บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 179 รู้
ฮ่องเต้ตำหนิโจวเสวียนและเฉินตันจู ตักเตือนหากพวกเขากล้าก่อเรื่องอีก จะกักบริเวณพวกเขาไว้ในวัดถิงอวิ๋นด้วยกัน
หลังจากตำหนิคนทั้งสองแล้ว ฮ่องเต้ยิ่งคิดยิ่งโกรธ จึงเขียนจดหมายตำหนิแม่ทัพหน้ากากเหล็กด้วย
ล้วนเป็นเพราะแม่ทัพหน้ากากเหล็กมอบองครักษ์หลวงให้เฉินตันจู เฉินตันจูจึงเหิมเกริมในเมืองหลวง เวลานี้แม้แต่พระราชวังก็เดินทางเข้าได้ตามใจ
เฉินตันจูเหตุใดไม่หลบหลีกเสีย? ทั้งที่รู้ว่าโจวเสวียนโกรธแค้น แต่นางยังคงไม่ยอมเลิกทะเลาะ หากโจวเสวียนฆ่านางขึ้นมาจริงๆ ข้าจะทำอย่างไรได้
แม่ทัพหน้ากากเหล็กวางจดหมายลงบนโต๊ะ ยิ้ม “ฝ่าบาทคิดมากเกินไปแล้ว”
หวังเจียนจับพู่กัน สีหน้าเคร่งเครียด ถาม “ต้องทูลฝ่าบาทอย่างไร” ก่อนจะอดบ่นไม่ได้ “ตอนนั้นไม่ควรทิ้งองครักษ์หลวงไว้ให้นางเสียจริง”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กชี้กระดาษจดหมายที่วางอยู่ตรงหน้าของหวังเจียน “เจ้าทูลฝ่าบาทว่า ไม่ต้องกังวล มีองครักษ์หลวงสิบคนนั้นอยู่ โจวเสวียนฆ่าเฉินตันจูไม่ได้อย่างแน่นอน”
หวังเจียนถลึงตา “ฝ่าบาทกังวลเรื่องนี้หรือ”
“ฝ่าบาทไม่ได้กังวลเรื่องนี้จะกังวลเรื่องใด” แม่ทัพหน้ากากเหล็กถามกลับ “เพียงแค่กังวลว่าโจวเสวียนใช้เฉินตันจูเป็นที่ระบายความแค้นมิใช่หรือ หรือกังวลว่าพวกเขาจะรักใคร่กลมเกลียว?”
พูดเหลวไหลอันใดกัน หวังเจียนวางพู่กันลงบนโต๊ะ “จดหมายนี้ข้าเขียนไม่ได้ ท่านไม่ได้ขออภัยโทษกับฝ่าบาท แต่กำลังหาเรื่องกับฝ่าบาท! พวกท่านทั้งสามก่อเรื่องไปเถิด”
เสียงของแม่ทัพหน้ากากเหล็กแหบพร่าราบเรียบ “จะเป็นการหาเรื่องได้อย่างไร ข้ากำลังพูดด้วยเหตุผล”
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ “ท่านแม่ทัพพูดด้วยเหตุผลเก่งที่สุดแล้ว ฝ่าบาทเถียงท่านไม่เคยได้”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพยักหน้า “แสดงว่าฝ่าบาทไร้เหตุผล”
หวังเจียนหมดหนทางกับท่าทางเหิมเกริมของเขา ชี้ไปยังจดหมาย “เฉินตันจูนี้ ดูเฉินตันจูนี้ ทำเรื่องใดลงไปกัน”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กดูจดหมาย เรื่องเหล่านี้เขารู้อย่างละเอียดอยู่แล้ว ผ่านการบรรยายของฮ่องเต้อีกครั้ง ราวกับเขาได้อ่านอีกรอบ การบรรยายของฮ่องเต้เรียบง่ายกระจ่างกว่าจู๋หลิน หน้ากากเหล็กปิดบังมุมปากที่ยกขึ้นของเขา
“เรื่องเหล่านี้ดีไม่น้อย” เขาพูด “องค์หญิงจินเหยาเดินทางมาเมืองหลวงใหม่ มีสหายใหม่ ไม่ต้องอึดอัดเบื่อหน่าย องค์ชายสามมีความหวังใหม่ เมืองหลวงใหม่บรรยากาศใหม่”
“องค์หญิงจินเหยาก็แล้วไป การเล่นสนุกของเหล่าหญิงสาว เล่นอย่างไร สนุกก็พอ” หวังเจียนขมวดคิ้วพูด “แต่การรักษาโรคขององค์ชายสาม นางบอกว่ารักษาได้ ทำให้องค์ชายสามมีความหวังใหม่ หากรักษาไม่ได้ ความหวังจะกลายเป็นความผิดหวัง นางไม่ได้กำลังทำให้องค์ชายสามโกรธแค้นนางหรือ”
