บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 133 จุดประสงค์
คำพูดนี้คนอื่นเป็นคนพูด เจ้าของเรื่องพูดไม่ได้ หลิวเวยกระจ่างในเหตุผลนี้อย่างมาก
“พี่อาอวิ้น ท่านพูดสิ่งใดกัน” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “เข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ได้เป็นความโชคดีของข้า”
เมื่อเทียบกับพี่น้องคนอื่นในตระกูลที่อิจฉาไม่ชอบญาติฝั่งมารดาของท่านทวด รู้สึกว่านางแบ่งความรักของท่านทวดไปนั้น อาอวิ้นกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น ภายในตระกูลมีพี่น้องมากมายเพียงนี้แล้ว เพิ่มมากขึ้นหนึ่งคนไม่มีทางแบ่งความรักของท่านทวดไปได้ แต่หากตนเองปฏิบัติดีต่อพี่น้องและเป็นคนดี ท่านทวดจะยิ่งรักตนเองมากขึ้น
อีกทั้งหลิวเวยก็ซาบซึ้งในการปฏิบัติของตนเองเป็นอย่างยิ่ง รู้แจ้งในตนเอง เมื่ออยู่ด้วยกันมีความสบายใจมากกว่าอยู่กับพี่น้องในตระกูลของตนเอง
อาอวิ้นหัวเราะข้างหูนาง “ไม่เป็นที่สนใจก็ดี บุตรหลานของตระกูลใหญ่เมืองอู๋ต่างเดินทางมา เมื่อถึงเวลาเวยเวยเจ้าต้องดูเหล่าคุณชายนี้ให้ดี”
หลิวเวยหน้าแดงก่ำ “อย่าพูดเหลวไหล ข้าไม่อยากดูเสียหน่อย”
อาอวิ้นหัวเราะ “ไม่ดูบุตรหลานของตระกูลใหญ่เหล่านี้ เจ้ารอดูคนจนอย่างบุตรตระกูลจางหรือ”
คนจนอย่างบุตรตระกูลจางเป็นปมในใจของหลิวเวย เมื่อพูดถึงเขา หลิวเวยที่ยิ้มอยู่ในเดิมทีก้มหน้าต่ำลง ขนตายาวมีน้ำตาเกาะติด
“เจ้าอย่าเอาแต่ร้องไห้” อาอวิ้นโมโห “ร้องไห้มีประโยชน์อันใด”
“แต่ข้าร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์” หลิวเวยไม่ปิดบังความคิดของตนเองเมื่ออยู่ต่อหน้าอาอวิ้น “เดิมทีท่านพ่อถูกท่านยายเกลี้ยกล่อมสำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายเมื่อได้รับจดหมายจากจางเหยา แม้แต่ท่านยายก็ไม่กลัวแล้ว ตระกูลที่ไปคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ เขาก็ไม่ยินยอม ปฏิเสธอีกฝ่ายไป ข้าไม่ได้อะไรทั้งสิ้น อีกทั้งยังทำให้คุณหนูตระกูลจงขุ่นเคือง ถูกนางเยาะเย้ย”
อาอวิ้นส่งเสียงไม่พอใจ “คุณหนูสี่ตระกูลจงอิจฉา เวลานั้นมีคนเสนอนางให้คุณชายตระกูลชุย แต่สุดท้ายคุณชายตระกูลชุยชื่นชอบเจ้า”
หลิวเวยถอนหายใจเสียงเบา ก้มมองสวนของตระกูลฉางที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟ “แล้วอย่างไร ชีวิตของข้า ข้าตัดสินใจเองไม่ได้”
“เอาเถิด อย่าเศร้าโศกไปเลย” อาอวิ้นพูด “ท่านทวดบอกแล้วไม่ใช่หรือ เชื่อฟังบิดาของเจ้าก่อน
ให้จางเหยานั้นเข้าเมือง ถึงเวลานางจะให้จางเหยาถอนหมั้น เจ้าไม่เชื่อข้า แต่เจ้าจะไม่เชื่อท่านทวดหรือ” จากนั้นส่งหัวเราะเสียงเบาๆ ข้างหูนาง “อันที่จริงคุณชายตระกูลชุยนั้นไม่มีวาสนาต่อกันก็แล้วไป ตระกูลชุยก็ไม่ได้ดีนัก เจ้ารอก่อนเถิด ต่อไปจะมีดียิ่งกว่า”
หลิวเวยผลักนางด้วยใบหน้าแดงก่ำเพราะความเขินอาย “เจ้าพูดเหลวไหลอีกแล้ว”
อาอวิ้นชี้แสงไฟในจวนใหญ่ด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล เจ้าดู ตระกูลเราจะจัดงานเลี้ยงใหญ่เพียงนี้แล้ว โด่งดังไปทั่วเมืองอู๋ ไม่ใช่ เวลานี้คือเมืองหลวง”
