บัลลังก์หมอยาเซียน - ตอนที่ 149 การผ่าพิสูจน์ศพ
ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งแล่นเข้ามาพลันผสานทั้งสองมือคารวะ : “ท่านอ๋อง พระชายาเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้น “พระชายา?”
นางมาทำสิ่งใด?ดึกถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดนางยังไม่นอน?
เขารีบลุกขึ้นเดินออกไปดูทันที ปรากฏว่าลู่หยากำลังประคองหยวนชิงหลิงเดินเข้ามา
เขาสาวเท้าเข้าไปประคองมือนางด้วยความรวดเร็วพลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน : “เหตุใดถึงออกมากลางดึกเช่นนี้?”
หยวนชิงหลิงเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเขาแล้วก็รู้สึกเห็นใจไม่น้อย “วันนี้เจ้าหญิงเล่าให้ข้าฟังแล้วว่าฝ่าบาทมีบัญชาให้ท่านคลี่คลายคดีภายในเจ็ดวัน เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดท่านถึงไม่บอกกับข้า ?”
เขาพูดปลอบประโลมด้วยเสียงอ่อน : “อย่ากังวลใจเลย เวลาเจ็ดวันยังไม่ถึงเสียหน่อย อีกอย่างข้าก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถคลี่คลายคดีได้ก่อนหมดกำหนดการ”
หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขากำลังพูดปด ถ้าหากว่าสามารถคลี่คลายคดีได้ก่อนวันที่กำหนดได้จริงๆ เขาก็คงจะไม่มีทางที่แม้แต่บ้านก็ไม่กลับหรอก
นางปล่อยให้เขาประคองนำหน้าเข้าไปด้านในพร้อมกับกล่าว: “ข้าอาจจะไม่เข้าใจเรื่องการไขคดี แต่ข้ามีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง ให้ข้าดูศพเถอะ บางทีข้าอาจจะพบเบาะแสบางอย่างก็เป็นได้”
“ดูศพ?ไม่ได้!” หยู่เหวินเห้าคัดค้านโดยทันที “คนตายมีอะไรน่าดูกัน?”
คนตายมาตั้งหลายวันแล้ว ถึงโรงเก็บศพจะถูกก่อด้วยก้อนน้ำแข็ง แต่ศพก็มีอาการขึ้นอึดบวมทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงอีกต่างหาก นางจะทนกลิ่นเช่นนั้นได้อย่างไร?
“แต่ว่าตอนนี้พวกท่านยังไม่ความคืบหน้าใดไม่ใช่หรือ?อย่าคิดที่จะปิดบังข้า” หยวนชิงหลิงกล่าวท้วง
“เชื่อข้าสิ ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น” หยู่เหวินเห้าพูดไปพลางรู้สึกว่าคำพูดของตัวเองดูไร้น้ำหนักความน่าเชื่อถืออย่างมาก
หลังจากที่นำตัวหยวนชิงหลิงมาส่งถึงด้านหลังที่ทำการ เขาก็ให้นางพักผ่อนอยู่บนเตียงลั่วฮั่น ก่อนจะออกไปก็ไม่วายหันไปตำหนิลู่หยาอีกว่านางไม่ดูแลให้พระชายาได้พักผ่อน
หยวนชิงหลิงรู้สึกตื้นตันใจกับความรักและเอาใจใส่ที่เขามอบให้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาตอนนี้เป็นสามีภรรยากัน ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรก็ควรที่ทั้งสองจะช่วยกันแบ่งเบา
ดังนั้นสำหรับการกระทำเช่นนี้ของหยู่เหวินเห้า ทำให้นางรู้สึกเอือมระอาเป็นอย่างมาก
แต่ก็ไม่ควรที่จะไปดื้อรั้นเกินไป เพราะเขาในตอนนี้เหมือนกำลังหงุดหงิดอย่างมาก
หยวนชิงหลิงเหมือนกับได้เปลี่ยนที่นอนใหม่ ในขณะที่เขายังคงยุ่งอยู่ตรงส่วนหน้าที่ทำการ
ส่วนสวีอีนั้นถูกสั่งไว้ให้คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก เพื่อไม่ให้นางเดินออกไปเพ่นพ่าน
หยวนชิงหลิงนอนไม่หลับ จึงใช้ให้ลู่หยาเรียกตัวสวีอีเข้าไปด้านใน
หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่หยวนชิงหลิงถูกลอบสังหาร ตอนนี้สวีอีดูเคร่งขรึมขึ้นอย่างมาก
ใบหน้ายิ้มแย้มและดูซื้อบื่อนั้นไม่มีอีกแล้ว “พระชายาเรียกกระหม่อมมีธุระอะไรหรอพ่ะย่ะค่ะ?”
