บัลลังก์ชายาหมอเทวดา - ตอนที่ 13 ต้องตบตาเสด็จอาไปก่อน
บทที่ 13 ต้องตบตาเสด็จอาไปก่อน
เย่จายซิงกระพริบตา นางยังไม่ได้กล่าวออกไปอย่างตรงไปตรงมามากนัก เขาคงจะไม่ได้โกรธนางกระมัง
คนเราเมื่ออยู่ใต้หลังคาจะไม่ก้มหัวก็ไม่ได้
ในมือของนางยังถือกุญแจห้องยาของจวนอ๋องอยู่เลย
“ไม่ใช่นะเจ้าคะ ความหมายของข้าคือ จะปล่อยให้เกิดอย่างส่งๆ ไม่ได้ เราทั้งสองยังไม่คุ้นเคยกันเลยใช่หรือไม่”
“ข้าจะทำความคุ้นเคยกับเจ้าเอง ชายาของข้า”
จวินหยวนกล่าวจบก็หันไปสั่งพ่อบ้านให้พานางไปที่ห้องยา ด้วยท่าทางไม่รับการปฏิเสธจากนาง
เมื่อนางเดินตามพ่อบ้านมาถึงห้องยาแล้ว เย่จายซิงถึงจะเริ่มตั้งสติได้
จวินหยวนเรียกนางว่าชายา!
เขาทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร อยากแต่งงานกับนางจริงๆ แต่วันนี้นางเพิ่งได้พบหน้าเขาเป็นครั้งแรกเองนะ!
ความรู้สึกในใจของนางกำลังปั่นป่วน รู้สึกราวกับว่าตนกำลังถูกราชาหมาป่าโลกันต์จ้องมองอยู่
“พระชายา ถึงห้องยาแล้ว เข้าไปเถิดขอรับ”
พระชายา……
ริมฝีปากของเย่จายซิงกระตุกเล็กน้อย คำเรียกนี้ฟังแล้วทำให้นางไม่รู้จะตอบออกมาว่าอย่างไร แต่นางก็รู้ดีว่าจะไปถือสาอะไรกับพ่อบ้านไม่ได้ เพราะจวินหยวนเป็นคนเรียกแบบนี้
“เสด็จอาให้ข้ามาทำอะไรที่ห้องยาหรือ”
นางพยายามข่มกลั้นอารมณ์วุ่นวายใจของตัวเองแล้วเอ่ยถามพ่อบ้าน
“นายท่านสั่งไว้ว่า ของในห้องยาแห่งนี้ พระชายาอยากได้อะไรก็หยิบไปได้เลย นายท่านบอกว่าในห้องยานี้อาจจะมีของที่พระชายาต้องการ”
พ่อบ้านกล่าวอย่างนอบน้อม เมื่อกล่าวจบเขาก็เปิดประตูแล้วถอยหลีกไปอีกด้าน
“นายท่านสั่งไว้ว่า ของในห้องยาแห่งนี้ พระชายาอยากได้อะไรก็หยิบไปได้เลย นายท่านบอกว่าในห้องยานี้อาจจะมีของที่พระชายาต้องการ”
เมื่อประตูห้องยาถูกเปิดออก ทันใดนั้นก็มีกลิ่นยาทิพย์ลอยเข้ามาเตะจมูก เป็นกลิ่นหอมที่ทำให้รู้สึกสดชื่น แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าด้านในจะต้องมียาหลากหลายชนิด
ด้านในมีของที่ข้าอยากได้งั้นหรือ? ความหมายของจวินหยวนคืออะไรกันแน่
แม้ว่าในใจของนางจะสงสัย แต่นางกลับไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า นางเพียงยิ้มแล้วกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
หลังจากนั้นพ่อบ้านจึงปิดประตู บางทีอาจจะกลัวว่านางจะเกรงใจที่จะเลือกยากระมัง
นางไม่ใช่คนขี้อายแต่อย่างใด กล่าวอีกอย่างได้ว่านางยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจวินหยวนต้องการอะไร ดังนั้นตักตวงผลประโยชน์ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“หญ้ามังกรหงสา ปี้หยุนซือ โสมจื่อเหลย……”
