บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 138 นั่ง
ถึงแม้ภายในห้องรับรองแขกมีเหล่าคุณหนูตระกูลฉางดูแล แต่เหล่านายหญิงตระกูลฉางและเหล่านายหญิงของแต่ละตระกูลล้วนให้คนจับตาดูเอาไว้ ป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น โดยเฉพาะหลังจากเฉินตันจูเดินทางมาถึง…เหล่านายหญิงแทบอยากจะวิ่งเข้ามาดูเอง
ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นจึงถูกส่งไปยังบริเวณที่เหล่านายหญิงอยู่ในทันที
“คุณหนูเวยเวย?”
“คุณหนูตันจูมาหาคุณหนูเวยเวย?”
สวรรค์เอ๋ย ที่แท้เฉินตันจูก็มาเพื่อหาคนเล่นด้วย…คุณหนูเวยเวยผู้นี้คือใคร เหล่านายหญิงถามซึ่งกันและกัน เป็นคนของตระกูลใด
เหล่านายหญิงของตระกูลฉางต่างมีสีหน้าตกตะลึง พวกนางคุ้นเคยชื่อของคุณหนูเวยเวยนี้ แต่ไม่กล้าเชื่อ “เวยเวยตระกูลเรา?”
เหล่านายหญิงท่านอื่นต่างเงี่ยหูฟัง ถามขึ้นอย่างรีบร้อน “เวยเวยนี้เป็นคนของตระกูลพวกท่านหรือ”
แม้แต่เหล่าฮูหยินตระกูลฉางยังไม่อยากเชื่อ นางรีบถามสาวรับใช้ “เวยเวยตระกูลเราหรือ?”
สาวรับใช้ทั้งตื่นเต้นทั้งกังวลทั้งเกรงกลัว “เจ้าค่ะ เวยเวยตระกูลเราเจ้าค่ะ คุณหนูตันจูมาถึงก็จับมือของเวยเวย เวลานี้คนทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่เจ้าค่ะ”
เหล่าฮูหยินตระกูลฉางผงะ “เวยเวย นางรู้จักคุณหนูตันจูได้อย่างไร” เป็นไปไม่ได้ หากเวยเวยรู้จัก เหตุใดจึงไม่บอกนาง
อีกฝ่ายคือเฉินตันจูเชียว!
ส่วนเหล่านายท่านที่อยู่โถงด้านหน้า ถึงแม้จะไม่ได้จับตาดูเหล่าคุณหนูทุกเวลาเหมือนนายหญิงทั้งหลาย แต่ก็ยังมีเฝ้าดูอยู่เป็นบางเวลา ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นทางนี้ในทันที
ที่แท้คุณหนูตันจูมาเพื่อหาคุณหนูเวยเวยคนนี้ ส่วนคุณหนูเวยเวยนี้เป็นคุณหนูของตระกูลฉาง
ทุกคนคลายความสงสัยในที่สุด ก่อนจะส่งเสียงไม่พอใจในเวลาเดียวกัน “มีการไปมาหาสู่กันแต่แรกจริงด้วย ยังมาบอกว่าไม่รู้สาเหตุที่คุณหนูตันจูตอบรับจดหมายของพวกท่าน อีกทั้งยังไม่เคยรู้จักกันมาก่อน”
“นายท่านฉางปิดบังเพื่ออันใด”
นายท่านฉางยิ้มเก้อ “ทุกท่าน เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ”
“เจ้าไม่รู้? คุณหนูเวยเวยไม่ใช่คนของตระกูลเจ้า?” นายท่านคนหนึ่งพูด
นายท่านฉางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะอธิบาย “เวยเวยนี้ไม่ถือว่าเป็นคนของตระกูลพวกข้าจริง นางเป็น คุณหนูจากตระกูลของมารดาข้า มักจะรับมาอยู่ด้วยบ่อยครั้งตั้งแต่เล็ก สามารถพูดได้ว่าเติบโตข้างกายมารดาของข้า”