“สวีอี!” หยวนชิงหลิงมองเขาแล้วถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง: “ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างไร?”
สวีอีตอบกลับด้วยความปลาบปลื้ม: “พระชายาดีต่อกระหม่อมอย่างมาก หากไม่ใช่พระชายาที่ช่วยร้องขอความกรุณากับท่านอ๋องแทนกระหม่อม เกรงว่ากระหม่อมก็คงไม่มีทางที่จะสามารถกลับมาปฏิบัติหน้าที่ข้างกายท่านอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงจึงกล่าวอย่างเด็ดขาด: “ดี เจ้าจำได้ก็ดี ข้าเคยช่วยเหลือเจ้าครั้งหนึ่ง เจ้าก็จงตอบแทนกลับด้วยการช่วยเหลือข้าสักครั้ง เจ้าว่าอย่างไร ?”
สวีอีผสานมือทั้งสองคารวะ : “พระชายาอย่าได้กล่าวคำว่าช่วยเหลือเลย มีสิ่งใดโปรดรับสั่ง กระหม่อมจะไม่ปฏิเสธแม้จะต้องตายเป็นหมื่นครั้งก็ตามพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องตายเป็นหมื่นครั้งหรอก ข้าแค่อยากให้เจ้าพาข้าไปยังโรงเก็บศพเท่านั้น” หยวนชิงหลิงกล่าว
สวีอีถึงกับอึ้ง “พระชายา ท่านไปยังโรงเก็บศพด้วยเหตุอะไรพ่ะย่ะค่ะ ?จะเสด็จไปที่แบบนั้นไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ มันน่าสยดสยองเกินไป อีกอย่างหากท่านอ๋องทราบเข้า ท่านอ๋องจะต้องลงโทษข้าเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงจ้องเขา “แล้วผู้ใดให้เจ้าไปแจ้งกับท่านอ๋องเล่า?เขาเพียงแค่พาขาไปก็พอแล้ว หากข้าไม่สามารถตรวจพบสิ่งใด เรื่องนี้ท่านอ๋องจะไม่มีทางรับรู้เด็ดขาด แต่ถ้าหากข้าสามารถพิสูจน์พบเบาะแส เจ้าก็ถือว่าได้คุณงามความดี”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าไม่ต้องการคุณงามความดี” สวีอีตอบกลับอย่างหนักแน่น
หยวนชิงหลิงเดินลงไปหาเขา แล้วพลางส่ายหน้า : “สวีอี คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้ ลืมบุญคุณคน”
สวีอีส่ายหน้าพลางตอบกลับอย่างไร้ทางต่อกร : “กระหม่อมไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าช่วยเหลือเจ้า ในยามที่ข้าร้องขอเจ้า แต่เจ้าไม่ช่วยข้า นี่ไม่ใช่คนอกตัญญูหรือ”
