บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 114 ร้องขอ
ขันทีกลุ่มหนึ่งกระจัดกระจายออกไปดุจดั่งแห ไม่ถึงครึ่งชั่วยามแหถูกดึงกลับมา หลายสิบคดีที่เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏของราษฎรอู๋วางอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้
เฉินตันจูยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ฮ่องเต้ไม่ได้พูดกับนาง ระหว่างนี้ยังไปกินขนม เวลานี้เมื่อคดีถูกส่งมา ฮ่องเต้ดูทีละเล่มอย่างละเอียด จนกระทั่งดูจนครบจากนั้นจึงโยนไปด้านหน้าของเฉินตันจู
“มีบทกลอนมีจดหมายไปมาหาสู่กัน มีพยานหลักฐาน ตระกูลเหล่านี้คิดกบฏต่อข้าจริง การตัดสินมีปัญหาอันใด เจ้าต้องรู้ว่าหากตามกฎแล้วตระกูลเหล่านี้ต้องถูกประหารทั้งหมด!”
เฉินตันจูมองดูเอกสารคดีที่กระจายอยู่ข้างตัว “พยานหลักฐานล้วนสามารถปลอมแปลงได้…”
“เฉินตันจู!” ฮ่องเต้ขัดนางด้วยความโกรธ “เจ้าสงสัยเว่ยถิง? หรือว่าเหล่าขุนนางของข้าล้วนตาบอดหรือ ทั้งเมืองหลวงมีเพียงเจ้าตาสว่างอยู่ผู้เดียว?”
ขันทีจิ้นจงยืนส่ายหัวอยู่ด้านข้าง เขามองดูแม่นางตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง คำพูดของอีกฝ่ายโง่เขลาเป็นอย่างมาก คำพูดนั้นเปรียบดั่งกำลังตำหนิความเน่าผุของทั้งราชสำนัก…ทำให้น่าขุ่นเคืองเสียยิ่งกว่าตำหนิความไร้คุณธรรมของฮ่องเต้ ฝ่าบาทเป็นผู้ที่หยิ่งทะนงในตนเองเป็นอย่างยิ่ง
“ฝ่าบาท ข้าผิดไปแล้ว” เฉินตันจูก้มตัวลง “แต่การปลอมแปลงที่ข้าพูดหมายถึง เมื่อมีการตัดสินเหล่านี้ ย่อมมีคดีเช่นนี้มากขึ้นถูกสร้างขึ้นมา ฝ่าบาทท่านก็เห็นแล้ว ตระกูลที่เกี่ยวข้องกับคดีเหล่านี้ล้วนมีความพิเศษเหมือนกัน พวกเขาล้วนมีจวนและแปลงนาที่ดี”
จุดนี้ฮ่องเต้ก็เห็นถึง เขาเข้าใจความหมายที่เฉินตันจูพูด เขาก็รู้ว่าเวลานี้สิ่งที่ขาดแคลนที่สุด และเป็นที่แย่งชิงที่สุดในเมืองหลวงใหม่คือจวน…ถึงแม้จะบอกว่ากำลังสร้างเมืองใหม่ แต่ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาในเวลานี้ได้
ย่อมมีคนคิดหาวิธีเพื่อให้ได้จวนที่ต้องการมา ซึ่งวิธีนี้ย่อมไม่ใช่วิธีที่ดีนัก
แต่…ฮ่องเต้ถามอย่างเย็นชา “เหตุใดไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้มีแปลงนาและจวนที่ดี กิจการตระกูลเจริญรุ่งเรือง จึงไม่มีความกังวลในเรื่องปากท้อง มีเวลารวมตัวกินดื่มเที่ยวเล่น แต่งบทกลอนบทกวีเกี่ยวกับเรื่องของราชสำนัก”
หากไม่ใช่พวกเขาพูดจาโอ้อวดจริง เหตุใดจึงถูกคนจับจุดอ่อนได้ ถึงแม้จะถูกพูดเกินจริงหรือถูกใส่ร้าย แต่พวกเขาก็ทำตัวเอง
เฉินตันจูเข้าใจความหมายของฮ่องเต้ นางรู้ถึงความแค้นของฮ่องเต้ที่มีต่อเหล่าท่านอ๋อง ความแค้นนี้อาจกระทบไปบนตัวของราษฎรในเมืองของเหล่าท่านอ๋องบ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…ชาติก่อนหลี่เหลียงใส่ร้ายตระกูลชั้นสูงของเมืองอู๋อย่างบ้าคลั่ง เขาปฏิบัติต่อเหล่าราษฎรราวกับเป็นนักโทษ ย่อมเป็นเพราะเขารู้ถึงความคิดของฮ่องเต้ จึงทำให้เขากล้าที่จะทำอย่างไร้ความเกรงกลัว
“ฝ่าบาท” นางเงยหน้าพึมพำ “ฝ่าบาทโปรดเมตตา”
