บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 212 สังสารวัฏ
บทที่ 212 สังสารวัฏ
เฉินซีรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขากําลังจะระเบิด!
พลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากระเบียนแดนมรณะ เป็นดั่งมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล เมื่อเปรียบเทียบกับปราณแท้ของเขาแล้ว ปราณแท้ของเขาก็เสมือนกับลําธารเล็ก ๆ ทำให้มันแตกต่างกันนับล้านเท่า
มวลพลังนี้ช่างลี้ลับ ลึกล้ําและเผยถึงความรู้สึกที่ไร้พลัง ซึ่งทําให้คนจมดิ่งสู่การลืมเลือนและดูเหมือนว่าชีวิตและความตายของคนผู้นั้นไม่ได้อยู่ในการควบคุมอีกต่อไป นี่คือพลังของระเบียนแดนมรณะ และเขาเคยพบเจอกับพลังเช่นนี้ เมื่อครั้งที่เผชิญหน้ากับซูเหลิ่งมาก่อน แต่มรรคายมโลกที่ซูเหลิ่งหยั่งถึงนั้นตื้นเขินและอ่อนแอเกินไป ราวกับเป็นไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ ที่สาดส่องประกาย แต่ไม่อาจเทียบความสว่างกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
ในชั่วพริบตา เฉินซีสูญเสียการควบคุมจากร่างกายของตัวเอง และไม่มีโอกาสที่จะดิ้นรนเลยแม้แต่น้อย เขากลับดูเหมือนผู้ชมที่เฝ้ามองจากด้านข้าง นอกจากนี้ยังคล้ายกับคนที่ดวงวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของร่างนี่อีกต่อไป
เหตุใดถึงเกิดสิ่งนี้ขึ้น?
เสียงทีดังขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นของผู้ใด?
อย่างไรก็ตาม จากสิ่งที่เขาได้กล่าวมานั้น ดูเหมือนเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อข้า
“เจ้าชื่อเฉินซีใช่มั้ย? จงมอบสมบัติวิเศษที่อยู่ในมือของเจ้ามาซะ แล้วข้าจะจากไปในทันที และสัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาให้กับเจ้าในอนาคต” ในขณะนี้ ชิงซิ่วอี้กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว ในสายตาของนางนั้น แม้ว่าเฉินซีจะถูกพวกเขารุมล้อมอยู่ตรงกลาง แต่เขากลับมีท่าทีที่สงบนิ่ง ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด ๆ
นอกจากนี้ยังเผยให้เห็นถึงร่องรอยของกลิ่นอายที่แปลกประหลาด ซึ่งไม่อาจอธิบายได้ด้วยคำพูด และ
กลิ่นอายเหล่านี้ทําให้นางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นนางจึงไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป
” แม่นางชิง เจ้าไม่ได้บอกว่า ให้ฆ่าเจ้าเด็กคนนี้ก่อนแล้วพวกเราค่อยแบ่งสมบัติกันในภายหลังไม่ใช่หรือ? หากเป็นเช่นนั้น ข้าต้องการเจ้ามารน้อยคนนั้น!” หวงฝู่ฉงหมิงชี้ไปที่หลิงไป๋ซึ่งอยู่บนไหล่ของเฉินซี ขณะที่เขากล่าวอย่างสบาย ๆ
“อืม! ข้าต้องการเจดีย์บำเพ็ญทุกข์!”
“เจดีย์บำเพ็ญทุกข์ต้องเป็นของข้า!”
