บุปผาลิขิตแค้น - ตอนที่ 1 กลับบ้าน
ฝนที่หยุดตกไปเมื่อตอนบ่าย ตอนกลางคืนกลับตกลงมาอีกครั้ง เสียงฝนตกกระทบลงบนหลังคาอารามดอกท้อเสียงดังเปาะแปะ เปลวไฟจากแสงเทียนภายในห้องวูบไหว ประตูห้องที่ปิดสนิทถูกเปิดออก ร่างของเด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาพุ่งตรงเข้าไปในสายฝน…
“คุณหนูรอง!”
เด็กหญิงอีกคนภายในห้องวิ่งตามออกมาพร้อมตะโกนเสียงดัง เมื่อประตูเปิดออก แสงเทียนภายในห้องทอดยาวออกมา ฉายให้เห็นสายฝนที่ราวกับสายใยนับหมื่นพัน เด็กหญิงที่วิ่งออกมาก่อนราวกับยืนอยู่ภายในตาข่ายผืนใหญ่
ฝนตกกระหน่ำ บนตัวของนางมีเพียงชุดกระโปรงรัดอกสีเขียวอ่อน ไม่มีแม้แต่เสื้อตัวในหรือเสื้อคลุม ชุดของนางเปียกชื้นแนบไปกับร่างกาย เผยให้เห็นสัดส่วนรูปร่างงดงาม
เด็กหญิงภายในห้องถือเสื้อคลุมไล่ตามออกมา ก่อนจะคลุมร่างของนางเอาไว้ พร้อมกับพูดอย่างร้อนใจ “คุณหนูรองจะทำอันใดเจ้าคะ ท่านยังไม่หายดีนะเจ้าคะ!”
เฉินตันจูหันหน้ากลับมา ดวงตาของนางดุจดวงดาว ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดฝน นางมองเด็กหญิงที่กอดตนเองไว้ “จิ้นซิง”
เด็กหญิงยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น “คุณหนู ข้าคืออาเถียน จิ้นซิงคือผู้ใดกันเจ้าคะ”
คุณหนูฝันร้ายหรือ เหตุใดตื่นขึ้นมาถึงได้ร้องโวยวายเสียงดัง ไม่ทันสวมใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก็วิ่งออกมาด้านนอก เพลานี้ยังเรียกตนด้วยชื่อแปลกประหลาด
เฉินตันจูส่ายหัวอย่างแรง ผมยาวสลวยสีดำขลับสะบัดไปมาอยู่กลางหยาดฝน นางพูดขึ้น “ตอนนี้เป็นปีอะไร ตอนนี้เป็นปีอะไร”
สาวรับใช้อาเถียนตกใจกลัวอย่างมาก นางกอดอีกฝ่ายเอาไว้แน่นพร้อมตอบ “เจี้ยนเฉิงปีที่สาม[1] เจี้ยนเฉิงปีที่สาม เจ้าค่ะ”
เจี้ยนเฉิงปีที่สาม เพลานี้คือเจี้ยนเฉิงปีที่สาม เฉินตันจูพยายามสูดลมหายใจเข้าให้ตนสงบลง ก่อนจะหันมากอดสาวรับใช้อาเถียนเอาไว้ “อาเถียน เจ้าอย่ากลัว ข้าไม่เป็นใด ข้าเพียงแต่ เพลานี้ อยากกลับบ้าน”
อาเถียนพูด “คุณหนู เพลานี้ฝนตกหนัก ฟ้าก็มืดแล้ว พรุ่งนี้พวกเราค่อยกลับไปดีหรือไม่เจ้าคะ”
ไม่ได้ พรุ่งนี้กลับไป ท่านพี่ก็ไปแล้ว เฉินตันจูตะโกนขึ้น “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ ข้าบอกว่าข้าจะกลับบ้านตอนนี้ เตรียมม้า!”
