บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 303 การสนทนาของแม่ลูก
วันนี้นางแต่งกายอย่างสูงศักดิ์ สวมชุดผ้าแพรปักรูปค้างคาวและรูปเด็กด้วยดิ้นเงินดิ้นทอง บนคอยังได้ใส่ไข่มุกหนานที่แวววาวอยู่เส้นหนึ่ง ไข่มุกหนานเส้นนี้ ทั้งกลมทั้งมันวาวและเม็ดใหญ่กว่าของไทเฮา ตำแหน่งของนาง ไม่ได้ด้อยไปกว่าไทเฮาซู
ท่านั่งของนาง ยังคงดูสง่างาม เอวตั้งตรง เปิดไหล่ ลำคอตรงระหง สองมือได้วางอยู่บนราวเก้าอี้ ด้วยท่าทางที่สง่างามเช่นนี้มองไปประตูด้านนอกที่พร่ามัว ด้วยสายตาว่างเปล่า
และสองแขนของโสวฝู่ฉู่สอดไว้ในแขนเสื้อเหมือนตาแก่ที่กำลังนั่งมองคนเล่นหมากรุกในตลาด หลังของเขางอเล็กน้อย ไหล่ตก หางคิ้วตก แต่ว่าแสงในแววตายังเปล่งประกาย ก็มองไปข้างนอกเหมือนกัน แต่ว่าภายใต้แววตานี้ ข้างนอกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขา
“เจ้าทำไมต้องทำเช่นนี้กับแม่ด้วย? ข้าเลี้ยงดูเจ้า ทำให้เจ้าประสบความสำเร็จ เจ้าทำไมถึงอกตัญญูเช่นนี้?”
ในที่สุด ยังคงเป็นฮูหยินย่าที่เปิดปากพูดก่อน น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“อกตัญญู?” โสวฝู่ฉู่หันข้างไปมองหน้านาง “หลายปีมานี้ ลูกไม่กตัญญูหรือ? ท่านแม่พูดอย่างไร ลูกก็ทำอย่างนั้น หลายปีมานี้ ท่านต้องการอะไรต่างได้ดั่งใจไปเสีย ในทุกวัน จะมีคนมาเยี่ยมท่านไม่น้อยกว่าสิบคน ความมีเกียรติของท่าน ความมั่งมีของท่าน มีสิ่งไหนที่ขาดหรือ?”
ฮูหยินย่ายิ้มอย่างเย็นชา “แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าให้ข้า”
“ไม่ใช่คนที่เป็นลูกชายให้ ใครเป็นคนให้? ท่านคิดว่าคนข้างนอก คนในจวน นั้นนับถือท่านที่ท่านเป็นอาวุโสหรือ?” โสวฝู่ฉู่กล่าวอย่างเฉยเมย
“เจ้ากำลังแก้แค้นแม่ ไม่มีใครที่เป็นลูกชายอย่างเจ้า” ฮูหยินย่าโกรธ
โสวฝู่ฉู่ส่ายหัว “แก้แค้นท่าน คงไม่รอจนถึงตอนนี้”
“แล้วทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ ฮูหยินย่ามองเขา ส่ายหัวอย่างผิดหวัง “เจ้าก็น่าจะรู้ เจ้าทำเช่นนี้ ตระกูลฉู่ก็จะสูญเสียความเคารพนับถือไปโดยสิ้นเชิง แล้วจะมีอะไรแตกต่างไปจากตระกูลอื่นๆ? อาจจะเทียบตระกูลอื่นไม่ได้ด้วยซ้ำ เจ้ากำลังทำลายรากฐานของตระกูลฉู่”
“รากฐาน? ไม่สนว่ามันจะใช่รากฐานหรือไม่ ข้าขอถามท่านแม่หนึ่งคำ รากฐานสำคัญ หรือว่าชีวิตที่อยู่ในจวนสำคัญ?” โสวฝู่ฉู่ถาม
ฮูหยินย่าเห็นเขาพูดออกมาจากใจจริง จึงปรับท่าทาง กล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง “รากฐานสำคัญ ชีวิตคนก็สำคัญ แต่ระหว่างสองอย่างนี้ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เจ้าทำรากฐานให้มั่นคง ก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องชีวิตคนในตระกูลฉู่ ในทางกลับกันสิ่งที่เจ้าทำในวันนี้ ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าตระกูลฉู่จะไม่ถูกรังแก”