หลิวเฟิงจื่อจากเกาะฉลามมังกรในทะเลตะวันออกและหมานหงจากภูเขานภาลัยของแดนเถื่อนทางตอนเหนือ คนทั้งสองต่างก็กล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียง และทันทีที่กล่าวจบคนทั้งสองมองถลึงตาใส่กันด้วยรอยยิ้มที่เย็นชาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับว่าพวกเขาพร้อมที่จะเริ่มการต่อสู้ที่รุนแรง หากความขัดแย้งเกิดขึ้นเพียงน้อย
” เฉินซี เจ้าได้ยินสิ่งที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้หรือไม่? มองไปที่คนเหล่านี้สิ พวกมันต่างก็คิดว่าตัวเองสูงส่งและดูแคลนต่อทุกสิ่ง พวกเขาข่มเหงรังแกเจ้าเสมือนมดตัวน้อยที่ถูกเหยียบย่ำราวกับเป็นแค่ฝุ่นผงที่ไร้ค่า และเหตุใดถึงเป็นเช่นนี้นะหรือ? เพราะพวกมันต่างก็คิดว่าสถานะของตนเองเหนือกว่าเจ้า ภูมิหลังของพวกมันก็ยิ่งใหญ่เสียกว่า นอกจากนี้การบ่มเพาะของพวกมันก็แข็งแกร่งยิ่งกว่ามาก ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ จึงทำให้พวกมันเย่อหยิ่งและไร้ยางอาย!” หลิงไป๋ยืนอยู่บนไหล่ของเฉินซีและกล่าวออกมาทีละคำ ” เฉินซีเป็นคนจิตใจดีเสมอมา ไม่เคยคิดล่วงเกินผู้ใด เว้นแต่พวกเขาจะล่วงเกินเจ้าก่อน และเมื่อเจ้าถูกรังแกเจ้าจึงจะลุกขึ้นต่อต้าน ถ้าเป็นแบบนี้อีกต่อไป เจ้าจะสามารถปกป้องตัวเองได้หรือ? แล้วครอบครัวและมิตรสหายของเจ้าละ จะยังคงปกป้องได้อีกไหม?”
“สิ่งที่เจ้าควรกระทําตอนนี้คือ เข่นฆ่า! เข่นฆ่าจนกว่าพวกมันจะเกรงกลัว! เขนฆ่าจนกว่าพวกมันจะรู้สึกสิ้นหวังเมื่อได้ยินเพียงชื่อของเจ้า! เข่นฆ่าพวกมันทุกคนจนกว่าจะชดใช้กับสิ่งที่กระทำลงไปให้สาสม! เข่นฆ่าพวกมันจนครอบครัว มิตรสหายและอาจารย์ของพวกมันต้องทนทุกข์ทรมานกับเปลวไฟแห่งความโกรธของเจ้า จงอย่าได้ลังเลที่จะทําให้เกิดภูเขาซากศพและทะเลโลหิต! เจ้าต้องทําให้ผู้คนในโลกระลึกถึงผลที่ตามมาของการที่ล่วงเกินเจ้า นั้นคือครอบครัวและนิกายของพวกมันจะต้องถูกทำลายล้างจนไม่เหลือซาก”
เจตนาฆ่าของเจ้าตัวเล็กคนนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก!
เมื่อผู้คนรอบข้างได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ตกตะลึงอยู่ในใจ แล้วเผยร่องรอยของความสุขออกมา หากสมบัติที่ฉลาดเฉลียวและมีภูมิปัญญาดังกล่าว ไม่ใช่ดวงจิตของสมบัติอมตะแล้วมันจะคือสิ่งใดอีก?
“เจ้าตัวน้อย การที่จะหยุดการเข่นฆ่าด้วยการฆ่าฟัน มันไม่ใช่วิถีของมหาเต๋า!” ทันใดนั้นเสียงแหบแห้งและเยือกเย็นได้ดังขึ้นจากปากของเฉินซี เสียงนั้นมีร่องรอยของความเศร้าโศกที่ไม่เหมือนใครและมันทําให้หลิงไป๋อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง
ในขณะนี้ เฉินซีเอามือไพล่หลัง ท่าทางของเขาช่างน่าเกรงขามและดวงตาที่ลึกล้ำของเขาดูเหมือนจะครอบคลุมจักรวาลที่ไร้ขอบเขต ครอบคลุมการเปลี่ยนแปลงในดวงดาว กระแสน้ำจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ การเคลื่อนตัวในภูเขาและแม่น้ํา หรือการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดทั้งมวลในโลก เพียงแค่ดวงตาคู่นี้ของเขา กลับเผยให้เห็นวิถีของโลกที่เกิด ตั้งอยู่และดับไป เสมือนการเวียนว่ายตายเกิด!
