บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 188 เปิดใจ
ตอนเริ่มแรก จางเหยารู้สึกว่าตัวเองโชคร้าย ไม่ว่าหลบหลีกอย่างไรยังคงถูกเฉินตันจูจับได้
ในเมื่อโชคร้ายย่อมต้องยอมรับ เพียงแค่รักษาโรคทดลองยา เขาแค่ทำตัวเชื่อฟัง เฉินตันจูให้เขาทำอย่างไรเขาก็ทำอย่างนั้น
ไม่คิดว่าการรักษาครั้งนี้จะได้ผล คุณหนูตันจูไม่ได้เหิมเกริมเหมือนดั่งคำร่ำลือ อีกทั้งยังใจดีมีเมตตาอ่อนโยนอย่างมาก…พูดตามตรง จางเหยาเติบโตมาจนถึงเวลานี้ ในความทรงจำคนที่ปฏิบัติดีต่อเขาเช่นนี้มีเพียงมารดาเท่านั้น
ดูท่าทางเฉินตันจูตั้งใจที่จะรักษาโรคขององค์ชายสามอย่างแท้จริง ไม่ใช่การล้อเล่น
แต่ต่อมาเมื่อได้พบกับหลิวเวย จางเหยาก็กระจ่างทันที ที่แท้ไม่ใช่เพราะเขาโชคร้าย อีกทั้งไม่ได้ถูกจับมาเพื่อทดลองยา หากแต่เฉินตันจูต้องการคลายความกังวลให้สหาย
“ข้าไม่ปิดบังเจ้า ตอนที่หมั้นหมายพวกเจ้ายังเด็ก ข้ากับบิดาของเจ้าตกลงกันเอง เวลานี้พวกเจ้าโตแล้ว เวยเวยมีความคิดในเรื่องคู่ครองของตนเอง ดังนั้นนางจึงไม่ยินยอม” หลิวจั่งกุ้ยถอนหายใจพลันพูด “เพราะเรื่องนี้ นางจึงไม่มีความสุขมาเป็นเวลานาน”
จางเหยาพยักหน้า “ท่านลุง ข้าเข้าใจ” ก่อนจะยิ้ม “อันที่จริงข้าก็ไม่ยินยอม ท่านพ่อและท่านแม่แค่ล้อเล่นในเวลานั้น พวกท่านต้องการอธิบายกับท่านลุงให้กระจ่าง เพียงแต่พวกท่านจากไปอย่างรีบร้อน อีกทั้งหน้าที่การงานของท่านพ่อไม่ราบรื่น พวกข้าทำได้เพียงย้ายไปต่างแดน ทั้งสองตระกูลจึงขาดการติดต่อ เรื่องนี้จึงไม่ได้จัดการเสียที”
หลิวจั่งกุ้ยมองเขา “ข้าหมายถึง ถึงแม้เวยเวยไม่ยินยอม แต่พวกเราสามารถนั่งลงหารือกันได้ หาใช่ให้นางหาคนมาข่มขู่เจ้า ข่มเหงเจ้า”
จางเหยาส่ายหัว “ไม่ขอรับ ถึงแม้ตอนที่คุณหนูตันจูจับข้าไป ข้าจะตกใจอย่างมาก แต่นางไม่มีการกระทำข่มขู่แม้แต่น้อย ยิ่งไม่ได้ทำร้ายข้า” พูดถึงตรงนี้เขายิ้มขึ้นอีกครั้ง “ท่านลุง ก่อนหน้านี้ข้าแอบมาเยี่ยมท่านแล้ว”
หลิวจั่งกุ้ยตกตะลึง “จริงหรือ”
จางเหยาพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่คุณหนูเฉินตันจูหาข้าพบ ข้าเข้าเมืองหลวงมาแล้ว เดิมทีตัดสินใจออกเดินทางตอนสิ้นปี แต่เวลานี้สงครามสงบลง เมืองโจวเมืองฉีต่างกลับคืนสู่การควบคุมของราชสำนัก เส้นทางราบเรียบ ข้าจึงติดตามขบวนพ่อค้าเดินทางมาถึงเมืองหลวงอย่างราบรื่น เพียงแต่อาการไอของข้ากำเริบ อีกทั้งเดินทางไปยังที่ต่างๆ เป็นเวลานาน สภาพน่าอนาถยิ่งนัก หากท่านลุงพบสภาพของข้าเช่นนี้ ย่อมต้องเสียใจเป็นแน่ ข้าจึงตัดสินใจรักษาตัวให้หายดีก่อนค่อยมาพบท่านลุง…”
เขายังพูดไม่ทันจบ น้ำตาของหลิวจั่งกุ้ยก็หลั่งไหลลงมา พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “เจ้าเด็กโง่ เจ้าคิดสิ่งใดอยู่ เจ้าป่วยแล้ว เจ้าไม่มาหาข้า เจ้ายังมาเมืองหลวงเพื่ออันใด”
ขอบตาของจางเหยาก็ร้อนผ่าว เขาพยุงแขนของหลิวจั่งกุ้ย “ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้ท่านลุงเป็นกังวล ท่านดู ท่านแค่ฟังก็สงสารจับใจแล้ว หากท่านพบข้า หัวใจของท่านคงต้องแตกสลาย”