“ท่านเห็นตัวเองเป็นฮ่องเต้ของประชาชนหรือไง?” โสวฝู่ฉู่ถอนหายใจเบาๆ “ท่านก็ใกล้เข้าโลงแล้ว ทำไมยังไม่รู้จักปล่อยวาง ใต้ฟ้านี้ไม่ใช่ของคนแซ่ฉู่ ตระกูลฉู่หลายปีมานี้ ล่วงเกินคนไปตั้งเท่าไหร่? ต่อให้ฮ่องเต้ทนได้ก็ตาม อนาคตหากข้าตายไป ตระกูลฉู่ต้องเสียหัวกี่หัวถึงจะชดใช้ได้หมด”
ฮูหยินย่ากล่าวอย่างร้อนใจ “ดังนั้น ข้าถึงได้ให้เจ้าสนับสนุนคนในจวนให้มากๆ ขอเพียงมีพลังที่มากพอรากฐานที่แข็งแกร่ง ต่อให้ข้าตาย เจ้าตาย ตระกูลฉู่ก็ไม่ถึงกับว่าไม่มีคนสืบทอด”
“สนับสนุน?” น้ำเสียงของโสวฝู่ฉู่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “ท่านหมายถึงหลานของท่าน เหลนของท่านหรือ? ตระกูลฉู่นั้นมีคนที่มากความสามารถจริง แต่ไม่ใช่พวกที่อยู่ใต้อำนาจท่าน ท่านให้ท้ายพวกเข้าจนเหลิง ทุกวันนี้รู้เพียงแต่ก่อเรื่อง มีสักคนที่พอจะมอบภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่นี้ให้ได้มั้ย? ข้าเป็นโสวฝู่ฉู่ของราชวงศ์ ตำแหน่งขุนนางในราชสำนักขึ้นๆลงๆ ข้าเห็นมาไม่น้อย การรุ่งเรืองและการถดถอยของแต่ละตระกูล ข้าก็เห็นกับตามาแล้ว หากตระกูลฉู่ยังไม่รู้จักทำความดีหลีกเลี่ยงความเลว ไม่รู้จักสำรวมตัว ในไม่ช้าก็จะถูกถอนรากถอนโคน สิ่งต่างๆในโลกนี้ เมื่อขึ้นสุดแล้วก็จะเสื่อมถอยลงมา ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน อายุท่านขนาดนี้ แม้แต่จุดนี้ก็ยังมองไม่ทะลุ หลายปีมานี้ที่อยู่สำนักนางชีเยว่เหมย หนังสือธรรมะที่อ่านไปมามากมายก็เปล่าประโยชน์”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้น “ไปพักผ่อนเถอะ”
ฮูหยินย่าลุกขึ้นมาทันที กล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าพูดคำพูดที่ฟังดูสวยหรูตั้งมากมาย ก็ไม่สามารถจะปิดบังเป้าหมายที่แท้จริงของเจ้าหรอก เจ้าก็เป็นเพราะนางกำนัลคนนั้น พวกเจ้าต่างแก่แล้ว ยังมีอะไรที่ปล่อยวางไม่ได้อีกหรือ? หากเจ้ายังคงไม่รู้จักผิด ข้าจะสั่งคนไปตัดหัวของนาง”
โสวฝู่ฉู่เดิมนั้นได้ก้าวเดินไปสองก้าวแล้ว ได้ยินคำพูดนี้ ก็หันกลับมาจ้องมองนางอย่างดุร้ายทันที
ฮูหยินย่ายังไม่เคยเห็นใบหน้าที่ดุร้ายของเขาเช่นนี้มาก่อน สะดุ้งตกใจจนล้มกลับไปนั่งบนเก้าอี้ “เจ้า…..เจ้าคิดอยากจะทำอะไรอีก? เจ้าอยากจะฆ่าแม่ของเจ้าหรือ?”
ร่างกายของโสวฝู่ฉู่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นเหมือนกับผีร้ายที่ขึ้นมาจากนรก “หากท่านกล้าแตะต้องเส้นผมของนางแม้แต่เส้นเดียว ข้าจะฆ่าล้างตระกูลถงให้สิ้นซาก
ตระกูลถง เป็นตระกูลเดิมของฮูหยินย่า
ฮูหยินย่าถูกคำพูดนี้ทำให้ตกใจจนตัวสั่น “เจ้า………ช่างใจกล้านัก เจ้ากล้าหรือ?”