หลิวเวยมองดูแสงไฟที่สวยงาม ใช่ ท่านยายยิ่งอยู่ชีวิตยิ่งดี ตอนนั้นท่านแค่แต่งงานกับบุตรหลานธรรมดาคนหนึ่งของตระกูลฉางเท่านั้น ผู้ใดจะคิดว่าบุตรหลานคนนี้จะถูกโอนมาให้บ้านใหญ่ กลายเป็นนายท่านของตระกูลฉาง ท่านยายกลายเป็นนายหญิงของตระกูลชนชั้นสูงด้วยฐานะของบุตรสาวตระกูลไต้ฟู ต่อไปนางย่อมต้องเป็นเช่นนี้ ไขว่คว้าโอกาสกระโดดออกจากตระกูลเล็ก อย่าได้เหมือนท่านแม่…
ถึงแม้ครานี้งานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อปลอบใจนางในเดิมทีจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ของตระกูลฉาง คุณหนูฝั่งญาติอย่างนางไม่ได้เป็นที่สนใจอีกต่อไป แต่ท่านยายมีชีวิตอยู่ดีมากเท่าใด นางย่อมมีชีวิตที่ดีมากขึ้นได้เท่านั้น
“เวยเวย ไปเถิด” อาอวิ้นยื่นมือด้วยรอยยิ้ม “พวกเราก็ไปจัดเตรียมเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับกันเสีย”
หลิวเวยจับมือของนางเอาไว้ พี่น้องสองคนจูงมือกันหายลับไปภายในจวนใหญ่ของตระกูลฉางด้วยรอยยิ้ม
เหมือนดั่งที่คุณหนูอาอวิ้นตระกูลฉางพูด เวลานี้ตระกูลฉางแห่งตงเจียวมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองหลวง…ถึงแม้จะโด่งดังภายในตระกูลใหญ่ของเมืองอู๋เดิมเท่านั้น ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะตระกูลฉาง…
หลี่จวิ้นโส่วถือจดหมายเชิญเข้าร่วมงานล่องเรือของตระกูลฉางพลิกซ้ายพลิกขวา “ดูไม่ออกว่าตระกูลฉางมีสิ่งใดพิเศษ อีกทั้งพวกเขายังไม่เคยมีการไปมาหาสู่กับเฉินเลี่ยหู่มาก่อน”
คุณหนูหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม “ไปดูก็รู้แล้วกระมัง”
นายหญิงหลี่เลือกเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับอยู่ด้านข้าง นางเร่งเร้าให้บุตรสาวมาลองสวมใส่
“ท่านแม่ พวกเราไปเพื่อดูคุณหนูตันจู” คุณหนูหลี่พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เพื่อดึงดูดสายตา แต่งตัวธรรมดาก็พอ”
นายหญิงหลี่ตำหนิ “ได้อย่างไร นอกจากคุณหนูตันจู ยังมีตระกูลอื่นอีกมากไปด้วย พวกเราเสียฐานะไม่ได้”
คุณหนูหลี่แสร้งทำเป็นครุ่นคิด “ท่านแม่อย่าคิดมากเกิน ไม่แน่ว่างานเลี้ยงอาจไม่ราบรื่น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคุณหนูตันจูไปเพื่อแก้แค้นหรือไม่ หากเกิดเหตุขึ้นมากลางคัน…”
นายหญิงหลี่ตกใจ ก่อนจะโยนชุดกระโปรงที่สาวรับใช้ยื่นมากลับไป “เช่นนั้นจะทำอย่างไร พวกเรายังจะไปอยู่หรือไม่”
คุณหนูหลี่หัวเราะออกมา
หลี่จวิ้นโส่วพูด “ขู่ท่านแม่เจ้าเพราะอันใด ซนยิ่งนัก” ก่อนจะมองภรรยา “คุณหนูตันจูไม่ก่อเรื่องโดยไม่มีเหตุผล คราก่อนข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ ที่นางมีเรื่องเพราะว่าคดีเหยียดหยามดูหมิ่นฮ่องเต้เหล่านั้น คุณหนูตันจูไม่ได้ทำเพื่อก่อเรื่อง หากแต่ทำเพื่อจะได้เข้าทูลกับฝ่าบาท”
นายหญิงหลี่ส่ายหัว “เข้าทูล นางเป็นแค่หญิงสาวตัวเล็ก แต่กลับเก่งกาจเสียยิ่งกว่าขุนนางราชสำนักเสียอีก”
หลี่จวิ้นโส่วนึกถึงเรื่องที่คุณหนูตันจูเคยทำ ก่อนจะยิ้มขมขื่น “สิ่งที่นางทำเก่งกาจเสียยิ่งกว่าขุนนางราชสำนักจริงๆ”
