจรายงานทางการทหาร ได้ยินดังนี้จึงพูดขึ้น “อย่ารีบร้อน การถกเถียงทางหลักการย่อมต้องรวบรวมเป็นตำรา เมื่อถึงเวลาเจ้าค่อยอ่าน”
ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ไม่สนุกเท่ากับการเห็นกับตาของตนเอง หวังเจียนถอนหายใจ จินตนาการถึงเหตุการณ์นั้น หอทั้งสองเผชิญหน้ากัน เหล่าบัณฑิตหยูถกเถียงกันอย่างดุเดือดถึงหลักการตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันบนถนน ความรู้ของเหล่าบรรพบุรุษถูกเอ่ยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง…
“อาจารย์หยูแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนไม่ยอมออกหน้า เวลานี้แอบหลบซ่อนไปฟัง อีกทั้งมีคนอดทนไม่ได้ เดินขึ้นไปพูดด้วยตนเอง สุดท้ายถูกอาจารย์หยูสามัญชนจากต่างถิ่นบีบเค้นถามไถ่จนต้องลงจากเวทีประลองอย่างอับอาย”
“อาจารย์หยูท่านนั้นถึงแม้จะมีชาติกำเนิดเป็นสามัญชน แต่เขาเปิดการถ่ายทอดวิชาในท้องถิ่นมาสิบกว่าปี ลูกศิษย์มากมาย แต่เนื่องจากชาติกำเนิด ทำให้เขาไม่ได้รับความสำคัญ เวลานี้มีโอกาส ดุจดั่งเสือหิวที่ลงจากภูเขา นักรบที่ห้ำหั่นจนตาแดง เห็นผู้ใดกัดผู้นั้น…”
หวังเจียนส่ายกระดาษจดหมายภายในมือ
“แต่ละคนล้วนตาแดง เหิมเกริมยิ่งนัก”
“อืม เข้าใกล้ผู้ใดย่อมเหมือนผู้นั้น ล้วนเลียนแบบจากเฉินตันจู”
หวังเจียนรู้สึกว่าคำพูดนี้น่าขันยิ่งนัก เขาหัวเราะร่าออกมา ก่อนจะมองแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ไม่สนใจแม้แต่น้อย ภายในใจขุ่นเคืองขึ้นมา…เฉินตันจูไม่ได้กลายเป็นเรื่องขบขันจากการพ่ายแพ้ที่ไม่ได้ประลอง ดูท่าทางได้ใจของเขา!
“ข้าได้ใจที่ใดกัน” แม่ทัพหน้ากากเหล็กเงยหน้าขึ้นมองเขาในที่สุด “การประลองเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ยังไม่ได้ประกาศว่าคุณหนูตันจูได้รับชัยชนะ”
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ ดูท่าทางได้ใจของเขา! ก่อนที่ความคิดจะหมุนเปลี่ยน เขาส่งเสียงขึ้น “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน เวลานี้ผู้ที่ได้ใจที่สุดคงจะเป็นองค์ชายสาม”
พูดพลางลูบคลำเคราสั้น เมื่อคิดถึงคำพูดของแม่ทัพหน้ากากเหล็กก่อนหน้านี้ ไม่ต้องกังวล เฉินตันจูปูทางทอดสะพานแล้ว ย่อมมีคนมาเดิน
เวลานั้นสิ่งที่เขาคิดคือ คนที่เดินจะเป็นเหล่าบัณฑิตสามัญชนที่ใจกล้า มีใจคิดจะหาทางเดินในอนาคต แต่ไม่คิดว่า ผู้ที่เหยียบลงบนสะพานและทางของคุณหนูตันจูจะเป็นองค์ชายสาม
“ดูไม่ออกเสียงจริง องค์ชายสามที่แท้เป็นผู้ที่ใจกล้าบ้าคลั่งเช่นนี้ ช่าง…”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กถือพู่กัน น้ำเสียงแหบพร่า “อย่างไรแล้วก็ยังอายุน้อย เป็นความรักที่ร้อนรุ่มยิ่งนัก”
หวังเจียนยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกแม่ทัพหน้ากากเหล็กแทรกขึ้น เขาแทบจะสำลักน้ำลายตนเอง
ความรักที่ร้อนรุ่นอันใดกัน องค์ชายสามรักผู้ใด เฉินตันจูหรือ