เมื่อเห็นสมุนไพรที่ถูกตากแห้งวางเรียงเป็นแถวๆในห้องยา เย่จายซิงจึงเอ่ยชื่อมันออกมา
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ยาสมุนไพรในห้องนี้ล้วนเป็นยาขั้นที่ค่อนข้างสูง ทุกชนิดล้วนมีมูลค่ามหาศาล
แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกชื่นชมก็คือ ยาสมุนไพรพวกนี้ตรงกับยาสมุนไพรที่เขียนไว้ในหนังสือยาที่เก็บไว้ในที่ว่างของนาง และส่วนใหญ่ยาพวกนี้หาไม่ได้แล้วในโลก แต่ที่นี่กลับมีอยู่มากมาย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว สูตรยาในที่ว่างของนางก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริงแล้ว
แต่จวินหยวนเก็บยาสมุนไพรเอาไว้มากมายทำไมกัน
แม้ว่าปากของเย่จายซิงจะบอกว่าไม่เกรงใจ แต่เมื่อมาถึงที่ห้องยาแล้วกลับไม่ได้เอาอะไรไปมากนัก
นางเพียงนำยาสมุนไพรที่ใช้สำหรับถอนพิษได้ไปสองสามอย่าง จากนั้นจึงนำเมล็ดพันธุ์ยาสมุนไพรหลายระดับไปด้วย
ในที่ว่างของนางตอนนี้สามารถปลูกยาสมุนไพรได้ ซึ่งจะทำให้นางเอาออกมาใช้กลั่นยาได้อย่างสะดวก
ในขณะที่นางเตรียมจะออกจากห้องยาไปนั้น นางก็ถูกเตากลั่นยาสีม่วงดึงดูดความสนใจ
เตากลั่นยาอันนี้ถูกวางทิ้งเอาไว้ในมุมๆ หนึ่ง มีฝุ่นเกราะเต็มไปทั่วดูแล้วไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงรู้สึกว่าเตากลั่นยาสีม่วงอันนี้ทำให้นางรู้สึกคุ้นเคยกับมันมากเป็นพิเศษ
นางหยิบผ้าออกมาเพื่อเช็ดฝุ่นที่เกาะอยู่ด้านบนออก แล้วใช้มือลูบไล้ตามลวดลายโบราณพวกนั้น ก่อนที่ในใจของนางพลันรู้สึกอยากได้มันขึ้นมา
ด้านบนเตาแกะสลักคำว่า เตาหงส์เสวียนม่วง เอาไว้ ลวดลายหงส์สลับมังกรทำให้มันยังคงงามสง่า น่าจะเป็นฝีมือการแกะสลักของผู้หญิง
“โอ้ ข้าขาดเตากลั่นยาที่เหมาะสมอยู่พอดีเลย อันนี้ถือว่าไม่เลวเลย”
เย่จายซิงชอบเตาหงส์เสวียนม่วงใบนี้มาก น้อยครั้งที่นางจะเห็นอะไรแล้วนึกอยากได้ขึ้นมา แสดงว่าเตาอันนี้จะต้องมีวาสนากับนาง
นางเก็บเตาหงส์เสวียนม่วงเข้าไปในที่ว่างของนางอย่างไม่เกรงใจ เพราะอย่างไรอ๋องเซ่อเจิ้งก็บอกนางแล้วว่าอยากได้อะไรก็หยิบไปได้เลย
“พระชายานำเตาหงส์เสวียนม่วงไปจริงๆ ขอรับ”
ไม่นานนัก พ่อบ้านก็นำเรื่องนี้มารายงานแก่จวินหยวน
พ่อบ้านเกิดความสงสัยในใจว่านายท่านรู้ได้อย่างไรพระชายาจะเลือกเตาหงส์เสวียนม่วงไปท่ามกลางเตากลั่นยาที่มีอยู่หลากหลายใบ
