บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 191 ขอไปที
เหยาฝูที่ได้รับข่าวทอดทิ้งคุณชายเหวินไว้ด้านหลัง ส่วนหลี่จวิ้นโส่วที่ได้รับข่าวก็ปวดหัวไม่น้อย
“เหตุใดนางจึงมาอีกแล้ว” เขายื่นมือกุมขมับ น้ำชาที่เพิ่งชงเสร็จก็ดื่มไม่ลง
“ราวกับชนคนเข้าขอรับ” ขุนนางคนหนึ่งพูด
หลี่จวิ้นโส่วผงะ นั่งตัวตรง “ผู้ใดชนผู้ใด”
มีคนบังอาจกล้าชนเฉินตันจู บุรุษที่แท้จริง!
ขุนนางยิ้มขมขื่น “ย่อมต้องเป็นเฉินตันจูชนคนอื่น”
หลี่จวิ้นโส่วเบะปาก รถม้าที่มุทะลุของเฉินตันจูนั้นเพิ่งชนคนในเวลานี้ก็ทำให้เขาแปลกใจอย่างมากแล้ว
“ชนคนยังมาฟ้องร้องอีก ช่าง…” หลี่จวิ้นโส่วยื่นมือก่ายหน้าผาก ทั้งสมองกำลังค้นหากฎเกณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับการตัดสิน
ขุนนางอีกคนพูดเสียงเบา “ครานี้คนที่ถูกชนเป็นคนฟ้องขอรับ เพราะว่าคุณหนูตันจูต้องการขับไล่เขาออกจากเมืองหลวง คนผู้นี้คือบุตรชายของเหวินจง เหวินจ้านขอรับ”
ที่แท้คนฟ้องไม่ใช่เฉินตันจู เช่นนั้นเขาย่อมไม่ต้องสนใจ สมองของหลี่จวิ้นโส่วกระจ่างในทันที
อีกทั้งคนที่ถูกชนยังเป็นบุตรชายของเหวินจง เหวินจงและเฉินเลี่ยหู่ยังเป็นคู่อริเก่า
ในเมื่อเป็นคู่อริเก่า หลี่จวิ้นโส่วย่อมไม่แทรกแทรง เขาผายมือ “บอกว่าข้าเป็นลมล้มกะทันหัน เรื่องความขัดแย้งรถชนให้พวกเขาจัดการเอง หรือไม่อีกสิบวันค่อยมาใหม่”
เมื่อได้ยินเหตุผลแบบขอไปทีนี้ ราษฎรที่มุงดูอยู่ด้านนอกประตูต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้น เห็นได้ชัดว่ากำลังปกป้องเฉินตันจู เอาเถิด ทุกคนต่างเคยชินแล้ว ทั้งบนทั้งล่างต่างปล่อยปละเฉินตันจู ไม่สนใจการกระทำชั่วร้ายของนาง เพียงแค่เฉินตันจูฟ้องร้อง พวกเขาก็จับคนอย่างไม่ถามความถูกต้อง อาทิคุณชายตระกูลหยางผู้น่าสงสารในเวลานั้น…คุณชายตระกูลหยางท่านนั้นยังถูกขังไว้ในคุกหรือไม่
หากเป็นผู้อื่นมาฟ้องร้อง ที่ว่าการก็ปิดประตูไม่รับคดีทันที?
