บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 161 เจตนา
ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทที่ตกตะลึงชามแตก หรือว่าจะเป็นพระพันปีที่ได้ยินข่าวเดินทางมาเกลี้ยกล่อมล้วนไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
ท่านอ๋องฉีต้องการแสดงความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กน้อมรับไว้อย่างไม่ปฏิเสธ
หรือแม่ทัพหน้ากากเหล็กกำลังรอให้ท่านอ๋องฉีพูดประโยคนี้ด้วยตนเอง
องค์รัชทายาทไม่ได้พบแม้แต่หน้าภรรยาและบุตร เหม่ยเหรินที่รักใคร่ก็ไม่ทันได้ร่ำลา เขาถูกเสด็จพ่อที่จิตใจโหดเหี้ยมไร้เยื่อใยส่งออกจากพระราชวังในวันนั้น เดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกับขุนนางหลายคน
แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กยังคงอาศัยอยู่ในพระราชวัง กองทัพใหญ่ของราชสำนักยังคงกระจายไปทั่วพื้นที่ของพระราชวัง
“ท่านอ๋อง” พระพันปีที่ผมขาวเต็มศีรษะนั่งหลั่งน้ำตาอยู่ข้างเตียงท่านอ๋องฉี เวลานี้ภายในตำหนักมีแม่ลูกสองคน ภายในพระราชวังที่ถูกกองทัพใหญ่ของราชสำนักแทรกซึม เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่แม่ลูกทั้งสองสามารถพูดคุยความในใจได้ในระยะเวลาอันสั้น “ฮ่องเต้ต้องการให้เจ้าตายถึงจะวางใจได้ เมื่อรู้ว่าเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงส่งองค์รัชทายาทออกไป”
ท่านอ๋องฉีที่นอนอยู่บนเตียงส่งเสียงหัวเราะแหบพร่าออกมา “เหลือบุตรคนนี้เอาไว้ ข้าก็ไม่วางใจ สู้ส่งไปให้ฝ่าบาทวางใจเสียดีกว่า ถือว่าบุตรคนนี้ได้ทำประโยชน์ให้ข้าบ้าง”
พระพันปีรู้จักบุตรของตนเองเป็นอย่างดี ถึงแม้บุตรคนนี้จะนอนอยู่บนเตียง แต่เขาฉลาดเฉลียวเสียยิ่งกว่าคนปกติดีเสียอีก ตอนนั้นท่านอ๋องฉีองค์ก่อนป่วยหนัก ถึงแม้พระพันปีจะรักใคร่บุตรคนโตของตนเองอย่างมาก แต่อีกฝ่ายร่างกายอ่อนแอ เพื่อเมืองฉีแล้ว นางจึงขอให้ท่านอ๋องฉีองค์ก่อนเลือกองค์ชายอื่นเป็นท่านอ๋องฉี แต่ท่านอ๋องฉีองค์ก่อนบอกว่าผู้ที่สามารถเป็นท่านอ๋องฉีได้มีเพียงบุตรที่ร่างกายอ่อนแอคนนี้
เป็นไปอย่างที่คิด เมื่อบุตรคนนี้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าท่านอ๋องโจว ท่านอ๋องอู๋ ท่านอ๋องหลู และท่านอ๋องเยียนในเวลานั้น แต่ไม่ไร้ความสามารถไปกว่าคนเหล่านั้นแม้แต่น้อย ท่ามกลางการแย่งชิงระหว่างเหล่าท่านอ๋อง เมืองฉีไม่เพียงไม่ล่มสลายถูกแบ่งแยก แต่ยังมีกำลังที่เข้มแข็งมากขึ้น
เสียดายที่ร่างกายนี้เป็นตัวถ่วง หากร่างกายนับวันไม่ได้อ่อนแอลง วันนี้ก็คงไม่ถูกฮ่องเต้เหยียดหยามถึงเพียงนี้ ใบหน้าของพระพันปีเต็มไปด้วยความแค้น
“ถึงแม้องค์รัชทายาทจะโง่เขลา อีกทั้งมีจิตใจทะเยอทะยานไม่เคารพเจ้า แต่หากส่งไปให้ฮ่องเต้ ถูกเขากอบกุมไว้ในมือ” พระพันปีกังวลใจ “หากเจ้าเป็นอันใดไป เมืองฉีของพวกเราก็จบสิ้นลงแล้ว”
ราชสำนักย่อมไม่มีทางส่งองค์รัชทายาทกลับมา ท่านอ๋องฉีอย่าได้คิดจะแต่งตั้งบุตรชายอื่นเป็นท่านอ๋องฉี หากท่านอ๋องฉีกล้าทำเช่นนี้ ฮ่องเต้สามารถใช้ข้ออ้างก่อกบฏล้มเมืองฉีได้ทันที…
