บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 204 หนึ่งคำ
ว่าตามความรู้หรือ
มือขององค์หญิงจินเหยาที่กำแน่นผ่อนคลายลง ภายในใจถอนหายใจ นางศึกษามาจนถึงบัดนี้เป็นเวลาสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่บังอาจถกเถียงความรู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถกเถียงความรู้ต่อหน้าสวีซินแส
ขอความรู้ก็ว่าไปอย่าง
แต่ซักถามสวีซินแสเรื่องการตัดสินความรู้ของคนผู้หนึ่งไม่ผ่าน ผู้ใดมีสิทธิ์นี้
“บอกแล้วว่าไม่ต้องพูดมาก” องค์หญิงจินเหยาพึมพำ “บุกเข้าไปโดยตรงก็จบแล้ว”
หากจะว่าด้วยวาจา ผู้ใดสามารถชนะผู้ที่เรียนหนังสือได้
องค์ชายสามยืนเงียบอยู่ด้านข้าง ถอนหายใจเสียงเบา เขามองเฉินตันจูด้วยความเป็นห่วงผ่านหิมะที่ตกลงมา
เฉินตันจูไม่เกรงกลัวหรือละอายเมื่อเผชิญหน้าต่อความเหยียดหยามของสวีลั่วจือ ความดูถูกที่มาจากรอบด้าน
ความรู้หรือ
“ใช่ หากถกเถียงความรู้กับสวีซินแสท่าน ข้าไม่มีสิทธิ์ แต่…” นางยิ้ม สายตาดุดัน “หากพูดถึงความรู้ของจางเหยา ข้าใช้ชีวิตของข้าสาบาน สวีซินแสท่านคิดผิด!”
เพราะความรู้ของจางเหยา แลกมาด้วยชีวิตของเขาเมื่ออดีตชาติ!
สวีลั่วจือไม่แม้แต่จะตอบ ยิ้มอย่างเพิกเฉยและดูถูก
ผู้ช่วยคนหนึ่งยิ้มเยาะ “คุณหนูตันจูปฏิบัติต่อสหายด้วยความจริงใจ แต่ความจริงใจนั้น ไม่เกี่ยวกับความรู้”
เรื่องของความรู้ ไม่ใช่แค่รู้สึกว่าเขาดี เขาก็จะดี
นักเรียนทั่วทั้งพื้นที่ที่ทนฟังมาเป็นเวลานาน อดทนไม่ไหวอีกต่อไป…สิ่งที่หยางจิ้งพูดเป็นเรื่องจริง
เฉินตันจูมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับจางเหยา หญิงโฉดชายชั่ว ดูท่าทางที่เฉินตันจูปกป้องจางเหยา!
ช่างเป็นความอับอายอันยิ่งใหญ่ของกั๋วจื่อเจี้ยน
ผู้ช่วยอาจารย์หยูพูดจาอ่อนน้อม แต่พวกเขาไม่
“เฉินตันจู รู้สึกว่าจางเหยาดี พากลับไปอยากดีอย่างไรก็ดีอย่างนั้น”
“เฉินตันจู เจ้าอย่าได้ถกเถียง มาเหิมเกริมในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างลัทธิหยูของพวกข้า”
“คนอย่างจางเหยา ไม่คู่ควรเข้ากั๋วจื่อเจี้ยน”
“ความรู้ของจางเหยาล้วนใช้บนตัวคุณหนูตันจูแล้วกระมัง ถึงได้ทำให้คุณหนูตันจูทำได้เช่นนี้”
“สามัญชน อาศัยนามการศึกษา วางแผนเกาะเกี่ยวหญิงสาว ช่างน่าอับอาย”
ด่าได้ดี นางไม่กลัวพวกเขาด่า นางกลัวว่าพวกเขาจะไม่ด่า!
สายตาของเฉินตันจูกวาดผ่านเหล่านักเรียนท่ามกลางหิมะ หัวเราะเยาะอย่างไม่ยอมแพ้ “จางเหยาไม่คู่ควรเข้ากั๋วจื่อเจี้ยน? ภายในกั๋วจื่อเจี้ยนมีคนไร้ความสามารถยึดครองมากเพียงใด คนจำนวนมากตรงนี้เข้ากั๋วจื่อเจี้ยนอาศัยความรู้หรือ ก็แค่อาศัยตระกูล พวกเจ้าต่างหากอาศัยนามการศึกษา ต้องการชื่อเสียงอย่างรีบร้อน มีเพียงแค่เปลือกนอก ข้าไม่คู่ควรเทียบความรู้กับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าก็ไม่คู่ควรที่จะเทียบความรู้กับจางเหยา!”
เหล่านักเรียนต่างมีชาติกำเนิดสูงส่ง เดิมทีก็เย่อหยิ่งอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้มีสวีลั่วจือและอาจารย์อยู่ ไม่อาจพูดแทนได้ เวลานี้พูดออกมา กลับถูกหญิงสาวผู้มีชื่อเสียงเลวร้าย ผู้ทรยศและไร้คุณธรรมด่าทอ ผู้ใดจะอดทนไหว!
