บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 171 พาดพิง
เหล่าพ่อค้าทำการค้าขายที่ไม่เคยมีมาก่อน ถึงแม้การซื้อขายจวนแต่ก่อนจะมีการใช้สิ่งของในการทดแทนราคา แต่สิ่งของเหล่านั้นล้วนเป็นสมบัติสืบทอดตระกูลที่หาได้ยาก ไม่เคยมีการใช้สัญญา อีกทั้งยังเป็นสัญญาที่เขียนว่าหลังจากผู้ใดตาย จวนหลังนั้นจะมอบให้ผู้ใด
เรื่องอันใดกัน
เรื่องนี้คงมีแค่สองคนนี้ทำออกมาได้ อีกทั้งยังสามารถนั่งยิ้มได้
เหล่าพ่อค้ามองคนทั้งสองทางนี้ สีหน้าซับซ้อน
เฉินตันจูหยิบสัญญาแผ่นนี้มา เป่าหมึกด้านบนเบาๆ ให้มันแห้งเร็วขึ้น
“ข้าวางใจแล้ว” นางพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมองโจวเสวียนที่อยู่ตรงข้าม “อันที่จริงคนอย่างคุณชายโจวมีสัจจะ ถึงแม้จะไม่เขียนสัญญาข้าก็เชื่อ”
โจวเสวียนตอบรับ “เช่นนั้นฉีกทิ้งเถิด”
เฉินตันจูรีบเก็บสัญญาเอาไว้ให้ดี ก่อนจะค้อนใส่โจวเสวียน “ข้าย่อมเชื่อท่าน แต่เกรงว่าผู้อื่นไม่เชื่อ ข้าทำเพื่อชื่อเสียงและเกียรติยศของคุณชายโจว”
โจวเสวียนพูด “เช่นนั้นต้องขอบคุณคุณหนูตันจูเสียจริง”
ขนาดนี้ยังไม่ตีนางอีก? จู๋หลินเกิดความเคารพต่อโจวเสวียนขึ้นมาทันที
ถึงแม้จะไม่ต้องต่อรองราคาอีก ไม่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่ต้องดำเนินในการซื้อขายจวนก็ต้องดำเนินต่อไป เรื่องเหล่านี้เหล่าพ่อค้าต่างคุ้นชิน การซื้อขายของทั้งสองฝ่ายจบสิ้นลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันจวนตระกูลเฉินก็กลายเป็นจวนตระกูลโจว
ยืนอยู่นอกประตู เฉินตันจูมองดูป้ายตระกูลเฉินถูกถอดลงมา จวนหลังนี้ดูแปลกตายิ่งขึ้น
โจวเสวียนมองดูสีหน้าของหญิงสาว เขาหันหลังกำชับเหล่าองครักษ์ “ด้านในยังไม่ต้องเก็บกวาด ย่อมมีคนของราชสำนักมาปรับปรุง สิ่งที่ควรรื้อก็รื้อ สิ่งที่ควรทุบก็ทุบ” จากนั้นมองเฉินตันจูด้วยรอยยิ้ม ทำท่าเชิญ “คุณหนูตันจูเข้าไปดูอีกสักครั้งหรือไม่ มิฉะนั้นต่อไปคงไม่ได้เห็นแล้ว”
อาเถียนหลั่งน้ำตาอยู่ด้านหลัง มองดูโจวเสวียน อดที่จะกระโจนใส่เขาไม่ได้ คนผู้นี้ร้ายกาจยิ่งนัก
เฉินตันจูยิ้ม คำพูดนี้หากพูดกับเฉินตันจูที่อายุสิบหกปีจริง คงจะเป็นการโจมตีที่สาหัส แต่สำหรับเฉินตันจูที่อยู่มาสองชาติแล้ว เป็นเพียงแค่คำพูดธรรมดา นางเคยเห็นจวนตระกูลเฉินกลายเป็นซากปรักหักพังกับตาของตนเอง ภายในปรักหักพังนั้นยังมีร่างของคนนับร้อย
เวลานี้จวนตระกูลเฉินแค่เปลี่ยนป้าย บูรณะจวนใหม่เท่านั้น
“ขอบคุณคุณชายโจว” เฉินตันจูยื่นมือกุมที่หน้าอก “ข้าไม่เข้าไปดูแล้ว ข้าจดจำไว้ในใจ หลังจากนี้บูรณะใหม่ก็พอ”
หลังจากนี้ย่อมต้องหมายถึงตอนที่โจวเสวียนตายแล้ว
โจวเสวียนหัวเราะเสียงเย็น “หวังว่าคุณหนูตันจูจะมีชีวิตนานกว่าข้า” พูดพลางถีบประตูใหญ่เดินเข้าไป
เฉินตันจูยิ้ม นางไม่โกรธกับคำพูดเช่นนี้ อีกทั้งไม่เกรงกลัวที่จะทำให้โจวเสวียนโกรธ สาเหตุที่พวกเขาสามารถทำการซื้อขายนี้ได้ เพราะว่าเรื่องในครั้งนี้ไม่มีประโยชน์ถึงแม้จะเข้าเฝ้าฮ่องเต้
โจวเสวียนแตกต่างจากตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเกิ่ง เขาต้องการซื้อจวนของนาง ถึงแม้นางจะเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ไร้ประโยชน์
เรื่องนี้โจวเสวียนรู้ดี นางก็รู้ดี เช่นนั้นนางขายให้เขาด้วยเหตุผล หากโจวเสวียนตีนางเพราะนางพูดจาแย่เล็กน้อย เช่นนั้นย่อมเป็นเขาที่ไร้เหตุผล ถึงแม้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็ไม่อาจฟ้องได้…
ฝ่าบาท เฉินตันจูนางด่ากระหม่อม
ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้กระทำเช่นนั้น
การโต้แย้งเช่นนี้ไม่มีความหมาย จวนนางให้เขาไปแล้ว หรือว่าเขายังต้องการเอาเรื่องหญิงสาวตัวน้อยเพื่อต้องการระบายความโกรธ?