“ท่านแม่ก็ลองดู!” เขาค่อยๆหันกายจากไป ลมข้างนอกได้พัดเข้ามา พัดจนเทียนสั่นไหวเหมือนจะดับ สีหน้าของเขาเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดไม่แน่นอน “ท่านแก่แล้ว ทำบั้นปลายของชีวิตให้มีความสุขเถอะ ลูกหลานก็มีบุญของลูกหลานเอง ไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องมากังวล พรุ่งนี้ลูกจะสั่งคนส่งท่านกลับไปที่สำนักนางชีเยว่เหมย หากไม่มีอะไรก็ไม่ต้องกลับมา”
“เจ้ามันจิตใจโหดเหี้ยม!” ฮูหยินย่าคำรามออกมาอย่างเสียใจ กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุก โมโหจนเกือบจะล้มลงไป
ในขณะที่ถูกด่าด้วยเสียงที่ดังโสวฝู่ฉู่ก็ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟ้าเพิ่งจะสว่าง ก็มีคนช่วยนางเก็บข้าวของ รถม้าก็ได้ถูกเตรียมเรียบร้อยเพื่อจะส่งนางกลับไปที่สำนักนางชีเยว่เหมย
ฮูหยินย่าถูกแม่นมถงพยุงเอาไว้ ค่อยๆก้าวเดินออกมาทีละก้าว
นางยังคงสวมใส่ชุดเมื่อคืนวานอยู่ นางเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์
แต่ว่าใบหน้าทั้งหน้านั้นเหี่ยวเฉามาก แม้กระทั่งก้าวเดิน ยังยืนไม่มั่นคงเสียแล้ว
ปากของนางยังคงตำหนิอยู่ ในใจเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ตรงประตู นางเห็นลูกอกตัญญูคนนั้น
ความโกรธที่อยู่ในใจได้กลายเป็นพลัง นางใช้ฝ่ามือตบลงไป กล่าวอย่างโกรธเคือง “ข้าจะดูว่าเมื่อเจ้าตายแล้วไปถึงยมโลก จะเอาหน้าอะไรไปเจอบรรพชน”
สีหน้าของโสวฝู่ฉู่ไม่เปลี่ยน เพียงแค่ยิ้มอย่างเย็นชา “คนที่เป็นลูกชาย ให้ท่านแม่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติมาทั้งชีวิต ทำไมข้าจะไม่มีหน้าไปเจอบรรพชน?”
“เจ้านั้นมีความคิดอย่างอื่น เห็นได้ชัดว่าเจ้าเกลียดข้ามาโดยตลอด หลายปีมานี้เจ้าเชื่อฟ้าข้า ข้าสั่งให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ทำอย่างนั้น ไม่เคยต่อต้านเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นเพราะเจ้ามีความคิดอย่างอื่น!” นางตวาดอย่างเสียงดัง
“ไม่ผิด!” โสวฝู่ฉู่มองนางอย่างเย็นชา “เพราะว่าท่านยังไม่ตาย ท่านยังม่แรงทำร้ายคนอื่น ข้าไม่สามารถอยู่ข้างกายนาง ต้องการปกป้องนาง ก็ต้องทำตามเชื่อฟังในสิ่งที่ท่านสั่ง วันนี้ไม่จำเป็นแล้ว เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าก็จะไปยืนข้างกายนาง ดูว่าใครจะกล้าแตะต้องนาง”
“เจ้า………เจ้า……….” ปากของฮูหยินย่าเบี้ยวไปหลายครั้ง และพูดไม่ออกแล้ว
แม่นมถงพยุงนาง ร้องไห้กล่าว “ท่านอย่าพูดอีกเลย เรากลับไปกันเถอะ จวิ้นจู่”
โสวฝู่ฉู่จูงม้า สั่งกระชับลูกน้อง “ส่งฮูหยินย่ากลับไปที่สำนักนางชีเยว่เหมย”
เขากระโดดขึ้นหลังม้า ควบม้าออกไป หมอกพิษที่สิงอยู่ในหัวใจมานาน ราวกับว่าสลายหายไปทันที
ใช่แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะยืนอยู่ข้างกายนาง ดูว่าใครจะกล้ามาแตะต้องเส้นผมของนางแม้แต่เส้นเดียว
ฮูหยินย่าเหมือนตายทั้งเป็น ถูกคนพยุงขึ้นรถม้า นางพยายามกลั้นโดยไม่ให้น้ำตาไหล ม่านของรถม้าถูกปล่อยลง นางก็ใช้สองมือปิดหน้า “ชั่วชีวิตนี้ข้าทุ่มเททั้งกายทั้งใจเพื่อเขา เขาทำไมต้องทำแบบนี้กับข้า?”
แม่นมถงถอนหายใจเบาๆ “จวิ้นจู่ ท่านทุ่มเทกายใจเพื่อเขา แต่การที่มีตำแหน่งใหญ่โตนั้นไม่มีความสุข เขาไม่เคยมีชีวิตที่มีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว เขาอดทนมาค่อนชีวิตแล้ว มีชีวิตมาครึ่งค่อนชีวิต ไม่มีวันไหนที่มีชีวิตเพื่อตัวเองเลย”
หัวของฮูหยินย่าเอียงไปข้างหลัง แต่ทำไม? “มันก็แค่ขี้ข้าชั้นต่ำคนเดียว ไม่คู่ควรกับเขา”
“มันเป็นคนที่เขาชอบ คนที่สามารถทำให้เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุข” แม่นมถงช่วยนางลูบหน้าอก กล่าวอย่างครุ่นคิด “บางคน ทั้งชีวิตก็อาจจะไม่เจอคนคนนั้น แต่เขาเจอแล้ว เขาไม่ได้มัน คนที่ได้ เขาไม่ชอบ”
“ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจ……….”
นางบ่นพึมพำคนเดียว รถม้าวิ่งไปเรื่อยๆ ค่อยๆห่างออกไปจากจวนตระกูลฉู่ ห่างไกลความรุ่งโรจน์และความครื้นเครงของที่นี่