บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 173 สนทนา
โจวเสวียนกลับไปยังตำหนักด้วยใบหน้าบึ้งตึง บังเอิญพบเข้ากับองค์ชายห้าที่กำลังจะออกไปข้างนอก เมื่อเห็นท่าทางของเขา จึงรีบถามขึ้นอย่างดีใจ “ผู้ใดทำให้เจ้าโกรธ”
โจวเสวียนมองเขา “พี่สามของเจ้า”
องค์ชายห้ายิ่งดีใจ “เจ้าอย่ารังแกพี่สามข้า ร่างกายเขาไม่ดี”
โจวเสวียนหัวเราะเสียงเย็น “ร่างกายไม่ดีแต่มีแรงปกป้องหญิงสาว วิ่งมาตำหนิข้าเพื่อเฉินตันจูคนเดียว พวกเจ้าพี่น้องเห็นหญิงงามสำคัญกว่าสหายเช่นนี้หรือ”
องค์ชายห้าตกตะลึงอย่างมากเช่นเดียวกัน เรื่องขององค์ชายสามกับเฉินตันจูเป็นเรื่องจริงหรือ เขาไม่เชื่อว่าองค์ชายสามจะถูกความงามของหญิงสาวหลอกลวง ทำได้เพียงแค่บอกว่าองค์ชายสามถูกเฉินตันจูหลอกลวงด้วยการรักษา
อืม ดูท่าทางองค์ชายสามไม่ได้มีจิตใจดุจบ่อน้ำนิ่งจริง
เรื่องนี้เขาต้องบอกองค์รัชทายาท
แต่ว่า ไม่ว่าอย่างไร องค์ชายสามเกิดความบาดหมางกับโจวเสวียนเป็นเรื่องที่เขายินดีจะเห็น
“แหะ” ภายในใจของเขามีความคิดนับร้อยหมุนเวียน สีหน้าไร้เดียงสา “เจ้าอย่าพาลโกรธข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า”
ชิงเฟิงที่เดินตามโจวเสวียนเข้ามาทำหน้าไม่พอใจ “องค์ชายห้าท่านไม่รู้ องค์ชายสามส่งขันทีไปเยือนแต่เช้าด้วย”
องค์ชายห้าเผยสีหน้าเห็นใจ “ไม่คิดว่าพี่สามเป็นคนเช่นนี้”
โจวเสวียนยื่นมือ “อามู่ เรื่องนี้เจ้าต้องช่วยข้า…”
องค์ชายห้าวิ่งออกไปด้วยความคล่องแคล่วอย่างไม่เคยมีมาก่อน “ข้านึกขึ้นได้แล้ว บทกวีที่เสด็จพ่อให้ข้าเขียนยังไม่ได้เขียน ข้าไปก่อน”
เขาไม่อยากมีส่วนร่วมกับเรื่องของโจวเสวียนและองค์ชายสาม การยุยงไม่มีผลดีกับเขา การปรับความเข้าใจก็ไม่มีผลดีกับเขาเช่นกัน
องค์ชายห้าวิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว โจวเสวียนไม่ได้วิ่งตาม เพียงแค่มองแผ่นหลังนั้นด้วยรอยยิ้ม ภายในดวงตาฉายแววเหยียดหยาม
“คุณชาย” ชิงเฟิงพูดอย่างขุ่นเคืองอยู่ด้านหลัง “คนเหล่านี้เข้าใจคุณชายผิดเสียแล้ว คุณชายไม่ได้รังแกเฉินตันจู คุณหนูตันจูยอมขายจวนให้ด้วยตนเอง”
โจวเสวียนยื่นมือหยิบสัญญาออกมา หัวเราะเสียงเย็น “ใช่ นางยังแช่งให้ข้าตายเร็ว”
ด้านนอกมีขันทีวิ่งเข้ามา ยิ้มอย่างประจบ “คุณชายอาเสวียน คุณชายอาเสวียน ฝ่าบาทให้องค์ชายสามถอยไปแล้ว อีกทั้งไม่ให้เขาสนใจเรื่องที่คุณชายท่านซื้อจวน”