ที่แท้ก็เป็นคุณหนูตระกูลสะใภ้ เหล่าฮูหยินตระกูลฉางมีต้นกำเนิดไม่ดีนัก เหล่านายท่านไม่รู้เรื่องของตระกูลฉางมากเท่าใดนัก สิ่งที่รู้ก็มีเพียงนายท่านตระกูลฉางเวลานี้สืบทอดมาจากสายแยก ตระกูลสะใภ้สายแยกย่อมไม่ใช่ตระกูลชั้นสูงอะไร…
“ไม่รู้ว่าเป็นคุณหนูตระกูลใด”
“บิดาทำอันใด”
เวลานี้ทุกคนไม่สนใจว่าตนเองจะเปิดเผยถึงความไม่รู้จักตระกูลฉาง พวกเขาต่างซักถามอย่างตรงไปตรงมา
นายท่านฉางทำได้เพียงพูด “ท่านทวดของข้าเดิมทีเป็นหมอหลวงในพระราชวัง ต่อมาเนื่องจากร่างกายไม่แข็งแรงนักจึงขอถอนตำแหน่งมาเปิดร้านยา ท่านทวดมีบุตรแค่สองคนคือมารดาข้าและท่านลุงข้า ท่านทวดจากไปเร็ว ท่านลุงร่างกายไม่แข็งแรงนัก จึงมีบุตรสาวเพียงคนเดียวเช่นกัน น้องสาวและน้องเขยของข้าเปิดร้านยาของตระกูล เวยเวยเป็นบุตรสาวของพวกเขา”
นี่มัน…ตระกูลเล็กหรือ เหล่านายท่านที่นั่งอยู่ต่างผงะ มองหน้าซึ่งกันและกัน นางรู้จักคุณหนูตันจูได้อย่างไร
อาจเป็นเพราะตอนที่ท่านทวดเป็นหมอหลวงจึงรู้จักกับเฉินเลี่ยหู่? ดังนั้นทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์กันมาก่อน?
นายท่านฉางรู้สึกเก้อเขินภายในใจ อันที่จริงเขาก็ไม่รู้ ท่านทวดและท่านลุงจากไปเร็ว ตระกูลเล็กเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจ หากแต่ท่านแม่เห็นว่าท่านทวดจากไปเร็ว ท่านลุงน่าสงสาร จึงประคับประคองท่านลุงเปิดร้านยา เมื่อท่านลุงตายจากไป เหลือบุตรสาวไว้คนเดียว ท่านแม่ยิ่งสงสาร โดยเฉพาะบุตรสาวคนนี้ยังแต่งงานกับชายในตระกูลเล็ก ก่อนจะให้กำเนิดบุตรสาวอีกคน…
ท่านแม่ไม่อยากให้ตระกูลของตนเองล่มสลายไปเช่นนี้ จึงมีใจประคับประคอง ดังนั้นจึงรับหลานสาวมาเลี้ยงไว้ข้างกาย เพื่อบ่มเพาะความเป็นคุณหนูตระกูลฉาง ทำให้นางได้แต่งงานกับตระกูลใหญ่
สำหรับนายท่านฉางแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ดังนั้นเขาจึงไม่เคยสนใจ อีกประเดี๋ยวให้คนไปถามเสีย
ไม่เพียงแค่นายท่านและเหล่านายหญิงที่ตกตะลึงและสงสัย เวลานี้หลิวเวยก็สับสน
“เจ้า เหตุใดเจ้า” นางมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกาย หญิงสาวที่พบกันเพียงไม่กี่ครั้ง นางคิดมาเสมอว่าอีกฝ่ายเป็นคนในตระกูลเล็ก…
นาง เหตุใดนางคือเฉินตันจู
เฉินตันจูหยิบผลไม้จากบนโต๊ะขึ้นมา ตนเองกินชิ้นหนึ่ง ให้หลิวเวยชิ้นหนึ่ง ก่อนจะยิ้มหวานให้นาง “ข้าบอกแล้วว่าข้าเปิดร้านยา พี่สาวก็ไม่ได้รังเกียจข้า หลิวจั่งกุ้ยก็ให้ความดูแลต่อข้าอย่างมาก อีกทั้งให้ตำราแพทย์แก่ข้า พี่สาวและหลิวจั่งกุ้ยล้วนเป็นคนดี ข้าชอบเล่นกับท่าน”
ไม่ใช่ปัญหาที่พวกเขาเป็นคนดีหรือคนเลว แต่เพราะว่าพวกเขาไม่รู้ หลิวเวยยิ้มขมขื่น หากรู้ตั้งแต่แรกว่าอีกฝ่ายคือเฉินตันจู นางย่อมไม่มีทางไปร้านยา หลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาทำให้ท่านพ่อเดือดร้อน ท่านพ่อมีความเป็นไปได้ที่จะปิดร้านยาหนีภัย…