ถึงแม้เฉินตันจูจะอายุเพียงสิบห้าปี แต่นางขี่ม้ายิงธนูทุกวันจึงมีกำลังอย่างมาก นางเพียงแค่สะบัดแขน อาเถียนก็เซถอยออกไปแล้ว
คุณหนูรองดื้อรั้นเพียงใด สาวรับใช้อาเถียนรู้ดีที่สุด นางไม่กล้าหยุดรั้งอีก “คุณหนูรอประเดี๋ยว ท่านสวมเสื้อกันฝน ข้าไปเรียกคนมาเตรียมม้าเจ้าค่ะ”
อารามดอกท้อตั้งอยู่บนเขาไม่อาจขี่ม้าได้ ภายในอารามก็ไม่มีม้า บ่าวรับใช้ องครักษ์และรถม้าของตระกูลเฉินล้วนอยู่ด้านล่างเขา
เฉินตันจูไม่ได้วิ่งไปมาอยู่กลางสายฝนด้วยเสื้อตัวในอีก นางบอกให้อาเถียนรีบไป ส่วนตนเองกลับเข้าห้องไปถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออก ดึงผ้าแห้งมาเช็ดอย่างไม่ใส่ใจ เมื่ออาเถียนวิ่งกลับมา ก็พบเฉินตันจูกำลังรื้อค้นตู้ด้วยร่างที่กึ่งเปลือย…
เฉินตันจูจำไม่ได้ว่าเสื้อผ้าของตนเองเมื่อสิบปีก่อนวางไว้ตรงไหน
อาเถียนทั้งร้อนใจทั้งตื่นตระหนกทั้งขบขัน นางใช้ผ้าห่มห่อหุ้มเฉินตันจูเอาไว้ “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ท่านจะป่วยเข้านะเจ้าคะ”
เฉินตันจูนึกถึงสาเหตุที่ตนเองเดินทางมาอารามดอกท้อในครั้งนี้ ไม่ใช่มาพักรักษาตัวอย่างที่คนอื่นเขาพูดกัน เพียงแต่เพราะว่าตนเองร้องขอจะเข้ากองทัพทหารเหมือนดั่งพี่ชายและพี่เขยจนถูกท่านพ่อเฉินเลี่ยหู่ต่อว่า ตนเองจึงหนีออกจากบ้านมายังอารามดอกท้อด้วยความโกรธ
อารามดอกท้อเป็นสมบัติส่วนตัวของตระกูลเฉิน ถือเป็นอารามของตระกูล ภูเขาดอกท้อเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านเมื่อเข้าเมืองหลวง มีภูเขามีแม่น้ำ ผู้คนผ่านไปผ่านมา ตนเองชอบความคึกคักจึงมักมาเที่ยวเล่นที่แห่งนี้
เพียงแต่การมาครั้งนี้ กลับไปอีกครั้งก็พบเจอแต่ร่างไร้วิญญาณของครอบครัว
เฉินตันจูหายใจเข้าลึกๆ อาเถียนสวมเสื้อผ้าให้นางเสร็จสิ้น นอกประตูมีเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้น สาวรับใช้รายอื่นต่างเดินเข้ามา บ้างในมือถือตะเกียงบ้างในมือถือเสื้อกันฝนและหมวก ความงัวเงียบนใบหน้ายังไม่สลายไป
ไม่รู้เหตุใดคุณหนูรองจึงโวยวายอยากกลับบ้านตอนดึก อีกทั้งยังเป็นตอนฝนตกหนักด้วย อาจเป็นเพราะคิดถึงบ้านมาก?