ห๊ะ?
เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงดูเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนกัน?
ทุกคนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในท่าทางของเฉินซี และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะวิตกกังวลอยู่ในใจ
“หึ! ความตายกําลังใกล้เข้ามา แต่เจ้ากลับแสดงลูกเล่นอยู่อีก? ไปตายซะ! เพลงหมัดพยัคฆ์ซ่อน ที่ด้านหลังของหมานหง ชายหนุ่มผิวสีทองแดงตะโกนออกมาอย่างรุนแรงพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้า กล้ามเนื้อบนร่างกายของเขาขยายออก เปลวไฟสีดำพันรอบร่างกายของเขาก่อนที่จะบรรจบกันที่แขนขวา จากนั้นเขาก็ชกออกไปในทันที
ตูม!
กระแสของอากาศถูกดูดเข้าหากันจนระเบิดออกไปราวกับพายุ หมัดที่ดูเรียบง่ายเช่นนี้ กลับสามารถทำลายภูเขา พลิกทะเล และมวลพลังที่น่าสะพรึงนั้น ได้ควบแน่นก่อตัวขึ้นเป็นปราณรูปพยัคฆ์จำนวนมากมายกำลังกางกรงเล็บ ขณะที่พุ่งผ่านท้องฟ้าเพื่อฉีกกระชากเฉินซี
การโจมตีนี้เรียบง่ายและรัดกุม อีกทั้งยังเป็นการโจมตีอย่างกะทันหันที่ดุร้ายมาก
ไม่เลว เพลงหมัดมหาพยัคฆ์ซ่อนของหมานเจ่อนั้น แฝงด้วยเต๋าแห่งมายา เต๋าแห่งวิญญาณเงา พลังของวิญญาณพยัคฆ์ และทั้งสามสิ่งนี้ได้หลอมรวมเข้าหากัน ทําให้มันอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์แบบแล้ว เมื่อเขาเข้าร่วมการชุมนุมดาวรุ่งในอีกห้าปีข้างหน้า บางทีอาจมีตําแหน่งสําหรับเขา หมานหงที่อยู่ใกล้เคียง ดูเหมือนจะคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่า หมานเจ่อจะต้องลงมือ ดังนั้นจึงแอบวางแผนอยู่ในใจ
เพลงหมัดมหามังกรซ่อนเป็นเคล็ดวิชาการต่อสู้ระดับมหาเต๋าที่สืบทอดกันมาในภูเขานภาลัย เพลงหมัดนี้แฝงไปด้วยเต๋าแห่งมายาและเต๋าแห่งวิญญาณเงา ที่หลอมรวมเข้ากับพลังของวิญญาณพยัคฆ์ และเมื่อมันถูกบ่มเพาะจนถึงขีดสุด เพียงหมัดเดียว จะแฝงไปด้วยพลังของพยัคฆ์นับพันที่คำรามก้อง สะท้านไปทั้งสรวงสวรรค์ทั้งเก้า
เพลงหมัดมหาพยัคฆ์ซ่อนของหมานเจ่อนั้นได้บรรลุถึงแก่นแท้ของมันแล้ว และมันทรงอานุภาพเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าเป็นดั่งไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ กลับกล้าเปล่งแสงเทียบดวงจันทร์อีกหรือ?” เฉินซีหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา มือขวาของเขาซัดออกไป ปรากฏประกายสีดำและสีขาวอันลึกล้ำทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นเป็นวงล้อสีขาวดำที่กำลังหมุนวน มันคล้ายกับการขึ้นของดวงอาทิตย์และการตกของดวงจันทร์ ซึ่งผันแปรอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ตูม!