“ไปเถิด” เฉินตันจูพูดด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้มองจวนอีก นางเดินขึ้นรถ
เมื่ออาเถียนขึ้นรถมา น้ำตาของนางหลั่งไหลไม่หยุด “คุณหนู จวนของพวกเราไม่มีแล้ว”
เฉินตันจูปลอบนาง “ไม่เป็นอันใด เรายังเอาคืนมาได้”
“ถึงแม้คนร้ายกาจนี้จะไม่มีภรรยา ไม่มีบุตร แต่รอเขาตายต้องรอถึงเมื่อใดกัน” อาเถียนร้องไห้จนเหนื่อยหอบ
“โจวเสวียนปีนี้อายุแค่ยี่สิบกว่า ชีวิตยังอีกยาวไกล หรือว่าคุณหนูต้องรอจนผมขาวหมดทั้งหัว?”
เฉินตันจูหัวเราะ เสียงหัวเราะเศร้าโศกเล็กน้อย นางหันกลับไปมอง “ไม่ ตอนที่โจวเสวียนตายผมของเขายังไม่ขาว” ผมของนางก็ยังไม่ขาว…
แต่คำพูดนี้ถือว่าพูดเล่นแค่ครั้งเดียวก็พอ ไม่อาจพูดได้ตลอด มิฉะนั้นอาเถียนคงกลัว
หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน องค์ชายห้า องค์ชายสองและองค์ชายสี่ที่เสียเวลาครึ่งบ่ายอยู่ในตำหนักจากไปแล้ว ภายในตำหนักขององค์ชายสามกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง
องค์ชายสามนั่งอยู่หน้าโต๊ะ หยิบตำราที่วางลงก่อนหน้านี้ขึ้นมาอ่านใหม่อีกครั้ง ราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
ขันทีคนหนึ่งเดินเข้ามา “องค์ชาย สืบแล้วพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูตันจูเดินทางไปร้านยาทั่วเมืองมาหลายวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ นางถามเหล่าไต้ฟูว่าเคยพบเห็นคนที่มีอาการไอหรือไม่ ทำให้ร้านยาเหล่านั้นกลัวจนปิดประตูไปพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามหัวเราะ จินตนาการภาพเหตุการณ์นั้น น่ากลัวเสียจริง
ขันทีมองสีหน้าขององค์ชายสาม อดพูดไม่ได้ “องค์ชายของกระหม่อม เรื่องนี้ไม่น่าขบขันพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูตันจูใช้ชื่อขององค์ชาย คนทั้งเมืองกำลังวิจารณ์องค์ชายอยู่พ่ะย่ะค่ะ คำพูดเหล่านั้นก็ไม่ดีนัก…”
องค์ชายสามถือตำรา ถามด้วยความสงสัย “พูดสิ่งใด”
ขันทีมององค์ชายสามด้วยท่าทีทั้งโกรธทั้งเกรงกลัว “บอกว่าองค์ชายสามหลงใหลในความงาม โง่เขลา ถูกคนอย่างเฉินตันจูหลอกลวง…”
องค์ชายสามหัวเราะร่า
ยังหัวเราะได้อีก? ขันทีตะลึง ต้องโกรธจนหัวเราะออกมาอย่างแน่นอน
“องค์ชายมีชื่อเสียงที่ดีเสมอมา เวลานี้ถูกเฉินตันจูทำลายแล้ว” เขาพูดด้วยความโกรธ “เฉินตันจูนี้ประลองกับองค์หญิงก็แล้วไป ยังรังแกมาถึงหัวท่าน พวกเราต้องไปทูลฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามโยนตำราที่อ่านวันแล้ววันเล่าลง
“ข้ามีชื่อเสียงดีอันใด” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “อ่อนแอ คนไร้ประโยชน์?”