เฉินตันจูเป็นเช่นนี้หรือ ในร้านยานางสดใสทะเล้น จิตใจบริสุทธิ์ ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างดี…แตกต่างจากเฉินตันจูในคำร่ำลืออย่างสิ้นเชิง ผู้ใดจะรู้ว่าเป็นคนเดียวกัน
“พี่เวยเวย ท่านกินสิ” เฉินตันจูบอก
นางให้ขนมน้ำตาลตอนที่ตนร้องไห้ หลายวันก่อนยังยื่นข้าวเหนียวเคลือบงาให้นาง…หลิวเวยรับมาอย่างเหม่อลอย ก่อนจะกินเข้าไป ตระกูลฉางซื้อผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการรับรองแขก แปะก๊วยแช่ไว้ในบ่อน้ำมาก่อน เมื่อกินเข้าไปภายในปากจึงรู้สึกเย็นฉ่ำ
“นับแต่วันนั้น ท่านก็พักอยู่ที่นี่หรือ” เฉินตันจูสนทนากับนาง ก่อนจะหยิบลูกท้อขึ้นมาจากจาน จากนั้นใช้ส้อมเล็กเสียบเอาไว้ ก่อนจะยื่นให้หลิวเวยอีกครั้ง “ไม่ได้กลับบ้านหรือ”
หลิวเวยรับลูกท้อมาก่อนจะตอบรับ “ไม่ได้กลับเลย”
“ท่านพักอยู่ที่นี่ประจำหรือ” เฉินตันจูถาม ก่อนจะยิ้มหวาน “เช่นนั้นที่นี่ต้องสนุกอย่างแน่นอน”
หลิวเวยตอบรับ ก่อนจะส่งลูกท้อเข้าปาก…
เหล่าคุณหนูตระกูลฉางที่ยืนอยู่ด้านข้างตาแทบจะหลุดออกมา หลิวเวยถูกเฉินตันจูปรนนิบัติเช่นนี้? ให้นาง นางก็กินหรือ
“คุณหนูตันจู” อาอวิ้นอดพูดไม่ได้ “ตระกูลของพวกข้าสวยงามไม่น้อย เวยเวย เจ้าพาคุณหนูตันจูไปเดินเล่นเถิด”
หลิวเวยตั้งสติได้ มองดูส้อมเล็กที่อยู่บนมือของตนเอง ก่อนจะมองสายตาเร่าร้อนรอบด้าน จากนั้นมองไปยังคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง…
เมื่อเห็นนางมองมา เฉินตันจูยิ้มให้นาง ถาม “พี่สาวอยากกินอันใดอีก”
นาง นางยังอยากกินอันใดกัน หลิวเวยวางส้อมลง “ไม่ ไม่กินแล้ว เจ้ากินเถิด”
เหล่าคุณหนูตระกูลฉางเห็นท่าทางตะกุกตะกักและเกรงกลัวของหลิวเวยต่างรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย อีกทั้งดูหมิ่นนางเล็กน้อย ถึงแม้จะเติบโตในตระกูลของพวกนางแต่ก็ไม่อาจบ่มเพราะกิริยาเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่ออกมาได้…
“คุณหนูตันจู” คุณหนูตระกูลฉางคนหนึ่งเบียดเข้ามา ก่อนจะชี้จานที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยรอยยิ้ม “ท่านลองชิมสิ่งนี้ สิ่งนี้คือแตงหวานที่ตระกูลฉางเราปลูกเอง เลิศรสอย่างมาก”
เฉินตันจูยิ้มให้นาง “จริงหรือ ข้าลองชิมดู” นางใช้ส้อมจิ้มขึ้นมาหนึ่งชิ้น หลังจากกินเข้าไปแล้วก็พยักหน้า “เลิศรสจริงด้วย” พูดจบพลันหยิบส้อมจิ้มอีกชิ้นหนึ่งยื่นไปให้หลิวเวย “พี่เวยเวยต้องกินบ่อยอย่างแน่นอนใช่หรือไม่”
หลิวเวยรับมาด้วยความผงะ “ไม่บ่อยนัก”