ด้านนอกที่ว่าการเต็มไปด้วยเสียงโกลาหล ทุกคนต่างมองดูคุณชายที่ยืนเลือดกำเดาไหลด้วยร่างกายที่สั่นไหว สายตาเห็นใจนับไม่ถ้วนต่างจับจ้อง ก่อนจะหันไปมองเฉินตันจูที่ยังคงนั่งอยู่บนรถม้าอย่างไม่ทุกข์ร้อน…ทุกคนต่างใช้สายตาแสดงออกถึงความขุ่นเคือง
สำหรับการปฏิเสธของที่ว่าการ คุณชายเหวินไม่แปลกใจมากนัก เขารู้มานานแล้วว่าคนอย่าง
หลี่จวิ้นโส่วเป็นสุนัขรับใช้ของเฉินตันจูเสมอมา
เขามาฟ้องร้องก็เพียงแค่ต้องการถ่วงเวลา รอคอยผู้ที่สามารถจัดการกับเฉินตันจูเดินทางมาเท่านั้น
แต่เวลานี้ เขาไม่พบโจวเสวียนหรือคนของพระราชวังเดินทางมาแม้แต่น้อย สีหน้าของคุณชายเหวินซีดเผือดลงอย่างแท้จริง ร่างกายก็เริ่มยืนไม่ไหว
“คุณหนูสี่ตระกูลเหยาบอกว่ารู้แล้วจริงหรือ” เขาถามเสียงเบาในขณะที่ถูกผู้ติดตามพยุง
สีหน้าของผู้ติดตามก็ซีดเผือด ร่างกายสั่นเทา “ขอรับ จริงแท้แน่นอน ขันทีผู้นั้นบอกข้าเอง”
แต่เวลานี้ยังไม่มา ดูท่าทางจะพึ่งพาไม่ได้แล้ว คุณชายเหวินกระจ่างในหัวใจคนยิ่งกว่าผู้ใด ทำอย่างไรดี
“คุณชายเหวิน ที่ว่าการบอกให้พวกเราจัดการกันเอง ท่านดูว่าท่านยังต้องการไปฟ้องร้องที่อื่น…”
เฉินตันจูพิงหน้าต่างรถเอ่ยถามเสียงดัง
ที่อื่น? พระราชวัง? ฮ่องเต้หรือ เฉินตันจูนี้คิดจะเหยียบเขาวางแผนต่อโจวเสวียนหรือ ร่างกายของคุณชายเหวินอ่อนระทวย ก็แค่แสร้งเป็นลมไม่ใช่หรือ หลี่จวิ้นโส่วทำได้ เขาก็ทำได้…
“คุณชาย…” ผู้ติดตามตะโกนออกมาด้วยความปวดใจ กอดคุณชายเหวินเอาไว้แน่น แต่สุดท้ายก็ล้มลงตามด้วยความหมดแรง
น่าสงสาร…ราษฎรรอบด้านต่างมุงเข้ามาอย่างกะทันหัน
คนเป็นลมล้มลงไปแล้ว คงจะทำได้เพียงส่งกลับจวนให้ไต้ฟูดูอาการ
เฉินตันจูลงมาจากรถ ทุกคนต่างหลบหลีกเมื่อนางเดินผ่าน มองดูนางเดินไปถึงตรงหน้าของ
คุณชายเหวินที่เป็นลมไปท่ามกลางองครักษ์สิบคนและสาวรับใช้หนึ่งคน
“จู๋หลิน” เฉินตันจูพูดอย่างเย็นชา “พวกเจ้าส่งคุณชายเหวินกลับจวน ให้คนของตระกูลเหวินเก็บสัมภาระ รอคุณชายเหวินฟื้นขึ้นมา ค่อยส่งเขาออกนอกเมืองไป”
นางยังคิดจะขับไล่คนออกไป! เฉินตันจูช่างเสียสติเสียจริง เหล่าราษฎรอดที่จะวิจารณ์เสียงเบาด้วยความขุ่นเคืองไม่ได้
เฉินตันจูไม่สนใจ นางมองคุณชายเหวินที่นอนอยู่ในอ้อมอกของผู้ติดตาม
“ไม่ต้องเสแสร้ง” นางก้มตัวพูด “เจ้าอย่าคิดจะอยู่ในเมืองหลวงต่ออีกเลย”
คุณชายเหวินลืมตาขึ้น มองนาง เสียงกดต่ำด้วยความแค้น “เฉินตันจู ไม่มีที่ว่าการ ไม่มีการตัดสิน ท่านมีสิทธิ์ใดขับไล่ข้า…”
“คุณชายเหวิน” เฉินตันจูพูดขัดเขา ยิ้มบาง “ข้าย่อมต้องใช้สิทธิ์องครักษ์หลวงสิบคนข้างกายข้า”
นางชี้ไปยังด้านหลัง
จู๋หลินและคนอื่นต่างยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย
สีหน้าของคุณชายเหวินซีดเผือด องครักษ์หลวงคือสิ่งใด เขาย่อมรู้