แตกต่างจากครั้งก่อนที่ดูนางกำเริบเสิบสานอยู่เฉยเมย ครานี้เขาแสดงออกถึงความเย็นชาของฮ่องเต้ ตกใจกลัวแล้วหรือไม่ ฮ่องเต้มองแม่นางตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“พวกเขามีกิจการตระกูลที่เจริญรุ่งเรือง ทำให้พวกเขาสามารถเรียนหนังสือได้ อีกทั้งเรียนจนมีความสามารถมาก ถึงได้ระลึกถึงชื่อของพื้นที่โบราณไม่ยอมปล่อยวางเสียดสีแผ่นดินในเวลานี้ สำหรับพวกเขาแล้ว ความไม่ดีในเวลานี้ยิ่งเป็นหลักฐานยืนยันในสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นถูกต้อง” เขาพูดอย่างเย็นชา “เหตุใดตระกูลเล็กที่ไม่มีจวนหรือแปลงนาที่ดีจึงไม่เกี่ยวข้องกับคดี เพราะว่าสำหรับราษฎรเหล่านี้แล้ว เมืองอู๋เป็นอย่างไรในอดีตมีประวัติศาสตร์อย่างไรล้วนไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือชีวิตที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เพียงแค่มีชีวิตอยู่ดีก็เพียงพอแล้ว”
ฮ่องเต้พูดจบจึงลุกขึ้นยืน เขาก้มมองเฉินตันจูที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้า
“เฉินตันจู ตระกูลเช่นนี้ ข้าไม่ควรขับไล่หรือ หรือข้าต้องปล่อยให้พวกเขาปั่นป่วนเมืองหลวง ทำให้คนอื่นอยู่อย่างไม่สงบ จึงถือว่ามีความเมตตา?”
เฉินตันจูส่ายหัว ก่อนจะพยักหน้า นางครุ่นคิดก่อนจะพูดขึ้น “ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ เป็นบิดามารดรของเหล่าราษฎรนับหมื่น ความเมตตาของฝ่าบาทย่อมเหมือนความเมตตาของบิดามารดร”
ดังนั้น? ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว
“ข้ารู้ว่าพวกเขาไม่เคารพต่อฝ่าบาทหรือบอกได้ว่าไม่รักใคร่” เฉินตันจูคุกเข่าอยู่บนพื้น เมื่อนางไม่แสร้งร้องไห้ไม่แสร้งอ่อนแอนั้น เสียงของนางใสดุจน้ำในลำธาร “เนื่องจากเป็นราษฎรของท่านอ๋องมานาน เหล่าท่านอ๋องมีอำนาจมาก เหล่าราษฎรย่อมต้องพึ่งพาเขาในการมีชีวิต เมื่อเวลาผ่านไปนานพวกเขาจึงมองเหล่าท่านอ๋องเหมือนบิดาของตน ทำให้ไม่รู้ว่ามีฝ่าบาท”
นางพูดถึงตรงนี้จึงยิ้มขึ้น
“ฝ่าบาท ไม่มีผู้ใดกระจ่าง และอธิบายเรื่องนี้ได้ดีเท่าข้า เพราะว่าพ่อข้าคือเฉินเลี่ยหู่ ตอนนั้นเขาเคยใช้มีดข่มขู่ฝ่าบาทเพื่อท่านอ๋องอู๋”
ไม่ร้องไม่โวยวาย เริ่มแสร้งทำตัวว่านอนสอนง่ายแล้วหรือ กลอุบายนี้จะใช้ได้กับเขา? ฮ่องเต้ไร้สีหน้า
“แต่ว่าฝ่าบาท” เฉินตันจูมองเขา “ท่านยังคงต้องรักใคร่โอบอ้อมต่อพวกเขา…”
ฮ่องเต้หัวเราะออกมา มองนางแต่ไม่พูด
“ฝ่าบาท เรื่องนี้เหมือนกับการเลี้ยงลูก” เฉินตันจูพูดต่อด้วยเสียงเบา “พ่อแม่มีลูกสองคน คนหนึ่งถูกอุ้มไปตั้งแต่เล็กเติบโตขึ้นในตระกูลของคนอื่น รับกลับมาหลังจากเติบใหญ่ เด็กคนนี้ย่อมไม่สนิทชิดใกล้กับพ่อแม่ มันเป็นเรื่องธรรมดาแต่อย่างไรก็เป็นลูกของตนเอง ผู้เป็นพ่อแม่ย่อมต้องรักใคร่เมื่อเวลานานไปอย่างไรย่อมสามารถได้ใจกลับมา”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว เหตุผลอันใดกัน
“ลูกที่ถูกคนอื่นเลี้ยงจนโต ย่อมต้องสนิทชิดใกล้กับพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมากกว่า เมื่อจากกันย่อมระลึกถึงกัน มันคือเรื่องปกติของมนุษย์ แต่มันก็เป็นการแสดงออกถึงความมีคุณธรรม” เฉินตันจูก้มหน้าพูดเหตุผลของตนเองต่อ “หากเพราะว่าลูกคนนี้ระลึกถึงพ่อแม่ที่เลี้ยงดู พ่อแม่แท้ๆ ของเขาก็จะตำหนิเขาลงโทษเขา หากเป็นเช่นนั้นมิใช่เป็นการบังคับให้บุตรหลานกลายเป็นคนไร้คุณธรรมหรือ”