หลิวจั่งกุ้ยขบขันในท่าทางของเขา ยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหางตา
“ข้าเดินทางผ่านหุยชุนถัง เห็นท่านลุงแล้ว ท่านลุงยังคงเหมือนกับตอนที่ข้าเจอเมื่อยังเล็ก ร่างกายแข็งแรง” จางเหยายื่นมือทำท่าทาง
หลิวจั่งกุ้ยดึงมือของเขาลง “เอาเถิด อย่าเบี่ยงประเด็นกับข้า พูดต่อ คุณหนูตันจูพูดกับเจ้าอย่างไร”
“คุณหนูตันจูไม่ได้พูดสิ่งใดกับข้า” จางเหยาพูดอย่างเชื่อฟัง “หากไม่ใช่วันนี้นางพาคุณหนูหลิวเวยมา
อย่างกะทันหัน ข้าคงไม่รู้ว่านางรู้จักตระกูลของพวกท่าน นางตั้งใจรักษาโรคให้ข้าเสมอมา ดูแลความเป็นอยู่ของข้า ตัดเสื้อผ้าใหม่ให้ข้า อาหารวันละสามมื้อ…”
เขาชี้ชุดที่สวมอยู่บนร่างกาย พร้อมชี้ใบหน้าของตนเอง
“ท่านดู หนึ่งเดือนมานี้ โรคไอของข้าหายไปกว่าครึ่ง รูปร่างก็สมบูรณ์มากขึ้น ท่าทางแข็งแรงมากขึ้น”
หลิวจั่งกุ้ยมองพินิจเขา ยอมรับในข้อนี้ จางเหยากระปรี้กระเปร่าอย่างมากจริงๆ
“นางอาจต้องการทำดีกับเจ้า โน้มน้าวเจ้า แต่เพราะเรื่องนี้จึงเกิดปากเสียงกับเวยเวย ทั้งสองคนจึงเปิดเผยความจริงกับเจ้าอย่างกะทันหัน” เขาคาดเดา
จางเหยาพยักหน้า เขาเองก็คิดเช่นนี้ เฉินตันจูกระทำเรื่องมากมายเพื่อให้เขาซาบซึ้งและยอมละทิ้งการหมั้นหมาย แต่ไม่รู้เหตุใด สุดท้ายจึงพูดออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้…
เมื่อนึกถึงคุณหนูตันจูที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา จ้องมองเขา พูดว่า จางเหยาบอกจุดประสงค์การเดินทางมาของเจ้า ไม่รู้เป็นเพราะเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกได้ว่า คุณหนูตันจูเข้าใจจุดประสงค์การเดินทางมาของเขาอย่างสิ้นเชิง ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย อีกทั้ง ยังมีความโอ้อวดและได้ใจเมื่อเผชิญหน้ากับคุณหนูหลิวเวยที่เป็นกังวล
โอ้อวดและได้ใจสิ่งใด
โอ้อวดและได้ใจที่จางเหยาเป็นคนประเภทที่นางคิดเอาไว้หรือ
จางเหยาเก็บความคิดที่ล่องลอย พูดกับหลิวจั่งกุ้ยอย่างจริงใจ “ท่านลุง ท่านวางใจเถิด ไม่มีผู้ใดข่มขู่ข้า ข้ามาเพื่อถอนหมั้นอย่างแท้จริง”
หลิวจั่งกุ้ยวางใจลงในที่สุด ก่อนจะพูด “อาเหยา ข้า ข้าขอโทษเจ้า…”
จางเหยาหยุดยั้งคำพูดของเขาเอาไว้ แสร้งทำท่าตระหนก “ท่านลุง ท่านหมายความว่าอย่างไร ไม่ปรองดองเป็นครอบครัวเดียวกัน แม้แต่ลุงหลานก็เป็นไม่ได้แล้วหรือ”
หลิวจั่งกุ้ยขบขันในท่าทางของเขา ยื่นมือตี “เจ้าเด็กคนนี้ พูดจาเหลวไหลอันใดกัน”
เวลานี้มารดาของหลิวเวยเรียกขานหลิวจั่งกุ้ยอยู่ด้านนอก นางพาฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางและหลิวเวยเดินเข้ามา เห็นท่าทางของพวกเขา นางถามด้วยความกังวล “กำลังคุยอันใดกันอยู่หรือ”
จางเหยายิ้ม “ท่านป้า ถึงแม้ไม่ปรองดองเป็นครอบครัว แต่พวกท่านยังคงต้องยอมรับหลานคนนี้ อย่าขับไล่ข้าออกไปนะขอรับ”
มารดาของหลิวเวยตำหนิด้วยความดีใจ “พูดจาเหลวไหลอันใดกัน ผู้ใดกล้าไม่ยอมรับหลานชายคนนี้ ข้าจะขับไล่เขาออกไป”