พระพันปีหลุบตาร่ำไห้ มองผมดำของตนเองที่กลายเป็นสีขาวอย่างไม่รู้ตัวภายในกระจกข้างหน้าต่าง ช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของเหล่าท่านอ๋องก็หมดไปแล้ว
ท่านอ๋องฉีที่นอนอยู่บนเตียงส่งเสียงหัวเราะออกมา “เมืองฉีจบสิ้นก็จบสิ้นไป ไม่เกี่ยวกับข้า”
เขาย่อมไม่มีทางเป็นท่านอ๋องฉีไปตลอดกาล
ดังนั้นเขาไม่สนใจว่าเมืองฉีจะอยู่ได้ตลอดกาลหรือไม่
พระพันปีมองดูท่านอ๋องฉี สีหน้ามีความหวาดกลัวเล็กน้อย “ลูกข้า เจ้าจะทำอันใด”
ดวงตาของท่านอ๋องฉีทั้งสว่างทั้งบ้าคลั่ง “ข้าต้องการแค่คนอื่นไม่สมหวัง ข้าเพียงแค่ต้องการทำร้ายคนอื่นอย่างไม่เป็นประโยชน์กับตนเอง”
…
หวังเจียนขมวดคิ้วเดินเข้ามา พลางปัดใบไม้ที่หล่นอยู่บนไหล่ พลางบ่นอากาศของเมืองฉี
“องค์รัชทายาทเมืองฉีไปเป็นตัวประกันในเมืองหลวง เหตุใดท่านจึงไม่เป็นคนคุมตามกลับไปด้วยกัน” เขามองแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่ยังคงนั่งอยู่ท่ามกลางตำราและถาดทราย “พอดีกับโจวเสวียนได้รับการสถาปนาเป็นท่านโหว ถึงแม้ท่านแม่ทัพจะไม่ได้รับพระราชทานรางวัล แต่อย่างน้อยก็สามารถไปดูความคึกคักได้”
ประโยคสุดท้ายย่อมเป็นการเยาะเย้ย
โจวเสวียนมีคุณงามความดีในการบุกรุกเมืองฉี แม่ทัพหน้ากากเหล็กเขียนจดหมายขอให้ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลให้โจวเสวียน ฮ่องเต้ถามแม่ทัพหน้ากากเหล็กว่าต้องการรางวัลใด แม่ทัพหน้ากากเหล็กบอกว่าไม่ต้องการอันใด เมื่อรอเมืองฉีมั่นคงค่อยขอพระราชทาน ดังนั้นฮ่องเต้จึงแต่งตั้งโจวเสวียนเป็นท่านโหว ส่วนแม่ทัพหน้ากากเหล็กไม่ได้อะไรแม้แต่น้อย
ในมือของแม่ทัพหน้ากากเหล็กถือจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าอายุมากแล้ว ไม่ชอบความคึกคัก”
หวังเจียนส่งเสียงสบถออกมา “อายุมากแล้วไม่ชอบความคึกคัก แต่เหตุใดจึงไม่เอารางวัล รางวัลที่ควรได้ย่อมต้องได้ ถึงแม้ไม่ทำเพื่อตัวท่านเอง ก็ต้องทำเพื่อ…ทำเพื่อ…ชื่อเสียงและเกียรติยศของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเหลือบมองเขา “ชื่อเสียงและเกียรติยศที่ควรมีไม่มีทางถูกลบเลือนได้ เพียงแค่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น”
เวลาอันใด หวังเจียนย่อมรู้ดีที่สุด เขาอ้าปากเล็กน้อย แต่บทสนทนานี้ไม่อาจพูดได้ แต่เมื่อมองแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่นั่งขัดสมาธิดุจดั่งต้นไม้เหี่ยวแห้งนั้น ภายในใจก็เศร้าโศก
“ท่านคิดดีแล้วก็ดี” เขาพูดเสียงต่ำ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กวางจดหมายในมือไว้บนโต๊ะ “ข้าคิดดีมานานแล้ว”
หวังเจียนมองจดหมายที่ถูกวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะถูกเขาหยิบขึ้นมาอีกครั้ง สายตาของเขาถูกดึงดูดไปอย่างช้าๆ ส่งเสียงสงสัยขึ้นมา “จดหมายอันใด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่งเสียงตอบรับ ก่อนจะวางจดหมายลง “จู๋หลินส่งมา…จดหมายที่เฉินตันจูเขียน”
เดิมทีหวังเจียนได้ยินว่าจู๋หลิน เขาเบะปากอย่างไม่สนใจ แต่เมื่อได้ยินชื่อสามพยางค์ต่อมา สายตาของเขาลุกวาว ก่อนจะส่งเสียงสงสัยออกมา “เฉินตันจู? นางเขียนจดหมายให้ท่านแม่ทัพ? เขียนว่าอย่างไร”