ขันทีผงะ พึมพำ “องค์ชายอย่าได้น้อยใจตนเอง ทุกคนต่างรู้ว่าองค์ชายนิสัยดี ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นมิตร ไม่แย่งชิงกับผู้อื่น…”
เสียดายที่เขาเรียนหนังสือไม่มาก หาคำมาบรรยายไม่ได้มากนัก
องค์ชายสามยิ้มบาง “คนไร้ประโยชน์อย่างข้า ไม่นิสัยดี ไม่ปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเป็นมิตร ไม่คิดไม่แย่งชิงกับผู้อื่นแล้วจะทำสิ่งใดได้อีก”
ขันทีผงะ มองไปรอบด้านอย่างเกรงกลัว ในฐานะขันทีข้างกายขององค์ชายสาม เขารู้ปมในใจขององค์ชายสาม เฮ้อ ผู้ใดถูกทำร้ายจนกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ที่อ่อนแอยังจะดีใจได้อีก
เพียงแต่เสด็จแม่ขององค์ชายสามกอดองค์ชายสามที่ถูกช่วยชีวิตกลับมาได้กำชับไว้ เจ้าอย่าได้โกรธแค้น เจ้าเป็นคนไร้ประโยชน์แล้ว หากเจ้าโกรธแค้น เจ้าจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ที่น่ารังเกียจ คนอื่นย่อมไม่มีความรู้สึกผิดและสงสารให้แก่เจ้า
ความแค้นที่ซ่อนมานานยิ่งไม่อาจให้คนอื่นรู้ได้ มิฉะนั้นอย่าว่าแต่ไม่มีผู้ใดสงสาร อีกทั้งยังต้องถูกรังเกียจ
“องค์ชาย” เขาเกลี้ยกล่อมอย่างตระหนก “ระวังคำพูดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามยิ้ม ไม่พูดเรื่องนี้อีก เพียงแค่พูด “ไม่คิดว่านอกจากคนไร้ประโยชน์อ่อนแอ ข้ายังสามารถถูกคนตำหนิว่าหลงใหลในความงาม โง่เขลา สนุกยิ่งนัก”
ขันทียิ้มขมขื่น “องค์ชาย คุณหนูตันจูกำลังหลอกใช้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ใช่ ตั้งแต่พบกับองค์ชายสามที่วัดถิงอวิ๋น คุณหนูตันจูก็ตามเกาะติดองค์ชาย มิฉะนั้นเหตุใดนางจึงบอกจะรักษาองค์ชายอย่างไร้เหตุผล โรคขององค์ชายรักษาได้ง่ายหรือ ราชสำนักมีหมอเทวดามากน้อยเพียงใด
เฉินตันจูเป็นแค่หญิงสาวเจ้าเล่ห์ หลังจากถูกฮองเฮาลงโทษ นางก็คิดจะเกาะขาขององค์ชายสาม
เฮ้อ แต่ก็ต้องโทษองค์ชายสาม เวลานั้นเขากำลังจะจากไปแล้ว แต่เดินผ่านทางต้นซานจา เห็นหญิงสาวนี้ร้องไห้จึงหยุดฝีเท้า อีกทั้งยังเดินเข้าไปปลอบ สุดท้ายถูกอีกฝ่ายตามเกาะเข้าจนได้
“ผู้ใดกล้ามีเรื่องกับโจวเสวียนกัน” ขันทีบ่น “โจวเสวียนจงใจสั่งสอนเฉินตันจู แต่นางบังอาจพาดพิงองค์ชายสาม”
องค์ชายสามพยักหน้า “เจ้าไปภูเขาดอกท้อแทนข้า ถามหายาที่คุณหนูตันจูนางให้ข้าเมื่อคราก่อน”
เอ๊ะ? ขันทีถลึงตา คิดว่าตนเองได้ยินผิด การกระทำของเขาไม่ใช่ห้ามไม่ให้นางตามรังควาน หากแต่ไปให้นางรังควานเสียมากกว่า
“ได้ยินไม่ผิด ข้ากินยาที่นางให้ อาการไอลดลงไม่น้อยแล้ว” องค์ชายสามยิ้ม มองดูยาขวดเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ “ข้า ยังอยากกินอีก”