สวีอีรู้สึกลำบากใจอย่างมาก เมื่อมองดูใบหน้าที่โกรธและเย็นชานั้นของนางแล้ว เขาถึงกับชะงักไม่รู้จะทำสิ่งใด
ลู่หยาเข้าไปช่วยโน้มน้าวเขาอีกแรง “สวีอี เจ้าก็เห็นแล้วว่าช่วงนี้เพื่อไขคดีท่านต้องลำบากขนาดไหน บางทีพระชายาอาจจะช่วยอะไรท่านอ๋องได้บ้าง เจ้าจงช่วยพระชายาสักครั้งเถอะ อีกอย่างหากว่าท่านอ๋องทราบเรื่องเข้าจริงๆ เจ้าก็แจ้งกับท่านอ๋องไปว่าเป็นคำสั่งเด็ดขาดจากพระชายา เจ้าไม่กล้าที่จะคัดค้านก็ได้แล้ว”
สวีอีรู้ดีว่าท่านอ๋องจะต้องสับเขาเป็นชิ้นๆ แน่นอน
แต่ว่าเป็นความจริงที่ตอนนี้คดีไม่มีความคืบหน้าเลย รวมทั้งช่วงนี้พระชายามักจะสร้างปาฏิหาริย์อยู่บ่อยครั้ง บางทีการให้พระชายาเข้าไปดู บางทีอาจจะพบเบาะแสบางอย่างก็เป็นไปได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สวีอีจึงเงยหน้าขึ้นแล้วตอบตกลง : “เช่นนั้นก็ได้พ่ะย่ะค่ะ แต่พระชายาจะอยู่นานไม่ได้ ถึงแม้โรเก็บศพจะไร้คนเฝ้าดู แต่ว่าบางทีอาจจะมีเวรยามเดินลาดตระเวนไปทางนั้นได้ หากถูกพบเข้า จะต้องมีคนไปแจ้งแก่ท่านอ๋องแน่นอน”
“เอาตามที่เจ้าพูด!” หยวนชิงหลิงตอบตกลงแล้วหันไปพูดกับลู่หยา : “เจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ ถ้าหากท่านอ๋องมาที่นี่ เจ้าก็บอกเขาว่าข้าไปห้องสุขาแล้วก็พอ”
“รับทราบเจ้าค่ะ” ลู่หยาตอบรับ
สวีอีถือโคมพาหยวนชิงหลิงเดินออกไป
โรงเก็บศพอยู่บริเวณด้านหลังฝั่งซ้ายของที่ทำการปกครอง เป็นอาการก่อสร้างความใหญ่ขนาดห้าสิบตารางเมตร พร้อมกำแพงหนาทึบและหน้าต่างสองบาน ซึ่งไม่ได้เปิดทั้งหมด
ท่ามกลางความมืดมนในยามค่ำคืน บริเวณประตูทางเข้ามีเพียงโคมไฟสองดวงแขวนเอาไว้ ภายใต้แสงสีแดงอ่อนที่เรืองออกมาจากโคมไฟทำให้บริเวณทางเข้าโรงเก็บศพสาดส่องไปด้วยแสงสีแดง ท่ามกลางความมืดทำให้บรรยากาศยิ่งน่าสะพรึงมากยิ่งขึ้น
ในตอนที่สวีอีเดินผ่านเข้าไปเขาก็รู้สึกใจที่กำลังสั่นสะท้าน ก่อนที่จะหันไปหาหยวนชิงหลิง “พระชายาไม่กลัวหรือ?”