โจวเสวียนโบกมือ ชิงเฟิงหยิบถุงเงินออกมาโยนให้ขันที พูดอย่างเบิกบาน “พี่ชาย รอพวกข้ารินเหล้ามาให้เจ้าดื่ม”
ขันทีรับมาอย่างดีใจ ผู้ใดสนใจเงินกัน พวกเขาสนใจแค่ทำให้ คุณชายอาเสวียนดีใจ…ฮ่องเต้ไม่สนใจที่พวกเขาจะบอกเรื่องเหล่านี้แก่โจวเสวียน
“ขอบคุณคุณชาย” เขาตะโกนด้วยความดีใจ ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ เขาก็เห็นสีหน้าของโจวเสวียนดำลง สายตาคมจ้องมองด้านนอกตำหนัก
ขันทีรีบมองตามไป เห็นหน้าประตูตำหนักมีร่างหนึ่งเดินมา หากแต่ไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามา หยุดลงที่หน้าประตู
เงาแสงทำให้ร่างของเขาดูพร่ามัว ดุจดั่งยืนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก มองใบหน้าของเขาได้ไม่ชัด
แต่ทุกคนล้วนจำได้ว่าอีกฝ่ายคือองค์ชายสาม เพราะน้ำเสียงอ่อนโยนของเขาดังขึ้น
“อาเสวียน พวกเราคุยกันเถิด”
…
มีขันทีเดินทางมารายงานโจวเสวียนเป็นเวลาแรก ฮ่องเต้ปลอบองค์ชายสาม เรื่องที่องค์ชายสามวิ่งมาหาโจวเสวียน ฮ่องเต้ก็รู้เป็นอันดับแรก
หน้ามือและหลังมือล้วนเป็นเนื้อของตนเอง ฮ่องเต้นวดหว่างคิ้ว ถอนหายใจ
“องค์ชายสามไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน” ขันทีจิ้นจงกล่าว “เหตุใดครั้งนี้จึงดื้อรั้นเพียงนี้”
ฮ่องเต้วางมือลง “ล้วนเป็นเพราะเฉินตันจู!”
ขันทีจิ้นจงยิ้ม “ไม่คิดว่าการพบหน้าครั้งเดียวในวัดถิงอวิ๋น องค์ชายสามจะมีความสัมพันธ์กับเฉินตันจูเพียงนี้”
ฮ่องเต้ส่งเสียงในลำคอ “พบหน้าครั้งเดียวแล้วอย่างไร นางตีลูกสาวของข้า ลูกสาวของข้ายังอาลัยอาวรณ์นาง” พูดถึงตรงนี้ก็ฉงน “เฉินตันจูนี้ทำได้อย่างไร เหตุใดลูกของข้า หนึ่งคนสองคน อืม สามคนที่พบนางล้วนดื้อรั้นเพียงนี้ ก่อเรื่องบ้าคลั่งออกมา จินเหยาและซิวหยงอยู่แต่ในพระราชวัง จิตใจไร้เดียงสาก็แล้วไป เขา…”
พูดถึงคำว่าเขา คำพูดของฮ่องเต้ก็หยุดลง ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“เจ้าคิดดู ตอนนั้นวิ่งมาบอกข้าว่าทหารที่มีความสามารถคือทหารที่ไม่เห็นเลือดเนื้อ บอกให้ข้าเข้าเมืองอู๋ตัวคนเดียว น่ากลัวเพียงใดกัน”
จิ้นจงนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา เขาเหลือบมองฮ่องเต้ ฐานะและประสบการณ์ของเขาอยู่ตรงนี้ ดังนั้นคำพูดบางอย่างจึงกล้าพูดอย่างมาก