ทันใดนั้นการจู่โจมหมู่จึงเริ่มขึ้น เหล่าอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าถูกเบียดจนโซเซ
องค์หญิงจินเหยาถลกแขนเสื้อขึ้นอีกครั้ง “ครานี้ลงมือได้แล้วกระมัง”
องค์ชายสามรั้งนางเอาไว้อีกครั้ง “ไม่รีบ”
องค์หญิงจินเหยาร้อนใจ “พี่สามท่านเป็นอันใดกัน ท่านยืนห่างออกไป ไม่ต้องให้ท่านลงมือ อย่ารั้งก็พอ”
องค์ชายสามพูดเสียงเบา “เรื่องนี้ไม่อาจจัดการได้ด้วยการลงมือ”
“ผู้ใดสนกัน” องค์หญิงจินเหยาย่อมรู้ มองดูเหล่านักเรียนที่ล้อมรอบโจมตีเฉินตันจู ถึงแม้จะมีองครักษ์ห้าคนล้อมรอบเอาไว้ แต่เฉินตันจูยืนอยู่ด้านหน้าประตูดูอ่อนแออย่างมาก ราวกับเสียงนั้นสามารถทำให้นางล้มลงได้…“ปะทะก่อนค่อยว่ากัน”
ปะทะ ย่อมไม่อาจชนะได้ แต่ปะทะได้กี่คนก็เท่านั้น ระบายความโกรธ
องค์ชายสามมองไปอีกด้าน “อาเสวียนยังไม่ลงมือ ดังนั้นยังไม่ถึงเวลา”
เหตุใดจึงต้องดูโจวเสวียน หากโจวเสวียนลงมือ เฉินตันจูยิ่งเสียเปรียบเข้าไปใหญ่ เหล่านักเรียนของกั๋วจื่อเจี้ยนคิดจะขับไล่เฉินตันจู องครักษ์หลวงก็ดี นางก็ดี ล้วนสามารถยับยั้งได้ แต่หากโจวเสวียนลงมือ แม้ว่าฮ่องเต้เสด็จมาก็รั้งไม่อยู่!
องค์หญิงจินเหยาถลกแขนเสื้อกระทืบเท้า ไม่สนแล้ว นางทำท่าจะพุ่งตรงไปด้านหน้า
ทางด้านสวีลั่วจือสะบัดแขนเสื้อหันหลัง
“ไม่ต้องสนใจนาง” เขาพูดกับเหล่าผู้ช่วยด้วยคิ้วขมวด “แยกย้ายเถิด”
เหล่าผู้ช่วยต่างกระจายตัวปลอบประโลมเหล่านักเรียน
แต่เฉินตันจูยังคงไม่ยอม นางยืนหัวเราะเยาะอยู่หน้าโถง
“พวกเจ้าดูถูกสามัญชน แต่ความรู้ของสามัญชนดีกว่าพวกเจ้าอย่างมาก ความรู้ดีใต้หล้าไม่ได้อยู่แค่ภายในกั๋วจื่อเจี้ยน”
เหล่านักเรียนโกรธมาก พวกเขาต่างดิ้นออกจากการรั้งของเหล่าผู้ช่วย
“พูดจาเหลวไหล!”
“พูดจาเลอะเลือน!”
เฉินตันจูมองนักเรียนที่เบียดเข้ามา “ผู้ใดพูดจาเหลวไหล ประลองก็รู้ไม่ใช่หรือ”
ประลอง ประลองอันใด นักเรียนทั้งหลายผงะ
เฉินตันจูยังไม่ทันพูด ห่างไกลออกไปมีเสียงตะโกนขึ้น “ดี...”
เสียงนี้ทั้งดังทั้งชัด กลบเกลื่อนเสียงฮือฮาทั้งหมด ทะลุผ่านหิมะและสายลม ทุกคนต่างหยุดลง หันหน้าไปตามเสียง เห็นองค์ชายและองค์หญิงที่ถูกเหล่าองครักษ์วังหลวงคุ้มกันไว้ยืนอยู่บริเวณประตู รวมไปถึงชายหนุ่มที่สวมชุดที่ใส่ในเรือนสีฟ้าลายดอก…
โจวเสวียนก้าวออกมา ยกมือขึ้นป้องปากตะโกนอีกครั้ง “ดี!”