องครักษ์หลวง…
“ท่านฉลาดเพียงนี้ ระมัดระวังจนกล้าแต่หลบอยู่ด้านหลังวางแผนทำร้ายข้า ท่านจะไม่รู้ว่าข้าเฉินตันจูสามารถเหิมเกริมได้เพราะเหตุใดหรือ” เฉินตันจูยืนตัวตรง มองเขาจากที่สูง ไม่ออกเสียง เพียงแต่ขยับปาก “เพราะฝ่าบาท”
ฝ่าบาท ฮ่องเต้ ฮ่องเต้ให้นางเหิมเกริม ฮ่องเต้ต้องการให้นางเหิมเกริม คุณชายเหวินหลับตาลง ครานี้เขาเป็นลมหมดแรงไปอย่างแท้จริง
คุณชายเหวินที่เป็นลมถูกคนของเฉินตันจูส่งกลับจวน ราษฎรที่รวมตัวกันทำได้เพียงวิจารณ์เรื่องนี้ก่อนจะแยกย้ายกันไป
หลิวเวย อาอวิ้นและจางเหยาติดตามมาตั้งแต่เหตุการณ์รถชนที่แม่น้ำฉินหวายจนกระทั่งหน้าที่ว่าการ พวกเขาทั้งสามคนเบียดอยู่ด้านหลังฝูงชน มองดูการฟ้องร้องนี้ถูกปฏิเสธ มองดูคุณชายเหวินเป็นลมล้มลงไป มองดูเฉินตันจูนั่งรถจากไป แต่พวกเขาไม่ได้เดินขึ้นไปทักทาย
เหล่าราษฎรต่างแยกย้ายกันไป อาอวิ้นทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดระหว่างคนทั้งสาม “พวกเราก็ไปกันเถิด”
หลิวเวยหันไปมองจางเหยา จางเหยารีบพยักหน้า “ไปเถิด ไปเถิด คนที่รออยู่ในจวนเป็นห่วงแล้ว” ก่อนจะยิ้มเขินอายเล็กน้อย “ข้าเดินทางไปครั้งแรกด้วย”
อาอวิ้นพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ไม่ต้องกังวล ก่อนมาข้าบอกกับคนในจวนแล้วว่าจะพาท่านพี่ดูทิวทัศน์ข้างทางไปด้วย อาจถึงจวนช้าเล็กน้อย”
จางเหยาพูด “อย่างไรก็ต้องไปให้ทันทานข้าว”
ประโยคนี้ทำให้อาอวิ้นและหลิวเวยต่างหัวเราะ ความอึดอัดเพราะเรื่องของเฉินตันจูก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง
“ท่านพี่มีอารมณ์ขันเสียจริง” อาอวิ้นชื่นชม ก่อนจะกำชับให้คนเคลื่อนรถเร่งความเร็ว เดินทางออกไปทางนอกเมือง
จางเหยายังคงนั่งอยู่กับคนเคลื่อนรถ ชื่นชมทิวทัศน์สองข้างทาง
อาอวิ้นพูดกับหลิวเวยเสียงเบา “คุณชายจางดูท่าทางมีอารมณ์ขันอย่างมาก ดีไม่น้อย”
หลิวเวยถลึงตาใส่นาง พูดเสียงเบา “คำก็ท่านพี่สองคำก็ท่านพี่ ไม่เห็นท่านสนิทกับเหล่าท่านพี่ในตระกูลมากนัก”
อาอวิ้นปิดปากยิ้ม พูดเสียงเบา “เมื่อถึงจวนเจ้าก็จะรู้ เหล่าพี่น้องต่างปฏิบัติกับเขาอย่างเป็นมิตรเหมือนข้า ท่านย่าสั่งเอาไว้แล้ว ต้องให้เขานั่งตำแหน่งท่านพี่ให้มั่น”
เมื่อเป็นท่านพี่ เป็นญาติกันแล้ว ย่อมไม่อาจแต่งงานกันได้อีก
หลิวเวยเข้าใจความหมายของท่านยาย พูดเสียงเบา “อันที่จริงไม่ต้องกังวลเช่นนี้ เขาบอกว่าจะถอนหมั้น ไม่มีทางกลับคำ”
อาอวิ้นมองไปยังม่านรถ ม่านรถบดบังร่างของชายหนุ่มด้านนอกเอาไว้
“ใจคนไม่แน่นอน บอกว่าเปลี่ยนก็เปลี่ยน” นางพูดเสียงเบา ก่อนจะหัวเราะออกมา “แต่ว่า เขาคงไม่เป็นเช่นนั้น อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่เพียงเห็นว่าคุณหนูตันจูน่ากลัวเพียงใดกับตา…”