ความรู้สึกในดวงตาของจวินหยวนลึกล้ำ เขาเอามือลูบแหวนที่แขวนอยู่ที่คอของเขา
“ใช่นางจริงๆ”
น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำ ริมฝีปากของเขาหยักยิ้ม
“ไปเก็บกวาดหอจายซิงให้เรียบร้อย วันหน้าหากนางพร้อมจะเข้ามาเมื่อไหร่ หอจายซิงจะเป็นที่พักของนาง”
เขาหันไปสั่งการพ่อบ้าน
พ่อบ้านชะงักไป “นายท่าน ที่จวนของพวกเราไม่มีหอจายซิงนะขอรับ”
“เรือนไทเฮาในจวนของข้า ข้าได้เปลี่ยนชื่อมันเป็นหอจายซิงแล้ว”
พ่อบ้าน: ……
เขาอยากจะถามนายท่านจริงๆ ว่าท่านโดนพิษกู่ของของคุณหนูเย่ใช่หรือไม่
แต่เขาไม่กล้า
ได้แต่ถอยออกไปเงียบๆ แล้วไปจัดการเก็บกวาดเรือนไทเฮาด้วยตนเอง เพราะดูจากท่าทางของนายท่านแล้วจริงจังมากทีเดียว
และในตอนนี้เอง องครักษ์กำลังพาเย่จายซิงกับน้องชายไปส่งที่ห้องในโรงเตี๊ยมเถิงหยุน ที่อยู่ตรงกันข้าม
เมื่อองครักษ์ไปแล้ว เย่จายซิงจึงถอนใจยาว นางนั่งด้านบนเก้าอี้แล้วเอามือลูบคางของตนก่อนหน้านี้จวินหยวนเอามือสัมผัสมัน ทำให้ตอนนี้ยังทิ้งรอยแดงเอาไว้เล็กน้อย
มือของเขาเย็นเฉียบ ราวกับน้ำแข็งในคือฤดูหนาว
อีกอย่างนางสามารถสัมผัสได้ถึงพลังความร้อนมาจากตัวเขา เพียงแต่เขาพยายามกดมันไว้ไม่ให้คนอื่นรับรู้
นางคิดถึงข่าวลือหนึ่งขึ้นมาได้เมื่อหลายปีก่อน ข่าวลือบอกว่ามีคนทำผิดต่อจวินหยวน หลังจากนั้นคนทั้งตระกูลกว่าร้อยคนก็ถูกเขาสังหารจนหมด
หากดูจากพลังความสูงส่งที่ออกมาจากตัวของเขา นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนโหดร้ายประเภทนั้น
แต่จากการสัมผัสเขาไม่กี่ครั้งที่ผ่านมานี้นั้น นางรู้สึกว่าบางทีข่าวลือพวกนั้นอาจจะไม่ใช่ข่าวเท็จก็ได้
“ท่านพี่ ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เย่ยู่หยางมองนางด้วยความกังวล
นางส่ายหน้า “พี่ไม่เป็นไร แต่อ๋องเซ่อเจิ้งดูอันตรายเกินไป”
“ท่านพี่ไม่ต้องกลัว ข้าจะต้องคิดหาวิธีให้ท่านพี่หลุดออกมาจากเขาให้ได้ พี่จะแต่งงานไปกับเขาไม่ได้ แม้แต่หน้าเขายังไม่ยอมให้พี่เห็นเลย ไม่แน่หน้าเขาอาจจะมีแต่ตุ่มหนองก็ได้”
เย่ยู่หยางกล่าวอย่างใส่อารมณ์ แม้ว่าจวินหยวนจะช่วยพวกเขาและควรจะซาบซึ้งบุญคุณ แต่เขารู้สึกว่าจวินหยวนมีความคิดบางอย่างแอบแฝงกับพี่สาวของเขา ดังนั้นเขาเลยรู้สึกไม่ถูกชะตาจวินหยวนเท่าไหร่นัก
ตุ่มหนอง……
เย่จายซิงจินตนาการถึงภาพภาพนั้น จากนั้นจึงลูบแขนของตนที่หนาวสะท้านจนขนลุก
“ยู่หยาง เจ้าอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม ตอนนี้เขายังไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับเรา แถมยังคอยช่วยเหลือเราด้วย เจ้าอย่าเพิ่งทำอะไรให้เขาไม่พอใจ ตอนนี้ยังไม่จำเป็น”