ฮ่องเต้อดพูดไม่ได้ “เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน”
“ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ ท่านย่อมต้องทำให้คนในแผ่นดินยอมรับ ต้องได้รับความรักและความเคารพจากคนในแผ่นดิน หากมีคนในพื้นที่หนึ่งไม่เคารพไม่รักไม่ยอมรับ ฝ่าบาทไม่อาจทำเพียงแค่ขับไล่พวกเขาไป อีกทั้งการกำจัดพวกเขาไม่ใช่หนทางที่จะทำให้เมืองหลวงมั่นคง จิตใจของฝ่าบาททุกคนต่างมองเห็น เมื่อพวกเขาเห็นว่าฝ่าบาทละทิ้งราษฎรของเมืองอู๋ คนอื่นย่อมรังแกพวกเขาอย่างไร้ความเกรงกลัว สิ่งนี้คือความหมายที่ข้าบอกว่าคดีสามารถปลอมแปลงได้ ท่านดูตั้งแต่คดีแรกของตระกูลเฉาเกิดขึ้น หลังจากนั้นจึงมีคดีมากมายปรากฏขึ้น ต่อไปอาจมีมากขึ้นกว่าเดิม…หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เหล่าราษฎรที่เดิมทียอมรับในตัวของฝ่าบาทย่อมต้องรู้สึกกังวล”
เฉินตันจูคุกเข่ายืดตัวตรง มองดูฮ่องเต้ที่ยืนไขว้มือไว้ด้านหลังอยู่บนที่สูง
“ข้าขอถามฝ่าบาท ท่านขับไล่บางตระกูลได้ แต่สามารถขับไล่ราษฎรทั้งหมดในเมืองอู๋หรือ”
“ขับไล่ราษฎรทั้งหมดในเมืองอู๋ แต่ก็ยังมีผืนแผ่นดินเมืองอู๋”
“หรือว่าฝ่าบาทอยากเห็นเมืองอู๋สั่นคลอนไร้ความสงบหรือ”
“หากเป็นเช่นนี้ เมืองจางจิงจะสงบสุขได้อย่างไร”
หลังจากที่นางพูดจบ ภายในตำหนักเงียบสงัด ฮ่องเต้เพียงแค่มองนางจากที่สูง เฉินตันจูเองก็ไม่หลบเลี่ยง
“ฝ่าบาท ถึงแม้จะมีคนไม่พอใจ ระลึกถึงเวลาที่มีท่านอ๋องอู่แต่แล้วอย่างไร บนผืนแผ่นดินนี้ไม่มีท่านอ๋องอู๋แล้ว ท่านอ๋องโจวตายแล้ว ท่านอ๋องฉียอมรับโทษแล้ว ฝ่าบาทสยบสงครามสามอ๋องแล้ว ราชสำนักทำให้เหล่าท่านอ๋องยอมจำนน ผืนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นราษฎรของฝ่าบาท”
นางพูดพลางก้มตัวลง
“เมื่อมีบุตรในตระกูลมาก ฝ่าบาทย่อมต้องลำบาก และรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ฮ่องเต้จ้องมองเฉินตันจู สีหน้าแปรเปลี่ยนไป ก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เฉินตันจู” น้ำเสียงของเขาเจือปนไปด้วยความสงสาร “เจ้าทำเพื่อราษฎรเมืองอู๋มากเพียงนี้ พวกเขาไม่มีทางซาบซึ้งเจ้า อีกทั้งเหล่าชนชั้นสูงที่มาใหม่นี้ย่อมจะเกลียดเจ้า เจ้าทำเพื่ออันใดกัน”
เฉินตันจูเงยหน้า “ฝ่าบาท ข้าไม่ได้ทำเพื่อพวกเขา ข้าทำเพื่อฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หัวเราะ “เพื่อข้าอีกแล้วหรือ”
“เพคะ ข้าไม่อยากให้ฝ่าบาทถูกตำหนิว่าเป็นผู้ไร้คุณธรรม” เฉินตันจูพูด
ฮ่องเต้หัวเราะ “แต่ทุกครั้งที่ข้าได้ยินคำตำหนิว่าเป็นผู้ไร้คุณธรรมล้วนมาจากเจ้า”
“ฝ่าบาทใจของข้า ทั้งแผ่นดินและสวรรค์ล้วนเป็นพยาน…” เฉินตันจูยื่นมือกุมอกเอาไว้ ก่อนจะพูดเสียงดัง “หัวใจของข้าขอแค่เพียงฝ่าบาทรู้ คนอื่นจะด่าก็ดีเกลียดชังก็มี ไม่มีอันใดที่น่ากังวล พวกเขาอยากด่าอะไรก็ได้ ข้าไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย”
ฮ่องเต้ยกขาถีบหีบที่ใส่ม้วนคดีเอาไว้จนพลิกคว่ำ “ไม่ต้องพูดจาหลอกลวงข้า!”