คุณหนูตันจูสนิทกับหลิวเวยเช่นนี้ หากจางเหยากล้ากลับคำ คุณหนูตันจูขับไล่เขาออกไปเป็นเรื่องง่ายดาย เห็นหรือไม่ คุณหนูตันจูชนคน ยังต้องการขับไล่คนออกจากเมืองหลวง ที่ว่าการยังไม่สนใจ
ถึงแม้เห็นเหตุการณ์กับตา แต่ทั้งสามคนไม่มีผู้ใดพูดถึงเฉินตันจู ยิ่งไม่มีการวิจารณ์ เวลานี้อาอวิ้นพูดออกมา สีหน้าของหลิวเวยกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เมื่อเห็นสหายที่ดีทำเรื่องเช่นนี้ ก็ราวกับตนเองเป็นคนกระทำ
จากหลักของเหตุผลนางไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเฉินตันจู แต่จากหลักของอารมณ์…คุณหนูตันจูดีต่อนางเช่นนี้ ภายในใจของนางไม่อยากคิดคำที่ไม่ดีมาบรรยายเฉินตันจู
สำหรับหลิวเวยที่มีชีวิตสงบสุขแล้ว เป็นครั้งแรกที่นางตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ ดวงวิญญาณของนางกำลังถูกซักถาม
หลังจากนั้นสามวัน คุณชายเหวินนั่งรถเดินทางออกจากเมืองหลวง
ตัวเองชนคนแล้วยังขับไล่คนอีก การรังแกคนของเฉินตันจูในครั้งนี้ยิ่งพัฒนามากขึ้นไปอีกระดับ
ถึงแม้เหล่าราษฎรจะวิจารณ์ แต่ที่ว่าการและราชสำนักไม่สนใจแม้แต่น้อย เหล่าตระกูลใหญ่ต่างก็ไม่โกรธเคือง
“ตระกูลเหวินและตระกูลเฉินมีความแค้นเก่าต่อกัน” นายท่านตระกูลหนึ่งพูดกับบุตรหลานของตนเอง “หลังจากเหวินจงได้รับความชื่นชอบจากท่านอ๋องอู๋ เฉินเลี่ยหู่จึงถูกท่านอ๋องอู๋ทอดทิ้งและปลดอำนาจ เวลานี้แค่กลับกันเท่านั้นเอง เฉินตันจูเป็นคนโปรดปรานของฮ่องเต้ ย่อมต้องจัดการกับบุตรหลานของเหวินจง”
ดังนั้นเหล่าชนชั้นสูงของเมืองอู๋เดิมต่างระลึกว่าตนเองเคยกระทำผิดต่อเฉินเลี่ยหู่หรือไม่อย่างกังวล ส่วนชนชั้นสูงที่เดินทางมาใหม่ดูเหตุการณ์อย่างสนุกสนาน
ภายในพระราชวังย่อมรู้เรื่องนี้
เหยาฝูถูกเหยาหมิ่นลงโทษให้คุกเข่าอีกครั้ง
“บอกมา เรื่องจวนของเฉินตันจู เป็นฝีมือของเจ้าอีกหรือไม่”
เหยาฝูร้องทุกข์อย่างไม่เป็นธรรม “ท่านพี่ ไม่ว่าจะเป็นคุณชายเหวินหรือโจวเสวียน ทั้งสองคนนี้ต่างจับจ้องเล่นงานเฉินตันจู จะมาถึงข้าได้อย่างไร ข้าเพียงแค่พูดเรื่องจวนกับองค์ชายห้า คุณชายโจวได้ยิน จึงนึกถึงจวนของเฉินตันจู เขาออกไปถาม คุณชายเหวินนั้นย่อมอยากมอบความช่วยเหลือ”
ก็จริงอย่างที่นางพูด เหยาหมิ่นย่อมรู้ฐานะของคุณชายเหวิน เหล่าชนชั้นสูงในเมืองอู๋เดิมเหล่านี้มีตระกูลใดที่ไม่แค้นเฉินตันจู เมื่อพบโจวเสวียนที่เป็นโอกาส ย่อมไม่มีทางพลาดไป เพียงแค่เสียดายที่เอาชนะเฉินตันจูไม่ได้
“เจ้าควรโชคดีที่เจ้าไม่มีส่วนร่วม มิฉะนั้น เวลานี้เจ้าถูกขับไล่ออกไป ไม่มีผู้ใดปกป้องเจ้าได้” เหยาหมิ่นพูด “ฝ่าบาทรู้เรื่องนี้แล้ว จึงเรียกโจวเสวียนเข้าไปต่อว่าอีกครั้ง”
เหยาฝูถามอย่างสงสัย “ไม่ว่าอย่างไร การกระทำของเฉินตันจูช่างทำลายมโนธรรม แต่ฝ่าบาทยังตำหนิโจวเสวียน?”