ปราณหมัดของหมานเจ่อเป็นเหมือนกับเศษกระดาษเมื่อปะทะเข้ากับวงล้อสีขาวดํา ในขณะที่ร่างกายของเขาถูกปกคลุมด้วยวงล้อสีขาวดําจากด้านบน และไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยที่จะหลบเลี่ยง ไม่ว่าเขาดิ้นรนจะหลบเลี่ยงอย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถหลบหนีจากการถูกวงล้อสีขาวดํากักขังไว้ สุดท้ายเขาก้ล้มเลิกความพยายามที่จะดิ้นรนอีกต่อไป
กลับ
หลังจากทุกคนได้เห็นฉากที่น่าตกตะลึง พลังชีวิตที่พุ่งพล่านในร่างกายที่แข็งแกร่งของหมานเจ่อ รั่วไหลออกไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตา เขาได้กลายเป็นชายชราที่มีผมสีเทาและใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยริ้วรอย ดวงตาที่ฝ้าฟาง ฟันที่หล่นร่วง และกระดูกสันหลังทั้งหมดของเขาได้พังทลายลงเป็นรูปคันธนู
เพียงแค่ชั่วพริบตา ชายหนุ่มผู้กล้าหาญที่เปี่ยมด้วยพลัง กลับกลายเป็นชายชราที่เหลือเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อายุขัยของเขาได้หายไปและพลังชีวิตของเขาก็เหือดแห้งลง!
นี่… นี่มันพลังอะไรกัน?
รูม่านตาของทุกคนได้หดลงอย่างกระทันหัน ในขณะที่ความประหลาดใจและความสยดสยองพวยพุ่งออกมาจากหัวใจของพวกเขา
ตราบใดที่ผู้บ่มเพาะบรรลุขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง อายุขัยของพวกเขาจะยืดยาวไปหลายพันปี
และตราบใดที่ไม่ได้หยุดบ่มเพาะและก้าวหน้าไปทีละขั้น มันก็เป็นไปได้ที่จะรักษาความเยาว์วัยไว้ตลอดไป เหตุผลพื้นฐานที่ผู้บ่มเพาะแสวงหาเต๋า ก็เพื่อให้อายุขัยเป็นนิรันดร์เช่นเดียวกับฟ้าดิน และขจัดพันธนาการแห่งการเกิด แก่ เจ็บ ตาย หลุดพ้นจากธาตุทั้งห้า ไม่ติดอยู่ในสังสารวัฏอีกต่อไป
ดังนั้นจึง อาจกล่าวได้ว่าอายุขัยคือชีวิตของผู้บ่มเพาะ ซึ่งเป็นรากฐานของการดำรงอยู่ของผู้บ่มเพาะและหากไม่มีอายุขัยทุกอย่างก็ไร้ความหมาย
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ กลับมีพลังที่สามารถพลิกอายุขัยของคน ๆ หนึ่ง ช่วงชิงรากฐานของชีวิต ดังนั้นจะไม่ทําให้คนอื่นรู้สึกหวาดกลัวในใจได้อย่างไร?
แคร๊ก!
เสียงแตกหักดังก้องออกมาร่างของหมานเจ่ออย่างชัดเจน ร่างกายของเขากำลังค่อย ๆ แห้งเหี่ยว ทำให้กระดูก เนื้อหนัง และเส้นลมปราณในร่าง ไม่อาจทนต่อการกัดกร่อนของกาลเวลาได้ จึงค่อย ๆ สลายไปทีละส่วนก่อนที่จะสลายกลายเป็นฝุ่นผงในที่สุด
เพียงชั่วพริบตา กับทำให้ผู้บ่มเพาะขอบเขตแกนทองคำหยินหยาง ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลชั้นแนวหน้าในหมู่ผู้บ่มเพาะรุ่นใหม่ได้สลายไปตลอดกาล เมื่อพวกเขาทำได้เพียงแต่เฝ้าดูต่อสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่อาจช่วยอะไรได้ จึงทำให้ทุกคนรู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาหนาวเย็นราวกับว่าพวกเขาตกลงไปในหลุมน้ําแข็ง
