ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ - ตอนที่ 7
“อาการเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง?”หลานซูเมิ่ง ไม่สนใจผู้คนที่จ้องมองเลยแม้แต่น้อย เธอถามจิวโมไป๋ด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรแล้ว”จิวโมไป๋เสียงเรียบดูห่างเหิน เห็นท่าทางไร้เดียงสาของอีกฝ่ายแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะสงสารตัวเองในอดีต
“เป็นอะไรหรือเปล่า วันนี้ดูเหมือนอารมณ์ไม่ค่อยดี?”หลานซูเมิ่งเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างแปลกใจ
“ไม่มีอะไร”จิวโมไป๋ตอบเรียบเฉยเหมือนเดิม
“นายเคยบอกไม่ใช่เหรอว่า นายไม่ชอบการบ่มเพาะ ถึงตอนนี้จะบ่มเพาะพลังไม่ได้แล้วก็จริง แต่ด้วยความรู้ด้านวิชาการอันดับ 1 ของชั้นปี พอเรียนจบแล้ว นายก็สามารถหางานได้ง่ายๆ”หลานซูเมิ่งกล่าวปลอบให้กำลังใจ
จิวโมไป๋ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร ตัวเขาในอดีตก็ถูกอีกฝ่ายปลอบใจแบบนี้
ในยุคสมัยปัจจุบัน แม้จะสนับสนุนผู้บ่มเพาะก็จริง แต่ก็ไม่สามารถทิ้งการศึกษาวิชาการไปได้ เพราะโลกแต่เดิมก็กำลังก้าวเข้าสู้ยุคสมัยเทคโนโลยีล้ำยุคอยู่แล้ว
ทำให้ในปัจจุบันการศึกษาช่วงมัธยมปลาย หรือช่วงหลังอายุ 15 ปี ที่เด็กวัยรุ่นถูกปลุกตำหนักยุทธแล้ว จะให้ฝึกฝนทั้งสองอย่างไปพร้อมกัน จนเข้ามหาวิทยาลัย จะแบ่งสาขาการเรียนภายในมหาวิทยาลัยตามความถนัด ถ้าเก่งการบ่มเบาะพลังจะมีสาขาที่เน้นการบ่มเพาะเป็นหลัก และวิชาการเป็นรอง
และมีสาขาที่เน้นวิชาการเป็นหลัก และบ่มเพาะพลังเป็นรองเช่นกัน
แต่ถึงจะบอกให้ตั้งใจเรียนทั้ง 2 อย่างไปพร้อมกัน และเลือกสาขาที่ตนเองถนัดก็ตาม ในยุคสมัยที่สามารถบ่มเพาะพลังได้ใครจะยังเลือกเน้นศึกษาวิชาการ?
ทำให้เกิดค่านิยมในหมู่เด็กรุ่นใหม่ ที่ยึดถือความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะเป็นหลัก ดูถูกพวกที่เก่งแต่วิชาการ
นอกจากนั้นการบ่มเพาะพลังไม่ใช้แค่ทำให้แข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น อายุขัยก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ต่อให้จะฉลาดยังไงถ้าไม่บ่มเพาะพลัง อายุขัย สภาพร่างกาย จะเสือมสภาพเร็วกว่าคนที่บ่มเพาะพลัง ในเวลาไม่นานก็จะเสียชีวิต
ในอดีตมีบุคคลสำคัญของโลกจำนวนมากที่ฉลาด แต่เพราะอายุขัยทำให้พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จ
แต่ในตอนนี้มีการบ่มเพาะพลังอายุขัยยาวนานมากขึ้น
คนฉลาดที่อายุยืนยาวกับคนฉลาดที่อายุสั้น เป็นใครก็ต้องเลือก คนฉลาดอายุยืนมาทำงานด้วยทั้งนั้น
ในปัจจุบันมันจึงทำให้นักวิชาการที่ไม่บ่มเพาะพลัง ถูกมองว่าเป็นพวกอ่อนแอไร้ประโยชน์
จิวโมไป๋เป็นนักศึกษาที่เก่งเรื่องวิชาการ เขาเป็นอันดับ 1 ในชั้นปีที่ 1 ก่อนที่จะถูกทำลายตำหนักยุทธ เขาก็ไม่ได้จริงจังกับการบ่มเพาะพลังมากนัก แต่ก็อยู่ในระดับที่ดี ทำให้ไม่มีใครพูดดูถูกเขา
แต่เมื่อตำหนักยุทธถูกทำลาย ตอนนี้เขาก็กลายเป็นคนธรรมดาที่มีดีแค่ความฉลาดเท่านั้นเอง
…
เห็นว่าจิวโมไป๋เงียบไปหลานซูเมิ่ง ก็ไม่พูดอะไรอีกเพราะตอนนี้ผู้คนเริ่มที่ต้องเข้าหรืออกจากอาคารเรียนไม่ยอมผ่านไป พวกเขาจับกลุ่มกันเต็มไปหมด ถึงเธอจะไม่สนใจผู้คนยังไงเธอก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังสร้างปัญหา
“ซูเมิ่ง คุณรอผมนานไหม”ตอนนั้นเองเสียงทุ่มนุ่มอ่อนโยนดังขึ้น ทำให้ผู้คนที่กำลังมุงดูอยู่แหวกเปิดทางอย่างรวดเร็ว เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงกำยำ ใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก เขาเดินเข้ามาอย่างช้าๆ แต่สง่างามราวผู้สูงศักดิ์