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางยิ้มอยู่ด้านข้าง “มาแล้วก็ห้ามจากไปแล้ว เจ้าไม่ได้มีเพียงท่านลุงคนเดียว อย่าลืมไปเยี่ยมท่านยายด้วย” ก่อนจะพูดกับมารดาของหลิวเวย “ข้ากลับไปรายงานก่อน ท่านแม่คงทนรอไม่ไหว อยากจะมาพบพี่ชายของเวยเวยคนนี้ด้วยตัวเองแล้ว”
มารดาของหลิวเวย หลิวจั่งกุ้ยและจางเหยารีบบอกว่าไม่กล้า หลิวเวยยืนยิ้มอยู่ด้านหลัง
ฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางบังคับให้จางเหยากำหนดวันที่จะไปเยี่ยมเยือนตระกูลฉางให้ได้จึงจะยอมจากไป คนทั้งตระกูลส่งฮูหยินใหญ่ตระกูลฉางออกจากประตูไปด้วยรอยยิ้ม มองนางจากไปก่อนจะเดินกลับเข้าด้านใน
มารดาของหลิวเวยกลับเข้าไปถึงด้านในโถง นางจึงรีบเรียกคนให้เก็บกวาดที่พักของจางเหยา
หลิวเวยพูด “ท่านแม่ ที่พักของท่านพี่ข้าเก็บกวาดแล้ว ผ้าห่มล้วนเป็นของใหม่”
มารดาของหลิวเวยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “มีพี่ชายเดินทางมาคนหนึ่ง เจ้ารู้กาลเทศะมากขึ้น แต่ก่อนขี้คร้านนัก ไม่สนใจสิ่งอื่นใด”
หลิวเวยถูกตำหนิด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ท่านแม่ ข้าเป็นอย่างนั้นที่ใดกัน”
จางเหยายืมยิ้มอยู่ด้านข้าง
“อาเหยา” มารดาของหลิวเวยจับมือของจางเหยา พูดด้วยน้ำตา “ข้ามีเพียงน้องสาวของเจ้าเป็นบุตรคนเดียว เป็นกังวลหากวันที่ข้ากับท่านลุงเจ้าไม่อยู่แล้ว นางตัวคนเดียวจะถูกรังแก เวลานี้ดีแล้ว มีเจ้ามา ต่อจากนี้เจ้าเป็นพี่ชายของนาง ดูแลนาง ต่อไปหากพวกข้าตายไปก็สบายใจได้”
“ท่านแม่” หลิวเวยทั้งเศร้าโศกทั้งระอา “วันมงคลเช่นนี้ ท่านพูดเรื่องนี้ด้วยเหตุใด”
จางเหยาโค้งคำนับมารดาของหลิวเวย “ตอนที่ท่านแม่ข้ายังอยู่มักพูดถึงความดีของท่านป้า นางบอกว่าวันที่นางมีความสุขที่สุด คือการอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงบริเวณเชิงเขากับท่านป้าตอนที่ท่านพ่อเรียนหนังสือ ท่านป้า ข้าไม่มีพี่น้องคนอื่น มีน้องเวยเวย ข้าก็ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”
มารดาของหลิวเวยจับมือของเขาพยักหน้าทั้งน้ำตา หลิวจั่งกุ้ยตอบรับด้วยความดีใจ ภายในจวนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะไม่ขาดสาย ทั้งคึกคักและสนุกสนาน
เมื่อค่ำคืนมาเยือน คนทั้งตระกูลที่ประสบกับความตื่นตระหนกและดีใจต่างผล็อยหลับไปอย่างเหนื่อยล้า มีเพียงห้องของจางเหยาที่ยังคงสว่างอยู่
จางเหยาแทบจะรื้อชั้นวางตำราทรุดโทรมของตนเองทิ้ง ลังไม้ทั้งสองที่บรรจุเต็มไปด้วยเสื้อผ้าอาหารและยาที่เฉินตันจูมอบให้ต่างถูกรื้อค้น แต่อย่างไรก็หาจดหมายนั้นไม่เจอ
เขาเปิดเสื้อออก ลูบคลำจากบนลงล่างอย่างละเอียดอีกครั้ง มั่นใจว่าไม่มีจริงๆ
แต่หายคงไม่หาย เขาคิดว่าคงถูกคนหยิบไป
ส่วนคนผู้นี้นอกจากเฉินตันจู คงไม่มีผู้อื่นอีก จางเหยายืนเท้าเอวอยู่ภายในห้องอย่างระอา
ในเมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเกาะเกี่ยวตระกูลหลิวไม่ปล่อย เหตุใดจึงต้องนำจดหมายที่สำคัญของเขาไปเป็นหลักประกัน
คุณหนูตันจูเป็นคนอย่างไรกันแน่…