“ฝ่าบาท ไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาว” เขาหัวเราะ “เรื่องที่ฝ่าบาททำเพราะฟังคำพูดของคุณหนูตันจู ก็…น่ากลัวเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ปฏิเสธทันควัน “เหลวไหล ข้าไม่ได้ทำ”
ขันทีจิ้นจงยิ้ม
ฮ่องเต้โบกมืออย่างปวดหัว “ไปเฝ้าดูเสีย อย่าให้พวกเขาปะทะกัน”
ขันทีจิ้นจงตอบรับ ก่อนจะจัดเตรียมคนไป
ทางด้านฮ่องเต้ขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง เคร่งเครียด ลูกสาวที่เชื่อฟังน่าเอ็นดูและงดงามไปเล่นชนมุมทุกวัน ลูกชายที่เรียบเฉยเงียบสงบอ่อนโยนกลายเป็นคนที่หลงใหลในความงาม ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะเฉินตันจู
“เฉินตันจูนี้เป็นภัยพิบัติเสียจริง”
…
ภัยพิบัติเฉินตันจูวันนี้ไม่ได้ก่อเรื่องให้กับร้านยา หากแต่เดินทางไปดูโรงเตี๊ยมหลายแห่ง เสียดายที่ไม่มีร่องรอยของจางเหยา
เสียงฟ้าร้องดังขึ้นด้านบน คนเดินเท้าบนถนนต่างเร่งฝีเท้า เฉินตันจูม้วนม่านรถขึ้น เอนพิงอยู่ริมหน้าต่างรถมองดูฝูงคนที่เดินอย่างเร่งรีบ
โอกาสที่จางเหยาจะปรากฏตัวในร้านยาน้อยมาก เพราะเขาไม่พักประจำอยู่สถานที่หนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่าเวลานี้เขาไม่ได้ป่วย ดังนั้นจึงไม่ได้ไป แต่ในเมื่อเดินทางมาเมืองหลวงแล้ว อีกทั้งไม่ได้ไปจวนของหลิวจั่งกุ้ย ย่อมต้องหาที่พัก
เขาอยู่ที่ใดกัน
หยาดฝนตกลงมาจากบนท้องฟ้าอย่างกะทันหัน สาดข้ามผ่านม่านรถที่ม้วนขึ้นกระทบลงบนใบหน้าของเฉินตันจู
อาเถียนยกมือบังศีรษะเรียกให้จู๋หลินปล่อยม่านทั้งสี่ด้านลง จู๋หลินหยุดรถกระโดดลงมา อาเถียนยื่นชุดฟางและหมวกให้เขา คนบนท้องถนนวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเหลือเพียงแต่ความว่างเปล่า สะพานหินด้านหน้าอบอวลไปด้วยหมอก
เฉินตันจูมองคนที่วิ่งผ่านไปบนสะพานหิน มีคนชะงักเท้าลง เอนพิงราวสะพานมองไปยังด้านล่าง
นางเป็นสตรีรูปร่างสูงอ้วน มือหนึ่งบังไว้บนหัว มือหนึ่งจับราวและตะโกน “ฝนตกแล้ว เหตุใดยังซักผ้าอยู่ เสื้อผ้าถังนี้ข้าไม่ให้เงิน”
ด้านล่างสะพานตอบกลับมา “ป้าอย่ากังวล ข้าจะตากแห้งในห้อง เงินที่ซักเสื้อผ้าไม่ต้องให้ ให้แค่เงินค่าถ่านก็พอ”
สู้ให้เงินค่าซักผ้าดีกว่า เงินค่าถ่านแพงกว่าเงินค่าซักผ้าอย่างมาก เฉินตันจูนั่งหัวเราะอยู่บนรถ สตรีบนสะพานโกรธอย่างเห็นได้ชัด นางตบราวสะพานพร้อมตะโกน “เจ้าขึ้นมา!”