“ความคิดเจ้าแปลกประหลาด” แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองเขา “นางบอกรักษาได้ องค์ชายสามเชื่อ เมื่อถึงเวลารักษาไม่หาย จะโทษเฉินตันจูได้อย่างไร ไม่ควรโทษตนเองที่คิดไม่รอบคอบหรือ”
ความคิดผู้ใดแปลกประหลาดกันแน่ หวังเจียนมองเขาด้วยสายตาประหลาด “มุมมองของท่านต่อเรื่องต่างๆ ช่างแปลกไม่เหมือนผู้ใด”
“เพราะว่าความคิดของพวกเจ้าไม่ถูก” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด โบกมือ “เปลี่ยนมุมมองในการคิดก็พอ”
หวังเจียนหัวเราะแห้งสองที เขาไม่อยากถกเถียงความคิดกับคนเสียสติ จากนั้นชี้ไปยังจนหมายบนโต๊ะ “ข้าไม่สนว่าภายในใจของท่านคิดอย่างไร แต่ไม่อาจตอบกลับฝ่าบาทเช่นนี้ได้”
ฝ่าบาทคงต้องโกรธขึ้นมาอีกครั้ง
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ “ตอบฝ่าบาทว่า ข้ารู้แล้ว”
หวังเจียนใช้สองมือคลึงหน้าผาก ผลักกระดาษและพู่กันให้เขา “ข้าหวังเจียนร่ำเรียนมายี่สิบปี อุดมสมบูรณ์ด้วยความรู้ มีความสามารถมาก สามคำนี้ ท่านแม่ทัพเขียนเองเถิด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กราวกับหัวเราะออกมา “ข้าเขียนเอง ข้าอ่านจดหมายของจู๋หลินจบ ข้าจะเขียนพร้อมกัน”
หวังเจียนถาม “จู๋หลินเขียนสิ่งใดอีก”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพลิกจดหมายหนาขึ้นมา “เหมือนที่ฝ่าบาทเล่า แต่แตกต่างจากฝ่าบาท เขาเขียนจากมุมของคุณหนูตันจู”
“มุมของคุณหนูตันจูเขียนอย่างไร” หวังเจียนถามด้วยความสงสัย
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพลิกจดหมาย ดูหนึ่งประโยคในนั้น “บรรยายถึงความอ่อนแอ สิ้นหวัง โกรธแค้น รวมทั้งความเป็นห่วงที่มีต่อข้า รอคอยให้ข้ากลับไป?”
หวังเจียนถลึงตา “จู๋หลินเสียสติไปแล้วหรือ มองสิ่งเหล่านี้ออกได้อย่างไร”
นึกถึงท่าทางต่างๆ ของหญิงสาวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เสียงแหบพร่าของแม่ทัพหน้ากากเหล็กเต็มไปด้วยอารมณ์ดี “คุณหนูตันจูอ่อนแอสิ้นหวังโกรธแค้นเช่นนี้ ความเป็นห่วงและการรอคอยคงเป็นความรู้สึกจากใจจริงกระมัง”
หวังเจียนกลอกตาขาว “บิดาผู้แก่ชราอย่างท่านจะกลับไปเมื่อใด”
เพียงชั่วพริบตาจะฤดูหนาวแล้ว
อีกพริบตาก็ผ่านไปอีกปีแล้ว
“สถานกาณ์ใหญ่ในเวลานี้ เมืองหลวงใหม่ก่อตัว มีคนได้รับการสถาปนาตำแหน่ง” หวังเจียนพูดอย่างเชื่องช้า “ท่านแม่ทัพอย่าได้นับวันห่างไกลโอรสสวรรค์และราชสำนักมากขึ้น”
ในฐานะแม่ทัพ สิ่งที่ไม่เกรงกลัวที่สุดคือสงคราม หากแต่เป็นจุดสิ้นสุดแห่งสงคราม
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่ายหัว “ข้ายังกลับไปไม่ได้ สิ่งที่ข้าต้องการยังตามหาไม่พบ”
หวังเจียนรู้ว่าเขาต้องการตามหาสิ่งใด หนึ่งคือเงินในพระคลังของเมืองฉี สองคือกองทัพของเมืองฉี ระยะเวลานี้เขาอ่านตำราระยะหลายสิบปีของเมืองฉีจนหมด เวลานี้เงินและจำนวนกองทัพของเมืองฉีไม่ตรงกัน
ขุนนางของท่านอ๋องฉีถูกซักเป็นกลุ่ม ผู้ที่ถูกประหารมีไม่น้อย ท่านอ๋องฉีและพระพันปีต่างถูกซักถามเป็นครั้งครา แต่ไร้ความคืบหน้าแต่อย่างใด
หวังเจียนรู้สึกว่าบางทีสิ่งเหล่านี้อาจไม่มีอยู่แต่เดิม