“เขียนอันใดได้” แม่ทัพหน้ากากเหล็กหมุนจดหมาย เผยให้เขาดู “ย่อมต้องเขียนประจบข้า”
หวังเจียนกวาดตามอง บนกระดาษมีแค่ประโยคเดียว ขอบคุณท่านแม่ทัพ
“การประจบนี้ช่างผิวเผิน” เขาสงสัย “ขอบคุณท่านเรื่องใด นางทำสิ่งใดอีก ท่านทำสิ่งใดอีก”
“มากเกินไป พูดไม่หมด” แม่ทัพหน้ากากเหล็กเก็บจดหมายคืนมา “เจ้าไปถามเองเถิด ข้ากำลังคิดเรื่องสำคัญ”
หน้ากากเหล็กปิดบังใบหน้าของเขาเอาไว้ หวังเจียนมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ได้ยินเสียงที่เคร่งเครียด
“ตกลงยังมีเรื่องใดอีก” เขาถาม “เรื่องของเมืองฉีเป็นไปอย่างราบรื่น ยังมีปัญหาอันใดอีก”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กชี้เอกสารหนากองหนึ่ง “เมืองฉีมีกองกำลังเกือบห้าแสน แต่เวลานี้พวกเรารวบรวมได้ไม่ถึงสามแสน กองกำลังที่เหลืออยู่ที่ใด”
เรื่องนี้หวังเจียนก็รู้ เรื่องการนับกองกำลังทหารเริ่มทำตั้งแต่ก่อนการโจมตีเมืองฉี ผ่านมานานเพียงนี้ เรื่องนี้จบสิ้นไปนานแล้ว แต่แม่ทัพหน้ากากเหล็กยังคงคิดเรื่องนี้อยู่
“ทหารฉีที่ถูกจับบอกแล้วไม่ใช่หรือ กองกำลังห้าแสนของเมืองฉีมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าเป็นเรื่องเท็จ หนึ่งคือขุนนางของพวกเขาสร้างตัวเลขจำนวนคนปลอมขึ้นมาเพื่อโกงค่าเสบียง อีกทั้งระหว่างสงครามของทั้งสองกองทัพ มีทหารที่หนีออกไปจำนวนมาก หลายปีนี้ท่านอ๋องฉีป่วยหนัก องค์รัชทายาทโง่เขลา กำลังของเมืองสูญหายไปเทียบแต่ก่อนไม่ได้แล้ว” หวังเจียนพูด “ทหารเมืองฉีอ่อนแอ ท่านก็เห็นกับตาของตนเองไม่ใช่หรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเคาะโต๊ะ “ข้ารู้สึกว่ามีปัญหา”
“มีปัญหาอันใด ดูจากคลังสมบัติที่ว่างเปล่าของเมืองฉี ทุกอย่างล้วนเข้าใจได้” หวังเจียนพูด
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ “คลังสมบัติของเมืองฉีช่างย่ำแย่เสียจริง…”
หวังเจียนส่งเสียงไม่พอใจ “โจวเสวียนนั้นนำทหารและม้ากวาดล้างไปก่อนแล้ว ไม่รู้แอบซ่อนเอาไว้มากน้อยเพียงใด ท่านอย่าลืมทูลฝ่าบาท”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัวเราะ “ฝ่าบาทจะสนใจว่าเขาแอบซ่อนหรือไม่? ไม่แน่อาจรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร พระราชทานเงินและรางวัลให้เขาเพิ่มอีก”
หวังเจียนรู้สึกเคียดแค้น เมื่อนึกถึงโจวเสวียน เขาก็รู้สึกสั่นเทาไปทั่วร่างกาย…เจ้าเด็กนี้มันร้ายกาจเกินไป “เวลานี้ถูกสถาปนาเป็นท่านโหวอีก เขาไม่คิดจะทะยานขึ้นฟ้าเลยหรือ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ แม่ทัพหน้ากากเหล็กก็นึกถึงอีกคน หัวเราะออกมา “ไม่ง่ายหรอก ในเมืองหลวงยังมีอีกคนที่คิดจะทะยานขึ้นฟ้าเหมือนกัน”
…
เฉินตันจูมองดูจดหมายบนโต๊ะ ก่อนจะมองจู๋หลิน เอ่ยถาม “สิ่งใดกัน”
จู๋หลินพูดอย่างนิ่งเฉย “จดหมายตอบกลับของท่านแม่ทัพ”
“ข้ารู้แล้ว” เฉินตันจูพูด ชี้ไปที่ตัวอักษรบนจดหมาย อ่านออกมา “ข้ารู้แล้ว” นางมองไปยังจู๋หลินอีกครั้ง “หมายความว่าอย่างไร”
จู๋หลินถลึงตา “ย่อมหมายถึงรู้ว่าคุณหนูตันจูเขียนขอบคุณท่านแม่ทัพอย่างไรเล่า”