ด้านล่างสะพานส่งเสียงลากยาว “มาแล้ว มาแล้ว ป้าอย่าเร่งรีบ…” เสียงลากยาวสุดท้ายจบลงด้วยคำว่าไป
เฉินตันจูได้ยิน จากที่หัวเราะอยู่ก็ชะงักไป นางนั่งตัวตรง
ม่านผืนสุดท้ายริมหน้าต่างฝั่งนางถูกปล่อยลง ปิดบังสายตาและเสียง
“คุณหนู” อาเถียนพูด “พวกเราไปกันเถิด”
นางพูดจบ ก็เห็นเฉินตันจูลุกขึ้น ก่อนจะกระโดดลงจากรถไป…
“คุณหนู?” อาเถียนตะโกนเสียงดัง เปิดม่านรถขึ้น เห็นเฉินตันจูวิ่งไปยังสะพานหินท่ามกลางสายฝน
ใต้สะพานมีคนหนึ่งเดินขึ้นมา เขาถือกะละมังไม้ขนาดใหญ่ใบหนึ่ง ภายในกองเต็มไปด้วยเสื้อผ้าปิดบังใบหน้า
เขาสวมชุดสีฟ้าที่ดูเก่า รูปร่างทั้งสูงทั้งผอม ยกกะละมังไม้ด้วยร่างกายที่ไหวไปมา ในขณะที่กำลังจะเดินขึ้นมานั้นก็ไอขึ้นอีกครั้ง ไอจนร่างของเขาสั่นเทา ราวกับนาทีถัดมาทั้งคนและกะละมังจะล้มลง
“โอย เจ้าระวัง” สตรีบนสะพานตะโกนอย่างร้อนใจ “เสื้อผ้าตกลงมาเจ้าต้องซักใหม่ ไม่ได้ หยาดฝนตกลงบนนั้นแล้ว ไม่สะอาดแล้ว…”
ตามเสียงตะโกนของสตรี คนผู้นั้นยังคงกระแอมไอถือกะละมังไม้อย่างมั่นคงเดินขึ้นมา เขากอดกะละมังไม้ไว้ด้านหน้า
“ป้า ป้าไม่ต้องกังวล” เขายื่นมือออกมาข้างหนึ่งดึงเสื้อบนตัว “ข้าใช้เสื้อข้าบังฝนเอาไว้”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็มองเห็นหญิงสาวทื่ยืนห่างออกไปไม่ไกลนัก เสียงของเขาชะงักไป
เวลานี้หยาดฝนตกลงมาเป็นสาย ทำให้หญิงสาวนั้นดุจดั่งยืนอยู่ด้านนอกม่านที่ซ้อนกันหลายชั้น แปลก เขารู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้าเหมือนดั่งนกกระทาตัวน้อยที่หลงทาง ดูน่าสงสาร…
“คุณหนู” อาเถียนวิ่งตามมา นำร่มบังไว้บนตัวของเฉินตันจู “เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ”
จากนั้นมองตามเฉินตันจูไป เห็นชายหนุ่มที่กอดกะละมังไม้ มือหนึ่งดึงเสื้อท่าทางน่าขบขันคนหนึ่ง…
ชายหนุ่มราวกับถูกมองจนสะอึก จากนั้นกระแอมไอขึ้นมา
เฉินตันจูวิ่งออกจากร่มไปยืนอยู่ตรงหน้าเขา เอ่ยถาม “เจ้าไอหรือ”
ชายหนุ่มส่งเสียงสงสัย ก่อนจะกระแอมไออีกหลายที พยักหน้า “ใช่ ใช่กระมัง”
เฉินตันจูยิ้มให้เขา “อย่ากลัว ข้ารักษาอาการไอของเจ้าได้”
ชายหนุ่มส่งเสียงสงสัย สายตาฉงน
“จางเหยา!” สตรีบนสะพานตะโกนเสียงดัง “เสื้อผ้าเปียกแล้ว ข้าไม่ให้เงิน”