นักศึกษาสาวหลายคนที่เห็นต่างกรี๊ดร้องด้วยความหลงไหล
“กรี๊ดดด คุณชายเซียวหนานจิ้น”
“อ๊ายยย ท่านเทพบุตรมาเรียนด้วยเหรอเนี้ย”
จิวโมไป๋ยกยิ้มแผ่วเบา ในที่สุดตัวแสดงหลักก็มา
เซียวหนานจิ้น บุตรชายคนโตของตระกูลเซียว ตระกูลโบราณที่สืบทอดเคล็ดบ่มเพราะกำลังภายในที่แข็งแกร่งเคล็ดบ่มเพาะสระอำพัน ภายนอกของเขาดูเป็นคนอบอุ่นอ่อนโยน ท้วงท่าทุกการกระทำดูสง่างามน่าชื่นชม
แต่ภายในซ่อนความชั่วร้ายที่ไม่มีใครสามารถรับรู้ได้
ถ้าเขาไม่บังเอิญไปทำให้อีกฝ่ายขัดตา จนถูกอีกฝ่ายลอบทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็คงไม่มีทางรู้แน่ ว่าคนที่วางแผนชั่วทั้งหมดจะเป็นคนที่แสดงใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยนราวกับหยกไร้มนทิน
“พี่จิ้น”หลานซูเมิ่งเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน จนใครเห็นก็ต้องละลาย ผู้ชายที่เผลอจ้องมองต้องยกมือปิดจมูก เพราะกลัวความดันขึ้นจนเลือดกำเดาไหล
“คู่สร้างคู่สมชัดๆ”
“อ๊ายย ถึงจะไม่อยากให้เทพบุตรมีคนรัก แต่ถ้าท่านจะมีคนรักเป็นเทพธิดา พวกเราก็ได้แต่ทำใจและคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”
เสียงซุบซิบชื่นชมไม่ขาดปาก ทั้งสองเดินเข้าหากัน เซียวหนานจิ้น ก้มกระซิบ แผ่วเบาจนคนอื่นๆไม่ได้ยิน มันทำให้ใบหน้างดงามของหลานซูเมิ่งแดงระเรือ เธอยกมือพลักอกอีกฝ่ายเบาๆ
ภาพงดงามของคู่รักทำเอาคนอื่นอิจฉา
จิวโมไป๋มองภาพนั้นอย่างใจเย็น เพราะมันเหมือนในอดีตไม่มีผิด อีกไม่นานก็…
เซียวหนานจิ้นเงยหน้าหันมาสบตาจิวโมไป๋ แล้วยิ้มขึ้นมาอย่างสุภาพอ่อนโยน“คุณคือจิวโมไป๋ เพื่อนของซูเมิ่งสินะ ผมได้ยินจากเธอมาว่าคุณทำอาหารอร่อยมาก ถ้าผมและซูเมิ่งมีเวลา พวกเราไปร้านอาหารของคุณได้ไหม”
“ได้”จิวโมไป๋กล่าวตอบสั้นๆแค่คำเดียว
“เจ้าบ้านั้นกล้าพูดแบบนั้นกับเทพบุตรได้ยังไง”
“นั้นมันเจ้าอัจฉริยะพิการ จิวโมไป๋ไม่ใช้เหรอ”
“หึ อัจริยะอะไรกัน อย่าพูดให้ขำเลย เมื่อตอนที่เทพบุตรอยู่ปี 1 เขาครองตำแหน่งผู้บ่มเพาะและวิชาการ อันดับ 1 ทั้ง 2 สาขา ไม่ได้เหมือนเจ้านั้น ที่เก่งแค่วิชาการ”
“ตอนนี้คุณชายเซียวหนานจิ้น บ่มเพาะพลังระดับสร้างฐานขั้นกล้ามเนื้อสูงสุด อีกไม่นานก็ทะลวงผ่านเป็นขั้นเส้นเอ็น แม้แต่ปี 4 ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่อยู่ในขั้นนั้นได้ เจ้าคนพิการนั้นจะเปรียบเทียบได้ยังไง”
“ถูกต้อง แต่น่าเสียดายที่เทพบุตรและเทพธิดา ไม่ได้เรียนอยู่ชั้นปีเดียวกันไม่อย่างนั้น ตำแหน่ง ที่ 1และที่ 2 ของแต่ละสาขาจะต้องอยู่ในมือของทั้งสอง แน่ๆ และมันจะกลายเป็นตำนานคู่รัก”
ฝูงชนเดิมซุบซิบกันดังขึ้นเรื่อยๆ
“พี่จิ้น ขอโทษแทนจิวโมไป๋ด้วย เขาพึ่งฟื้นจากการบาดเจ็บ วันนี้อารมณ์ของเขาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พี่จิ้นอย่าได้โกรธเขาเลยนะ”หลานซูเมิ่งพูดเสียงดังแก้ตัวให้จิวโมไป๋
ผู้คนเห็นว่าเทพธิดาแก้ต่างให้อีกฝ่าย พวกเขาได้แต่กลืนความไม่พอใจลงท้อง
“ไม่เป็นไรเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ผมไม่โกรธหรอก”เซียวหนานจิ้น ยกรอยยิ้มอย่างจริงใจ สายตาจ้องมองจิวโมไป๋อย่างอ่อนโยนราวพ่อพระ
ผู้คนยิ่งนับถือเขาไปอีกหลายระดับ
“ผมจะเตรียมห้องพิเศษไว้ให้ พวกคุณจะมาเมื่อไหร่ก็ส่งข้อความมาบอกผมได้เลย”จิวโมไป๋กล่าวจบ ก็ขอตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
หลานซูเมิ่งมองตามหลังไม่คิดใจอะไรนัก เซียวหนานจิ้นมองตามหลังด้วยประกายตาอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่ถ้าใครสังเกตดีๆจะเห็นร่องรอย สังหารแผ่วเบาอยู่ภายใน