ไม่บ่อยนักหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าตระกูลฉางดูแลนางไม่ดี ไม่ได้ให้นางกินเป็นประจำหรือ สายตาของคุณหนูตระกูลฉางบริเวณรอบด้านคมเหมือนมีด…
หลิวเวยตั้งสติได้ ก่อนจะรีบพูด “มีเพียงเวลานี้ที่ผลสุกแล้วถึงจะได้กิน”
เฉินตันจูกัดส้อมเล็กพลางพยักหน้า “ข้าโชคดีเสียจริง ที่เวลานี้เข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลพวกท่าน”
คำพูดนี้พูดด้วยความเกรงใจ ถึงแม้จะเป็นเหล่าคุณหนูของตระกูลฉางที่อยู่ท่ามกลางความกังวลก็ยิ้มตามขึ้นมา
ดังนั้นจึงยิ่งมีเหล่าคุณหนูล้อมเข้ามาไม่น้อย อีกทั้งยังมีคนนั่งลง
“คุณหนูตันจู ท่านชิมสิ่งนี้”
“คุณหนูตันจู ท่านไปดูทะเลสาบในตระกูลของข้าหรือไม่”
สายตาของเฉินตันจูมองไปยังพวกนาง ยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณมาก ข้าอยากพูดคุยกับพี่เวยเวยก่อน”
เฉินตันจูไล่พวกนางไปหรือ เหล่าคุณหนูของตระกูลฉางหยุดพูดลง คนที่กำลังจะนั่งลงทำได้เพียงลุกขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“เช่นนั้น เวยเวย เจ้าดูแลคุณหนูตันจูให้ดี” คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางรีบพูด ก่อนจะส่งสายตาให้หลิวเวย อย่ามัวแต่เหม่อลอย!
หลิวเวยตอบรับ ก่อนจะมองดูเหล่าพี่น้องเดินจากไป เมื่อเห็นว่าบริเวณรอบด้านไม่มีผู้ใดกล้าเดินเข้ามาอีก แต่สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องมายังตนเอง มีทั้งอยากรู้ทั้งสงสัย พวกนางต่างสนทนากันเสียงเบา “คุณหนูตระกูลใดกัน” เหล่าคุณหนูตระกูลฉางยังคงตอบว่า “คุณหนูตระกูลญาติของพวกข้า” แต่ไม่ว่าผู้ถามหรือผู้ตอบ น้ำเสียงและท่าทางแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
หลิวเวยมองเฉินตันจู
เฉินตันจูกำลังมองพินิจผลไม้และขนมบนโต๊ะอย่างตั้งใจ “พี่เวยเวย ท่านชอบกินสิ่งใด สิ่งใดอร่อย”
หลิวเวยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้รอยยิ้มอ่อนโยนและเป็นธรรมชาติ นางชี้นิ้ว “เจ้าลองดูสิ่งนี้”
เมื่อเห็นคนทั้งสองทางนี้พูดคุยกินดื่มอย่างออกรสออกชาติ เหล่าคุณหนูของตระกูลฉางยืนอยู่ด้านข้าง ลืมรับรองคุณหนูท่านอื่นไปชั่วขณะ ส่วนเหล่าคุณหนูก็ไม่ต้องให้พวกนางรับรอง จิตใจของทุกคนล้วนอยู่บนตัวของคนทั้งสอง
“เวยเวยรู้จักเฉินตันจูได้อย่างไร” คุณหนูใหญ่ตระกูลฉางถามขึ้นอย่างตกตะลึง “ดูท่าทางยังสนิทกันไม่น้อย”
“ข้าเข้าใจแล้ว” อาอวิ้นพึมพำอยู่ด้านข้าง “ที่แท้เฉินตันจูก็มาเพื่อเวยเวย”
ทุกคนมองไปยังนาง
อาอวิ้นมองพวกนางกลับ สีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย
“อันที่จริง ข้าก็เคยพบนางมาก่อน” นางพูด “อีกทั้งข้ายังปฏิเสธที่จะให้นางมาจวนของพวกเรา”