“หลังจากสืบทราบทางเมืองอู๋และเมืองโจวแล้ว พบว่าพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งดุจดั่งจินตนาการ” เขาพูด “หอหนึ่งหลังของท่านอ๋องอู๋มีค่าเท่าเงินในพระคลังสิบปี เสบียงของกองทัพนับหมื่น ถึงแม้ท่านอ๋องฉีจะเป็นคนร่างกายอ่อนแอ แต่วังหลังหอศาลาหอคอยหญิงงามอัญมณีก็มีไม่น้อย”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพยักหน้า “คงเป็นเช่นนั้น” เขาลุกขึ้นยืน “องค์รัชทายาทยังไม่ไปเมืองหลวงใหม่ ข้าย่อมไม่ต้องรีบ อยู่ต่ออีกสักพักเถิด”
หวังเจียนมองเขาเดินออกไปด้านนอก รีบถาม “ท่านไปที่ใด ไม่เขียนจดหมายแล้วหรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “เพียงแค่หกคำ กลับมาค่อยเขียน องค์รัชทายาทฉีเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว ข้าไปทูลท่านอ๋องฉีให้เขาสบายใจ”
หวังเจียนหยิบจดหมายบนโต๊ะขึ้นมา พึมพำกับตนเอง “องค์รัชทายาทฉีถึงเมืองหลวงหรือไม่ ท่านอ๋องฉีไม่สนใจ แต่ท่านกลับเมืองหลวงเมื่อใด เขาถึงจะวางใจได้อย่างแท้จริง”
เมื่อเห็นแม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินมาจากระยะไกล เหล่าขันทีที่อยู่ด้านนอกตำหนักท่านอ๋องฉีรีบเข้าไปทูลด้านใน
ภายในพระตำหนัก นางสนมและเหม่ยเหรินล้อมรอบนั่งอยู่ เมื่อได้ยินดังนี้ พระพันปีมองเหล่าสนมพลางพูดว่าเสียดาย
ภายในตำหนักมีเหล่าหญิงสาวนับสิบคนที่อายุต่างกัน บ้างเป็นสตรีใหญ่มีเสน่ห์ บ้างเป็นเด็กสาวอายุน้อย ผอมเพรียวอวบอ้วนมีความงดงามแตกต่างกันไป เหล่าชายหนุ่มใต้หล้าที่พบเห็นต่างต้องหลงใหล แต่…
แม่ทัพหน้ากากเหล็กอายุมากเกินไป
ก่อนหน้านี้เคยลองแล้ว หญิงงามต่างๆ อยู่ภายในตำหนัก หรือไปปรนนิบัติท่านแม่ทัพ แต่ใบหน้าภายใต้หน้ากากของแม่ทัพหน้ากากเหล็กไร้การเปลี่ยนแปลง
“เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล” ท่านอ๋องฉีพูด “ท่านแม่ทัพชราแล้วไร้ซึ่งความหลงใหลในความงาม แต่เหล่าองค์ชายยังอายุน้อย ส่งหญิงงามไปปรนนิบัติ ย่อมสามารถแสดงความจริงใจของพวกเรา”
นอกจากองค์รัชทายาทที่แต่งงานมีบุตรเร็ว องค์ชายที่เหลืออีกห้าคนยังไม่แต่งงาน ฮ่องเต้ไม่มีทางให้หญิงสาวที่เหล่าท่านอ๋องส่งมาเป็นภรรยาขององค์ชาย แต่เก็บไว้เป็นสาวรับใช้ข้างตัวยังคงได้
สายตาของพระพันปีกวาดผ่านหญิงสาวทั้งหลายตรงหน้า
เหล่าหญิงสาวที่งดงามต่างก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย มีเพียงคนเดียวที่สบตากับพระพันปี ยิ้มอย่างอ่อนโยน
พระพันปีนึกชื่อของนางไม่ออก ในขณะที่กำลังจะถาม ขันทีตะโกนเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอก “ท่านอ๋อง ท่านแม่ทัพมาพ่ะย่ะค่ะ”
พระพันปีเลิกคิด พาเหล่าหญิงสาวถอยออกไปทางตำหนักหลัง แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
“ท่านอ๋อง องค์รัชทายาทเดินทางเข้าเมืองหลวงอย่างราบรื่น” เสียงของเขาราบเรียบ
ท่านอ๋องฉีเปล่งเสียงหัวเราะดีใจออกมา “ดีเสียจริง มีโอรสของข้าอยู่ข้างตัวฝ่าบาท ข้าวางใจ”