ไม่ว่าจะมีความแค้นอย่างไร รังแกผู้อื่นย่อมต้องมีเหตผุลที่เป็นไปได้ การกระทำของเฉินตันจูในครั้งนี้ไม่มีแม้แต่เหตุผล…ไม่มีแม้แต่การวางแผนให้คุณชายเหวินชนรถของนาง
ช่างกำเริบเสิบสาน ฮ่องเต้ไม่พูดอะไรก็แล้วไป แต่เมื่อรู้แล้วยังตำหนิโจวเสวียน
“ใช่ ฝ่าบาทรู้ว่าโจวเสวียนซื้อจวนเพราะมีคุณชายเหวินออกแรงอยู่ด้านหลัง” เหยาหมิ่นพูดอย่างเรียบเฉย “บอกว่าคุณชายเหวินสมควรถูกลงโทษ ให้โจวเสวียนไม่ต้องสนใจ อย่าไปให้ผู้อื่นหลอกใช้”
พูดถึงตรงนี้ นางก็เหลือบมองเหยาฝูที่คุกเข่าอยู่
“หากเจ้ามีส่วนร่วมด้วย หากฝ่าบาทขับไล่เจ้าไป เจ้าคิดว่าผู้ใดจะปกป้องเจ้าได้”
ไม่เพียงไม่ปกป้อง อีกทั้งยังต้องกำจัดนางเป็นคนแรก ป้องกันการเดือดร้อนไปถึงองค์รัชทายาท
โชคดีที่นางหลบอยู่ในพระราชวัง เฉินตันจูไม่รู้จักนาง มิฉะนั้น…เหยาฝูทั้งหวาดกลัวทั้งอิจฉา เฉินตันจูได้รับความโปรดปรานมากเกินไปแล้ว
“ท่านพี่ ข้าไม่มีทางทำเช่นนั้น ข้าจำคำพูดของท่านกับองค์รัชทายาทได้ ทุกสิ่งรอองค์รัชทายาทเดินทางมาถึงก่อน” นางพูดพลางร้องไห้
เหยาหมิ่นไม่อยากสนใจนางอีก ยืนขึ้นเรียกขานเหล่านางใน “ถึงเวลาไปหาฮองเฮาแล้ว”
นางในเดินเข้ามา เพิกเฉยต่อเหยาฝูที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พูดด้วยรอยยิ้ม “พระองค์ไม่ต้องเสด็จไปเพคะ ฝ่าบาทและองค์หญิงจินเหยาล้วนอยู่ที่นั่น”
เหยาหมิ่นขมวดคิ้ว “ฝ่าบาทกับองค์หญิงอยู่ ข้าก็ไปได้”
นางเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท สามีของนางเป็นที่โปรดปรานที่สุดของฮ่องเต้และฮองเฮา เหตุใดต้องหลบหลีกองค์หญิง
“องค์หญิงจินเหยากำลังถกเถียงกับเหนียงเหนียงเพคะ” นางในอธิบายเสียงเบา “ฝ่าบาทมาไกล่เกลี่ย”
เวลานี้องค์หญิงจินเหยาเติบโตแล้ว อีกทั้งนับวันยิ่งไม่เชื่อฟัง ได้ยินว่าทุกวันนี้วิ่งไปล้มลุกคลุกคลานเนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินโคลนอยู่ในสนามซ้อม ไม่มีท่าทีขององค์หญิงแม้แต่น้อย ชอบเอาชนะเช่นนี้ ต่อไปจะนำมาแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ได้อย่างไร
ก็เพราะใบหน้านั้น ฝ่าบาทถึงได้โปรดปราน
ตามหลักแล้วนางควรไปช่วยฮองเฮา แต่…
เหยาหมิ่นนั่งลง ถามอย่างไม่ใส่ใจ “ถกเถียงเรื่องใด”
นางในพูดเสียงเบา “ยังมีเรื่องใดได้อีก ย่อมต้องเป็นเรื่องของเฉินตันจู เฉินตันจูต้องการจัดงานเลี้ยงขนาดเล็กรับรองสหายที่มาจากต่างถิ่น อีกทั้งยังส่งจดหมายเชิญมาให้องค์หญิงจินเหยา องค์หญิงกำลังร้องขอฮองเฮาให้ปล่อยพระองค์ออกไปเพคะ”
เหยาหมิ่นหัวเราะ “เฉินตันจูยังมีสหายหรือ”
น่าขันสิ้นดี นางในก็หัวเราะตามขึ้นมา
เหยาฝูที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเงี่ยหูขึ้น เฉินตันจูมีสหาย? มาจากต่างถิ่น? สหายอันใดกัน
นางรู้จักเฉินตันจูน้อยเกินไป หากตอนนั้นรู้ว่าบุตรสาวคนรองของเฉินเลี่ยหู่ดุร้ายเพียงนี้ นางย่อมไม่ให้หลี่เหลียงสังหารเฉินตันหยาง หากแต่สังหารเฉินตันจูเสียก่อน มิฉะนั้นนางคงไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้