“สังสารวัฏ… นี่คือมหาเต๋าสังสารวัฏ! ไม่สิ! นี่มันคือกฎของสังสารวัฏ!หรือว่าเจ้าเป็นเซียนสวรรค์!? ไม่มีทาง! แม้แต่เซียนสวรรค์ธรรมดาทั่วไปก็ไม่สามารถควบคุมกฎของสังสารวัฏได้! เจ้าเป็นใครกันแน่” ชิงซิ่วอี้ กล่าวด้วยความประหลาดใจและเต็มไปด้วยความสับสน หญิงสาวคนนี้ที่เงียบสงบ ไม่แยแส และไร้ตัวตนดั่งหมอกควัน กลับดูเหมือนจะจดจําอะไรบางอย่างได้ ทำให้หัวใจของนางเต็มไปด้วยคลื่นที่พลุ่งพล่านในขณะนี้
“มันเป็นเพียงเด็กน้อยที่มีฐานการบ่มเพาะแค่ขอบเขตเคหาทองคำ การโจมตีจากเมื่อครู่อาจเป็นเพียงไพ่ตายของเขา มาร่วมมือกันเถอะข้า ไม่เชื่อว่าเราจะฆ่ามันไม่ได้!” หวงฝู่ฉงหมิงหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา
“แน่นอน ข้าจําได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าเด็กคนนี้มีฐานการบ่มเพาะขอบเขตเคหาทองคำเท่านั้น ในตอนนี้บางทีมันอาจจะได้รับการสนับสนุนจากสมบัติวิเศษในมือของมัน เพื่อใช้การโจมตีที่ทรงอานุภาพเช่นเมื่อครู่ แต่ทว่า กลับเห็นได้ชัดว่า มันไม่อาจคงสภาพไว้ได้นาน หากผสานการโจมตีแล้ว เราจะสามารถทําลายล้างมันได้อย่างแน่นอน!” ดวงตาของหลินโม่เซวียนกะพริบอย่างไม่หยุดยั้ง และดูเหมือนว่าเขาจะคาดเดาความลับของเฉินซีออก ในขณะที่เขากล่าวอย่างเย็นชา
“พี่หลินกล่าวถูกแล้ว ฐานการบ่มเพาะของเจ้าเด็กคนนี้อยู่ที่ขอบเขตเคหาทองคำ และมีเพียงพลังของสมบัติอมตะชั้นเลิศเท่านั้น ที่ทำให้มันสามารถใช้พลังที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้” เซียวหลิงเอ๋อร์พยักหน้าเช่นกัน
ผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินถึงเรื่องนี้ เพราะถ้าตัวตนของเฉินซีคือเซียนสวรรค์จริง ๆ ละก็ การที่พวกเขาต้องการแย่งชิงสมบัติในมือของเฉินซี ก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย
แต่เห็นได้ชัดว่า เจ้าเด็กคนนี้ไม่ใช่เซียนสวรรค์และเขาไม่ได้มีฐานการบ่มเพาะที่ขอบเขตแกนทองคำหยินหยางด้วยซ้ํา ดังนั้นพลังที่ทําลายล้างหมานเจ่อก่อนหน้านี้ ย่อมเป็นพลังจากสมบัติอมตะที่เขาครอบครองอยู่อย่างแน่นอน
เมื่อพวกตระหนักได้ถึงจุดนี้ ความโลภในใจของทุกคนก็เหมือนกับวัชพืชที่เติบโตอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ลดละ นั้นมันคือพลังของการเวียนว่ายตายเกิด! หากข้าสามารถครอบครองสมบัติอมตะเช่นนี้ ข้าจะไม่สามารถบ่มเพาะเต๋ารู้แจ้งแห่งสังสารวัฏ และหลีกหนีจากพันธนการของการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหกภพได้หรือ?
“ก็เป็นเช่นนั้นแหละ” ดูเหมือนว่าชิงซิ่วอี้จะเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังและสีหน้าของนางก็ฟื้นฟูสู่ความสงบนิ่งอีกครั้งพร้อมกับกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ทุกคนมาร่วมมือเพื่อฆ่ามันก่อน มิฉะนั้นมันจะบดขยี้เราทีละคนและไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีไปได้!”