เขามองน้องชายของตนที่ใบหน้าหล่อเหลาราวกับภาพวาด
เนื่องจากพลังที่แตกต่างกันมาก ในตอนนี้จึงต้องแสร้งทำเป็นยอมตามเขาไปก่อน
เมื่อกลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้ นางตัดสินใจว่าก่อนที่นางจะมีพลัง นางจะดำเนินทุกอย่างอย่างไม่ผลีผลาม แกล้งทำเป็นคนอ่อนแอแล้วชิงโอกาสได้เปรียบทีหลัง
ถ้าต้องกอดขาเขาก็ต้องทำ เรื่องของศักดิ์ศรีเป็นสิ่งที่กินไม่ได้ ไม่ได้มีคุณค่าอะไร
เย่ยู่หยางก้มหน้าอย่างอ่อนแรง “ต้องโทษที่ข้าไร้ประโยชน์ ไม่สามารถปกป้องพี่สาวได้”
เย่จายซิงยื่นมือออกมาลูบหัวของเขาแล้วจัดทรงผมให้ จะว่าไปแล้วผมของเขานุ่มมากเลย นางรู้สึกราวกับกำลังลูบหัวสุนัข
น้องชายคนนี้น่ารักอย่างยิ่ง
ชาติก่อนญาติของนางตายหมด นางเติบโตขึ้นมาด้วยตัวเอง รอบกายนางไม่มีเพื่อนสนิทและไม่มีพี่น้อง ตอนนี้นางกลับมีน้องชายที่น่ารักเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ความรู้สึกเช่นนี้เป็นความรู้สึกที่วิเศษมาก
“อ้าปาก”
เขาเพิ่งเอ่ยปาก น้องชายหน้าอ่อนของเขาก็ส่งเสียง “อ้า” พลางอ้าปากออกโดยไม่มีความลังเลแต่อย่างใด
ยาเม็ดหนึ่งถูกยัดเข้าไปในปาก
เย่ยู่หยางเห็นแสงสีเขียวสว่างวาบ เขาจึงพยายามอ้าปากอาเจียนเอายาเม็ดออกมา แต่ว่ายาได้ไหลลงคอไปเรียบร้อยแล้ว
“ท่านพี่ ยาขั้น 5 มีมูลค่าสูงมาก พี่ให้ข้ากินได้อย่างไร ข้ากลายเป็นคนพิการไปแล้ว ข้าไม่อยากให้ยาต้องสิ้นเปลืองไปกับข้า”
เขาขมวดคิ้วพลางกลืนยาลงไปด้วยความเสียดาย
“ต่อให้ราคาแพงแค่ไหนก็ไม่สำคัญไปกว่าร่างกายของเจ้า น่าเสียดายที่แผลเก่าของเจ้าร้ายแรงมาก จุดตัดเถียนกับขาของเจ้าต่อให้ใช้ยารักษ์ทิพย์ก็ไม่สามารถฟื้นฟูได้”
นางกล่าว
ก่อนหน้านี้พลังกดดันของท่านหวงต่อกรกับนางและเขา ร่างกายของเขามีแผลเก่าอยู่แล้ว ทำให้ได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย
แม้ว่านางจะมียารักษ์ทิพย์เพียงแค่สองเม็ด แต่ไม่มีอะไรต้องตระหนี่ เพราะวันหลังนางสามารถกลั่นยาขึ้นมาอีกได้
ชี่ทิพย์บนโลกมนุษย์เบาบางมาก ต่อให้นางมีความสามารถแค่ไหนก็คงไม่ประสบความสำเร็จ แต่แผ่นดินเทียนเหย้าแห่งนี้ชี่ทิพย์เข้มข้นกว่ามากไม่รู้กี่พันเท่า สุดท้ายนางก็มีสถานที่ให้ใช้วรยุทธ์เสียที
“ท่านพี่……”
เย่ยู่หยางรู้สึกได้ทันทีว่าบาดแผลบนร่างกายของเขาดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อมองไปที่นางก็ได้แต่พูดอะไรไม่ออก
เขารู้สึกว่านางเปลี่ยนแปลงไปมาก