สวีลั่วจือรู้ว่าพวกเขามา เดิมทีไม่สนใจนัก แต่เวลานี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังโจวเสวียน
เฉินตันจูเห็นว่าพวกเขาเดินทางมาตั้งนานแล้ว เวลานี้ได้ยินเสียงของโจวเสวียน รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย…นางคิดว่าเขาควรจะลงมือ ไม่ออกเสียง
หากออกเสียง…
เฉินตันจูมองโจวเสวียนที่อยู่ตรงข้าม ถามเสียงเย็น “ดีอันใด คุณชายโจวมีอันใดจะพูดหรือ”
โจวเสวียนกระโดดลงจากบันได เดินมาทางนี้ องค์หญิงจินเหยายกเท้าเดินตาม ครานี้องค์ชายสามไม่ได้รั้งไว้
“ประลองอย่างไรเล่า” โจวเสวียนพูด เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา เหล่านักเรียนต่างหลีกทาง สีหน้าแสดงออกถึงความใกล้ชิดและเคารพ
โจวเสวียนเป็นบุตรชายของโจวชิง ตอนนั้นโจวชิงก็เป็นจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจี้ยน โจวเสวียนสืบทอดความรู้ของโจวชิง อีกทั้งถูกชื่นชมว่าเก่งเสียยิ่งกว่าบิดา ต่อมาเขาละทิ้งการศึกษาเข้าร่วมกองทัพ ไม่เรียนหนังสืออีก ทำให้ผู้เรียนหนังสือจำนวนมากต่างเสียดาย หากเขาศึกษาต่อไปเรื่อยๆ ย่อมสามารถกลายเป็นนักปราชญ์ที่เก่งเสียยิ่งกว่าโจวชิง
โจวเสวียนชี้ไปยังเหล่านักเรียนรอบด้าน
“เจ้าไม่ยอมมิใช่หรือ” เขาพูดเสียงดัง เลิกคิ้วขึ้น “เช่นนั้นให้จางเหยาที่เจ้าพูดถึง นักเรียนสามัญชนประลองกับนักเรียนในกั๋วจื่อเจี้ยน ดูว่าความรู้ของผู้ใดเก่งกว่ากัน”
เช่นนี้หรือ เหล่านักเรียนประหลาดใจเล็กน้อย ถกเถียงเสียงเบา
สวีลั่วจือขมวดคิ้ว “อาเสวียน เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ไม่ต้องสนใจ”
โจวเสวียนยืนต่อหน้าเขา พูดอย่างโกรธเคือง “สวีซินแส ไม่สนใจไม่ได้ นางมายืนชี้จมูกด่าถึงที่แล้ว หากไม่สั่งสอนนาง นางคงไม่รู้ว่าฟ้าสูงแค่ไหนพื้นหนาเพียงใด ซินแสท่านสามารถกลืนความโกรธนี้ลงไปได้ แต่ข้าไม่อาจกลืนลงไปได้” ก่อนจะมองไปยังเหล่านักเรียนรอบด้าน “ทุกท่าน ถูกเฉินตันจูกล่าวหาว่าไม่อาจสู้สามัญชนได้ พวกท่านทนได้หรือ”
โจวเสวียนสวมชุดยาว แต่บริเวณเอวมีดาบเล่มหนึ่งห้อยอยู่ กลิ่นอายของผู้มีการศึกษาและแม่ทัพอยู่รวมกัน ทำให้ชายหนุ่มรอบด้านต่างคึกคะนอง เมื่อได้ยินเขาถาม ผู้ใดจะอดทนได้
“อดทนไม่ได้!”
“ประลองกับนาง!”
“ชื่อเสียงของพวกข้าไม่อาจให้หญิงผู้นี้เหยียดหยามได้!”
พวกเขาต่างตะโกน เสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สายลมและหิมะพัดผ่าน เสียงห้ามปรามของเหล่าผู้ช่วยถูกกลืนกิน
สวีลั่วจือมองโจวเสวียนด้วยคิ้วขมวด “การกระทำนี้ไม่มีความจำเป็น”
การรับมือกับหญิงสาวเช่นนี้ การไม่สนใจย่อมเป็นการเหยียดหยามอย่างยิ่งใหญ่ การสนใจนางย่อมเป็นการเสียชื่อเสียงของกั๋วจื่อเจี้ยน
โจวเสวียนคำนับเขาอีกครั้ง “ใต้เท้าสวี ท่านไม่ต้องกังวล เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน เรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเล็ก แค่เป็นการประลองของผู้มีการศึกษา”
การประลองของผู้มีการศึกษา เมืองหลวงมีผู้มีการศึกษามากมายเพียงใด เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก หากแต่เป็นเรื่องของความรู้ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ของลัทธิหยู สุดท้ายก็ไม่อาจไม่เกี่ยวกับเขา
สวีลั่วจือมองโจวเสวียน ไม่พูดสิ่งใด เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เหมือนต้องการทวงความยุติธรรมให้กั๋วจื่อเจี้ยน หากแต่ต้องการทำให้เป็นเรื่องใหญ่
เฉินตันจูมองไปทางโจวเสวียนเหมือนกัน ใบหน้าที่บึ้งตึงและขุ่นเคืองในเดิมทีผ่อนคลายลง จากนั้นเผยรอยยิ้มท้าทายออกมา
เฉินตันจูไม่มีสิทธิ์ซักถามการตัดสินความรู้คนผู้หนึ่งของสวีลั่วจือ แต่ผู้ที่มีการศึกษามากมายเพียงนี้ ดวงตาและปากมากมาย ภายใต้กลางวันแสกๆ ใต้เท้าโอรสสวรรค์ คนผู้หนึ่งสามารถไร้มโนธรรม แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ไร้มโนธรรม
ความรู้ของคนผู้นี้ได้หรือไม่ได้ ฟ้าก็ปิดบังไม่อยู่!