คุณหนูรองมีนิสัยเอาแต่ใจมาก อยู่บ้านไม่มีใครขัดได้
เฉินฮูหยินเสียไปตอนคลอดคุณหนูรอง ท่านมหาราชครูเฉินทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จึงไม่ได้มีการสมรสใหม่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเฉินไม่ได้ดูแลเรื่องในบ้านเนื่องจากสภาพร่างกายอ่อนแอ พี่น้องสองคนของท่านมหาราชครูเฉินไม่อาจแทรกแซงเรื่องของบ้านใหญ่ได้ อีกทั้งท่านมหาราชครูรักลูกสาวคนเล็กนี้เป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้จะมีคุณหนูใหญ่คอยดูแล แต่คุณหนูรองก็ถูกเลี้ยงออกมาจนมีนิสัยตามใจตนเอง
พวกนางล้อมขึ้นมาสวมเสื้อกันฝนและรองเท้าเกี๊ยะให้เฉินตันจู ก่อนจะฝ่าฝนที่ตกกระหน่ำลงเขาไป
มีสาวรับใช้ลงเขาไปส่งสารก่อนแล้ว เมื่อรอจนกระทั่งขบวนของเฉินตันจูลงมา คบเพลิง รถม้าและองครักษ์ล้วนเตรียมพร้อมออกเดินทาง
“คุณหนูรอง ฝนตกหนักมาก” องครักษ์คนหนึ่งพูดขึ้น “ท่านนั่งรถม้าเถิดขอรับ”
เฉินตันจูจูงม้าตัวหนึ่ง “นั่งรถม้าช้าเกินไป ข้าจะขี่ม้า คนอื่นรออยู่ที่นี่”
อาเถียนจูงม้าอีกตัวเช่นเดียวกัน ในฐานะสาวรับใช้ของเฉินตันจู การขี่ม้าเป็นความสามารถที่จำเป็น นางจึงสามารถติดตามกลับไปได้
เหล่าองครักษ์ไม่พูดอะไรอีก คุ้มครองเฉินตันจูมุ่งหน้าไปยังทิศทางของคูเมือง ทิ้งคนอื่นๆ และอารามดอกท้อเอาไว้ด้านหลัง
ฝนตกหนักมาก เฉินตันจูรู้สึกได้ถึงหยาดฝนที่ซึมเข้ามาในเสื้อกันฝน ใบหน้าของนางถูกฝนกระทบจนเจ็บ สิ่งเหล่านี้ล้วนกำลังบ่งบอกนางว่าไม่ใช่ความฝัน
เฉินตันจูไม่สนใจว่าเป็นความฝันหรือไม่ ถึงจะเป็นความฝัน นางก็ต้องพยายามที่จะทำ
ด้านหน้าสามารถมองเห็นตำแหน่งที่ตั้งของคูเมืองขนาดใหญ่ มันดูเหมือนโคมไฟที่ระยิบระยับ
เมืองอู๋เป็นเมืองที่ไม่หลับใหล
ถึงแม้หลายสิบปีมานี้ จะเกิดสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างห้าเมืองก่อนหน้านี้ อีกทั้งเพลานี้ยังเกิดเรื่องการกบฏของท่านอ๋องสามชิงจวินเช่อ ไม่มีวันสงบแม้แต่วันเดียว แต่สำหรับเมืองอู๋แล้วมีชีวิตที่มั่นคงไม่ได้รับผลกระทบ
สงครามพวกนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา เมืองอู๋มีแม่น้ำเทียนเชี่ยน หากปักหลักกองทัพที่ปากแม่น้ำ แม้จะมีปีกก็ยากที่จะหนีพ้น มีบ้างที่เข้าใกล้ แต่ก็ถูกจู่โจมจนล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว…ถึงแม้บุตรชายของท่านมหาราชครูเฉินเสียไปในสนามรบ แต่เมื่อเกิดสงครามย่อมมีคนตาย พูดได้เพียงบุตรของท่านมหาราชครูเฉินโชคไม่ดี
เนื่องจากกองทัพของราชสำนักเคลื่อนย้ายเข้าใกล้ เมื่อหลายวันก่อน ภายใต้การร้องขอของท่านพ่อ ท่านอ๋องอู๋ถึงออกคำสั่งงดออกข้างนอกตอนกลางคืน ด้วยเหตุนี้ทำให้คนจำนวนมากมายไม่พอใจ