“มีอะไรน่ากลัวกัน?” หยวนชิงหลิงเดินเข้าไป “เจ้าจงอยู่ตรงนี้เฝ้าระวัง หากมีคนมารีบแจ้งข้าทันที”
“กระหม่อมจะเข้าไปกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีกลัวว่าหากหยวนชิงหลิงเข้าไปคนเดียวอาจทำให้นางตกใจกลัว ถึงนางจะพูดว่าไม่กลัว แต่มีใครบ้างที่ไม่กลัว ?ด้านในนั้นมีศพจำนวนมากขนาดนั้น ทั้งศพก็มีสภาพที่น่าสะพรึงขนาดนั้นอีก
“ไม่ต้อง เจ้าจะขวางมือขวางเท้าข้าเอา” หยวนชิงหลิงชิงเอาโคมไฟในมือของเขาแล้วปิดประตูลง ปล่อยให้สวีอีอยู่ด้านนอก
ภายในโรงเก็บศพมีกลิ่นฉุนที่รุนแรงยิ่งนัก หยวนชิงหลิงที่แม้จะสวมผ้าปิดปากเอาไว้ถึงสามชั้นแล้ว และกลิ่นนั้นก็ยังแรงจนทะลุเข้าจมูกนางจนได้ นางเปิดหน้าต่างออกให้ลมเข้ามาหมุนเวียนพัดเอากลิ่นฉุนนั้นออกไป
ถึงอย่างนั้นกลิ่นนั้นก็ยังรุนแรงจนทำให้เวียนหัว ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด จากนั้นนางจึงเปิดกล่องยาออกดูว่าด้านในพอจะมีอุปกรณ์สำหรับชันสูตรพลิกศพหรือไม่
มีดผ่าตัด , แม่เหล็ก ,สเปรย์ดับกลิ่น รวมทั้งไฟฉาย
ทุกครั้งที่นางคิดจะทำสิ่งใด ภายในกล่องยามักจะปรากฏอุปกรณ์หรือยาที่นางต้องการออกมา ฉะนั้นนางจึงมีความมั่นใจมากขึ้น
เมื่อเห็นอุปกรณ์อันเรียบง่ายอยู่ในกล่องยา นางก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย และหวังว่าจะได้พบร่องรอยบางอย่าง
นางดึงผ้าคลุมศพสีขาวของผู้ตายออก ทั้งสองครอบครัวรวมกันทั้งหมดแปดคน ซึ่งเพราะการแช่ดองศพที่ไม่ได้ดีมากนัก ทำให้มีสามศพที่บวมอืดขึ้นมาแล้ว
ศพทั้งร่างบวมอืด ดวงตาถลนออกมา ทั้งปากและจมูกมีเลือดไหลออกมา แขนขาทั้งหมดบวมเบ่ง ผิวเขียวช้ำ แวบแรกที่เห็นนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่หยวนชิงหลิงได้เห็นศพที่ขึ้นอืด แต่การที่มีศพทั้งแปดศพมาอยู่วางตรงหน้านางในเวลาเดียวกัน ทั้งยังมีอีกสามศพที่บวมอืดแล้วด้วย นั่นทำให้นางรู้สึกตกใจไปชั่วขณะ
นางมัดไฟฉายไว้กับหัวเพื่อที่จะให้มือทั้งสองข้างพร้อมใช้งาน ก่อนจะเริ่มทำการพิสูจน์ศพอย่างละเอียด
บาดแผลบนร่างกายของศพมีจำนวนมาก ประมาณแปดถึงสิบสองบาดแผลเลยทีเดียว แต่นี่ไม่ใช่จุดที่คร่าชีวิตแน่นอน จะว่าไปหากบาดแผลจำนวนเยอะขนาดนี้ไม่ได้รับการรักษา ก็สามารถตายจากการเสียเลือดเช่นกัน
แต่ทว่าตายจากการเสียเลือด ต้องไม่ใช่สาเหตุการตายเป็นแน่
ตายจากการเสียเลือดเป็นเพียงกระบวนการอย่างหนึ่งเท่านั้น
พวกเขาน่าจะตายอย่างรวดเร็ว อย่างเช่นการตายกะทันหัน หรือขาดอากาศหายใจ
แต่หากดูจากสภาพบาดแผลแล้ว ไม่น่าใช่สาเหตุเหล่านี้
เช่นนั้น สาเหตุการตายที่แท้จริงคืออะไรกันแน่?