ขณะที่นางกล่าว มือสีขาวของชิงซิ่วอี้ได้พลิกกลับ ทําให้กระจกทองแดงโบราณที่ปกคลุมด้วยหมอกควันปรากฏขึ้นในมือของนาง พื้นผิวของกระจกถูกแกะสลักด้วยลวดลายดอกไม้ นก แมลง ปลา ภูเขา และแม่น้ําที่มากมายและดูลึกลับ ลวดลายทั้งหมดนี้มาบรรจบกัน ปลดปล่อยหมอกควันที่คลุมเครือและดู วุ่นวาย ซึ่งทําให้บรรยากาศโดยรอบสั่นไหวกลายเป็นฉากที่ดูเสมือนจริง แต่กลับดูเหมือนภาพลวงตาไม่ชัดเจน
กระจกหมอกลวงมายา!
ทุกคนตกตะลึงทันทีเมื่อเห็นสมบัติชิ้นนี้ กระจกหมอกลวงมายานี้เป็นสมบัติอันเลื่องชื่อของนิกายกระเรียนพิสุทธิ์ และมันเป็นสมบัติอมตะที่มากไปด้วยพลังมหาศาล แต่เมื่อหลายพันปีก่อน มันกลับเสียหายอย่างหนักโดยไม่ทราบสาเหตุ ทําให้พลังของมันลดลงไปอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นพลังของสมบัติวิเศษนี้ก็ยังคงน่าเกรงขามอยู่ดี และมันก็ได้รับการเชิดชูอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจากนิกายกระเรียนพิสุทธิ์!
ในขณะนี้ กระจกหมอกลวงมายาที่ปรากฏในมือของชิงซิ่วอี้นั้น ทําให้ทุกคนตระหนักได้ในทันทีว่า หญิงสาวคนนี้กําลังจะโจมตีด้วยพลังที่มีทั้งหมด!
ถึง!
ในทันทีที่ ชิงซิ่วอี้ควักกระจกหมอกลวงมายาของนางออกมา เสียงที่หนักหน่วงและเก่าแก่อีกเสียงหนึ่งก็ดังก้องออกมา ทันใดนั้นสมบัติวิเศษที่มีรูปร่างคล้ายเตาหลอมก็ปรากฏขึ้นในมือของหวงฝู่ฉงหมิง มันมีสามขาและสองมือจับโดยมีงูเก้าตัวขดตัวอยู่รอบ ๆ และกลิ่นอายของสมบัติก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้าราวกับว่าพลังของมันจะสามารถครองโลกได้อย่างง่ายดาย!
“เตาหลอมจ้าวฟ้าเก้าอสรพิษ!”
“นั้นมันหนึ่งในหกสมบัติที่ล้ำค่าของตำหนักจ้าวปัญญานี่!”
“หวงฝู่ฉงหมิงคนนี้ ก็กําลังจะโจมตีด้วยพลังอย่างเต็มที่เช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาทุ่มเทที่จะแย่งชิงสมบัติอมตะของเด็กคนนั้นเช่นเดียวกับชิงซิ่วอี้ และข้าไม่อาจชักช้าได้อีกต่อไปแล้ว!”
เมื่อทุกเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาจะกล้าเพิกเฉยอยู่ดีได้อย่างไร? เพราะพวกเขาเกรงว่าชิงซิ่วอี้และหวงฝู่ฉงหมิงจะคว้าโอกาสในการเลือกครั้งแรก ดังนั้น จึงก็ไม่ลังเลที่จะใช้ไพ่ตายออกมาเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น สมบัติวิเศษมากกว่าสิบชิ้นที่มีรูปร่างต่าง ๆ ซึ่งปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายของสมบัติชั้นเลิศ ได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางอากาศ ทําให้พลังงานมหาศาลพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นลำแสงสาดส่องไปทั่วสารทิศ นอกจากนี้ยังเกิดเสียงโหยหวนคร่ำครวญที่ดังขึ้นและเงียบลงเสมือนกับกระแสน้ําที่ซัดสาด อีกทั้งเจตนาฆ่าอันเยือกเย็นของพวกมันได้พุ่งตรงไปยังสวรรค์ทั้งเก้า
การต่อสู้พร้อมที่จะปะทุในทุกเมื่อ!!