ชาวบ้านไม่พอใจที่ใช้ชีวิตไม่สะดวก ขุนนางไม่พอใจเกรงว่าจะก่อเกิดความวุ่นวายและความตื่นตระหนก เมื่อท่านอ๋องอู๋ได้ยินว่ามีคนไม่พอใจก็เริ่มรู้สึกเสียใจ บางทีอาจเปิดตลาดกลางคืนขึ้นอีกครั้งในไม่ช้านี้เพื่อให้ทุกคนใช้ชีวิตตามแบบเดิม…
ทหารของราชสำนักมีอะไรน่ากลัว ม้าที่เลี้ยงในเขตของฮ่องเต้เพียงสิบกว่าเขตยังมีจำนวนไม่มากเท่าเมืองของเจ้าแคว้น อีกอย่างยังมีเมืองโจวและเมืองฉีที่กำลังปะทะกับราชสำนักเช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีคนคิดว่าครานี้ราชสำนักจะโจมตีเข้ามาได้จริง ยิ่งคาดไม่ถึงว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในอีกสิบกว่าวันข้างหน้า เริ่มด้วยภัยน้ำท่วมที่ไม่ทันเตรียมการรับมือ ทำให้เมืองอู๋ตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างกะทันหัน กองทัพนับแสนคนเปราะบางอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าน้ำหลาก ตามมาด้วยเมืองหลวงถูกโจมตี ท่านอ๋องอู๋ถูกสังหาร
เฉินตันจูหายใจเข้าลึกๆ หยาดฝนที่พัดผ่านเข้ามาพร้อมกับลมทำให้นางกระแอมไอติดต่อกันหลายที
“คุณหนู!” อาเถียนตะโกน “จะถึงแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินตันจูมองไปยังข้างหน้า โลกแห่งแสงสีปรากฏอยู่ตรงหน้า ประตูเมืองที่ปิดสนิทก็ดี คำสั่งงดออกข้างนอกตอนกลางคืนก็ดี ไม่มีผลอะไรต่อองครักษ์ตระกูลเฉิน
พวกเขาเดินขึ้นไปเคาะประตู ผู้เฝ้าประตูได้ยินว่าเป็นคนของท่านมหาราชครูก็ให้เข้าไปโดยไม่แม้แต่จะตรวจสอบ
เฉินตันจูโกรธ คิดจะตำหนิผู้เฝ้าประตู พวกเจ้าเฝ้าประตูเมืองเช่นนี้? แต่ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกโศกเศร้า คำตำหนิของนางจะมีประโยชน์อันใด เมืองอู๋มีข้อได้เปรียบทางด้านพื้นที่ หลายสิบปีมานี้ฟ้าฝนตกตามฤดูกาล ง่ายต่อการเฝ้าระวังแต่ยากต่อการรุกราน บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมีกองทัพทหารจำนวนมาก ผู้คนต่างเอื่อยเฉื่อยจนเคยชิน
นางกำเชือกในมือแน่น ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังบ้านของตนท่ามกลางลมฝน บ้านของนางตั้งอยู่ใกล้กับราชวัง…อืม ก็คือจวนแม่ทัพที่หลี่เหลียงอาศัยอยู่
ทุกคนในตระกูลเฉินถูกคนฆ่าตาย จวนก็ถูกเผาทิ้ง หลังจากฮ่องเต้อพยพเมืองหลวงแล้ว จึงทุบทำลายและสร้างที่แห่งนี้ใหม่ จากนั้นพระราชทานให้หลี่เหลียงใช้เป็นจวน
เมื่อขบวนของเฉินตันจูเข้าใกล้ จวนใหญ่ของตระกูลเฉินมีองครักษ์ออกมาดู ก่อนจะพบว่าเป็นคุณหนูรองกลับมาก็ล้วนตกใจ
“คิดถึงบ้านตอนกลางคืน?”