คุณหนูหลี่คลี่เสื้อผ้าออกมาทาบอยู่บนตัวของนายหญิงหลี่ พูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่วางใจเถิด อันที่จริงคุณหนูตันจู…”
นายหญิงหลี่อุทานออกมา “มองไม่ออกเสียจริง”
ประเดี๋ยวฟ้องศาล ประเดี๋ยวฟ้องคุณชาย ด่าทอคนในตระกูลของขุนนาง ทำร้ายคุณหนู
“ท่านแม่ สิ่งเหล่านั้นเพราะว่านางถูกผู้อื่นรังแก” คุณหนูหลี่พูด “หากเป็นข้าที่ถูกรังแก ข้าก็อยากจะทำเช่นนั้น…เพียงแต่ไม่กล้าเท่านั้นเอง”
นายหญิงหลี่มองบุตรสาวของตนเอง อกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย “เจ้าอย่าเลียนแบบนาง ก่อเรื่องไปทั่ว”
คุณหนูหลี่หัวเราะจนตัวงอ นายหญิงหลี่ก็หัวเราะขึ้นมา คนทั้งตระกูลพูดคุยอย่างสนุกสนาน มีบ่าวรับใช้เรียกขานนายท่านอยู่ด้านนอก…
หากไม่ใช่เรื่องสำคัญบ่าวรับใช้ไม่มีทางเข้ามาด้านหลังจวน
หลี่จวิ้นโส่วรีบออกไป ไม่นานนักเขาเดินกลับมาด้วยสีหน้าหนักใจ นายหญิงหลี่และคุณหนูหลี่หยุดเสียงพูดคุยลง มองเขาพลันถามขึ้น “ที่ว่าการเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
นอกจากเรื่องของที่ว่าการแล้วยังมีเรื่องใดที่ทำให้ใต้เท้าหลี่กังวล
หลี่จวิ้นโส่วชี้ไปยังจดหมายเชิญของตระกูลฉางบนโต๊ะ
“งานเลี้ยงของตระกูลฉางนี้จัดใหญ่แล้ว” เขาพูด “ฮองเฮาให้องค์หญิงจินเหยาออกงานเลี้ยงของตระกูลฉางด้วย นางกำนัลในพระราชวังเดินทางไปถ่ายทอดพระราชโองการที่ตระกูลฉางแล้ว”
องค์หญิง!
นายหญิงหลี่และคุณหนูหลี่ตกตะลึง ช่างเกินความคาดหมายเสียจริง “เพราะเหตุใด”
ตระกูลฉาง…
“ฮองเฮาได้ข่าวงานเลี้ยงของตระกูลฉาง” หลี่จวิ้นโส่วพูด “เมื่อได้ยินว่างานเลี้ยงของตระกูลฉางนี้ ตระกูลใหญ่ของเมืองอู๋แทบทั้งหมดล้วนเข้าร่วม ฮองเฮาบอกว่าต่อจากนี้ล้วนเป็นคนของเมืองหลวง ไม่แบ่งคุณหนูเมืองอู๋หรือคุณหนูเมืองซีจิง ทุกคนต้องอยู่ร่วมกัน ดังนั้นครานี้จึงให้องค์หญิงไปด้วย”
นายหญิงหลี่และคุณหนูหลี่สบตากัน “เรื่องนี้ ดีหรือร้าย”
“ย่อมต้องเป็นเรื่องดี” หลี่จวิ้นโส่วพูด “ตั้งแต่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ตระกูลใหญ่เมืองอู๋และตระกูลใหญ่เมือง
ซีจิงก็ไม่มีการไปมาหาสู่กันอีก เวลานี้ฮองเฮามาแล้ว ย่อมต้องสานสัมพันธ์ให้ทั้งสองฝ่าย บังเอิญตระกูลฉางจัดงานเลี้ยงใหญ่เพียงนี้ หากองค์หญิงเข้าร่วม ตระกูลใหญ่เมืองซีจิงย่อมต้องไป ครานี้ตระกูลฉางคงต้องจัดงานใหญ่แล้วจริงๆ …”
เมื่อมีการเข้าร่วมขององค์หญิง งานเลี้ยงนี้ก็เปรียบดั่งงานเลี้ยงของราชวงศ์แล้ว
นายหญิงหลี่ผงะ มองเสื้อผ้าบนมือ ก่อนจะรีบวางลง จากนั้นสั่งสาวรับใช้ “เปิดห้องคลัง เปิดลัง”
คุณหนูหลี่มองบิดาของตนเองที่บอกว่าเป็นเรื่องดี แต่คิ้วของนางก็ยังคงขมวดมุ่น ถามออกมาด้วยความลังเล “แต่ว่างานเลี้ยงนี้ คุณหนูตันจูก็อยู่”
จะว่าไปตระกูลใหญ่อื่นๆ ในเมืองอู๋ไม่ได้มีการปะทะโดยตรงกับตระกูลใหญ่เมืองซีจิง มีเพียง
คุณหนูตันจูที่ปะทะกับอีกฝ่าย
เวลานี้ตระกูลใหญ่เมืองซีจิงมีองค์หญิงนำทัพเข้าร่วมงานเลี้ยงกับคุณหนูตันจู มีจุดประสงค์อันใด
ต้องการแสดงอานุภาพ? หรือต้องการข่มความเย่อหยิ่งของคุณหนูตันจู?