“ครานี้เป็นครั้งแรกที่คุณหนูรองออกไปเพียงสามวันก็คิดถึงบ้าน”
เหล่าองครักษ์พูดพึมพำเสียงเบา บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูของตระกูลเฉินต่างมองดูเฉินตันจูที่กระโดดลงม้ามาด้วยตัวเปียกชื้นอย่างตกตะลึง
เฉินตันจูมองดูจวนตรงหน้า นางไปแค่สามวันที่ไหนกัน นางไปกว่าสิบปีต่างหาก
“ใต้เท้าเพิ่งเข้านอน…” ก่วนเจีย[2]เดินเข้ามา “ให้ไปเรียกหรือไม่ขอรับ”
ถึงแม้รบกวนการนอนของใต้เท้าจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่หากบุตรสาวคิดถึงท่านพ่อจึงเดินทางกลับมาในกลางคืน ใต้เท้าคงต้องดีใจเป็นอย่างยิ่ง
เพลานี้สิ่งสำคัญไม่ใช่การพบท่านพ่อ เฉินตันจูเดินเข้าไปด้านในก้าวใหญ่ ก่อนจะถามขึ้น “ท่านพี่ล่ะ?”
ท่านมหาราชครูเฉินมีบุตรสาวสองคนบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวคนโตเฉินตันเหยียนสมรสกับหลี่เหลียง อาศัยอยู่ในจวนอีกแห่งอย่างมีความสุข จวนแห่งนั้นอยู่ในเมืองหลวงเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงสามารถกลับบ้านได้ทุกเวลา อีกทั้งยังมักรับเฉินตันจูไปพักด้วยเป็นประจำ แต่ในฐานะที่เป็นบุตรสาวแต่งออก นางกลับมาพักอยู่ในบ้านน้อยครั้งมาก
คุณหนูรองรู้ว่าคุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว คุณหนูใหญ่เพิ่งกลับมาตอนบ่ายของวันนี้ ก่วนเจียตกตะลึงมาก ก่อนจะรีบตอบ “ได้ยินว่าคุณหนูรองไปอารามดอกท้อ คุณหนูใหญ่เป็นกังวลจึงกลับมาดู”
เฉินตันจูถอนหายใจ ท่านพี่ไม่ได้เป็นห่วงท่านพ่อ แต่มาเพื่อขโมยตราประทับของท่านพ่อ
“ข้าจะไปพบท่านพี่” นางเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
เปลวเทียนสั่นไหวไปมาท่ามกลางสายฝน คนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา
“อาจู!” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังทะลุผ่านลมฝนมา “เหตุใดเจ้าจึงกลับมาแล้ว”
เฉินตันจูมองไปด้านหน้า ภายใต้แสงไฟที่มืดมนท่ามกลางลมฝนและเงาต้นไม้ มีร่างสูงของหญิงสาวในชุดขาวกำลังเดินนวยนาดมาทางนี้
เฉินตันจูมองภาพตรงหน้าอย่างนิ่งอึ้งอยู่สักพัก ก่อนจะสาวเท้าวิ่งเข้าไปหานาง
“ท่านพี่!”
นางพุ่งตัวเข้าไป หยาดฝนบนร่างกาย หยาดน้ำตาบนใบหน้าล้วนซึมลงไปในอ้อมอกของหญิงงามชุดขาว นางกำลังสัมผัสกับความอบอุ่นของอ้อมกอดของพี่สาว
นางหมดความปรารถนา มุ่งหน้าสู่ทางหวงเฉวียนเพื่อพบกับครอบครัว แต่ไม่คาดคิดว่าจะมีชีวิตกลับสู่ดินแดนมนุษย์อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว
————————————————————
[1] เจี้ยนเฉิง หมายถึง ชื่อปีในสมัยโบราณมักตั้งตามการสถาปนาของราชวงศ์
[2] ก่วนเจีย คือ พ่อบ้านประจำตระกูล