บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 203 ฝูงค้างคาวผลึกเหมันต์
บทที่ 203 ฝูงค้างคาวผลึกเหมันต์
ฆ่า!
จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเฉินซีทะยานพุ่งสูงขณะที่เขาหยุดยั้งการสกัดกั้น แต่กลับพุ่งตัวออกไปข้างหน้า เขาทุ่มพลังในการต่อสู้อย่างเต็มที่ ทำให้เลือดในร่างกายร้อนระอุพลุ่งพล่าน จนดูเหมือนกระบี่ที่เปี่ยมล้นด้วยเจตนาสังหาร และปลดปล่อยกลิ่นอายดุร้ายอย่างหาใดเปรียบ
ฝูงปีศาจอสรพิษเพลิงเหล่านั้นไม่อาจเฉียดเข้าใกล้ชายหนุ่มได้เลย ขณะที่พวกมันถูกฟาดจนกลายเป็นเศษชิ้นส่วนกระจัดกระจาย อีกทั้งแก่นแท้อัคคีของมันก็ถูกยึดเอาไป ภาพที่ปรากฏคนเพียงคนเดียวขัดขวางทั้งกองทัพ บรรดาคนที่อยู่ข้างหลังถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด
ราวกับพวกนั้นกลัวว่าเฉินซีจะกลายเป็นศูนย์กลางความสนใจของสาธารณชน หวงฝู่ฉงหมิงและหลินโม่เซวียนทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่ทุกคนจะขับดันพลังของตนอย่างเต็มที่ จนบังเกิดเป็นฝนกระบี่และลำแสงดาบนับไปถ้วน พร้อมกันนั้นก็ซัดสมบัติวิเศษและทักษะหลากหลายออกมาราวกับเป็นสิ่งไร้ค่า ชั่วพริบตาเดียวปีศาจอสรพิษเพลิงนับพันก็ถูกกำจัดจนหมดสิ้น ทั้งพลังจู่โจมแกร่งกล้าของคนเหล่านั้นก็เหนือกว่าเฉินซี
คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์สายหลักขอบเขตแกนทองคำจากนิกายที่มีชื่อเสียงในแผ่นดินซ่งทั้งสิ้น อย่าว่าแต่พลังการบ่มเพาะของพวกเขาจะสูงกว่าเฉินซีเลย แม้แต่สมบัติวิเศษและทักษะที่แต่ละคนมีก็ล้วนอยู่ในระดับปฐพีขั้นสูงเช่นกัน ยิ่งกว่านั้นหลายคนยังปิดบังพลังบ่มเพาะเพื่อเข้าร่วมชุมนุมดาวรุ่งที่จะมีขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้า มิฉะนั้นด้วยพรสวรรค์ที่ติดตัวมา คนพวกนี้คงได้บรรลุขอบเขตจุติไปนานแล้ว
ครืนนนน!
กระแสปราณแท้โปรยปรายลงมาเบา ๆ เป็นสาย ซึ่งเป็นเหตุให้ทุกที่ที่มันผ่าน ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่แตกสลายเป็นเสี่ยง ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สาดแสงสลัวเลือนราง ยามนี้ปีศาจอสรพิษเพลิงก็ไม่อาจต่อสู้ดิ้นรนได้อีกต่อไป ร่างของมันจึงค่อย ๆ แหลกสลายกลายฝุ่นผงก่อนจะปลิวหายไป
และเรื่องนี้ยังเป็นประโยชน์แก่เฉินซีอย่างยิ่ง หลังจากที่ปีศาจอสรพิษเพลิงถึงแก่กาลพินาศ พวกมันได้ทิ้งแก่นแท้อัคคีที่มีขนาดใหญ่และแน่นหนามหาศาล เฉินซีจัดการดูดซับไว้ด้วยพลังรุนแรง ประหนึ่งวาฬกำลังฮุบน้ำ ขณะที่แก่นแท้อัคคีถูกดึงเข้าสู่อักขระจ้าววิญญาณอัคคีที่สามอย่างครบถ้วน จากนั้นจะเกิดการแปรสภาพไปเป็นปราณจ้าววิญญาณเพื่อรวมตัวเป็นปราณจ้าววิญญาณแก่นแท้ดารานั่นเอง
“ฮะ บัดซบ! ไอ้บ้านั่นมันกล้าฉวยแก่นแท้อัคคีที่ควรเป็นของข้าไปด้วย!” หลินโม่เซวียนพลันหยิบสมบัติวิเศษที่มีรูปร่างคล้ายน้ำเต้าออกมาทันที และทำท่าเหมือนต้องการจะสูบกลืนแก่นแท้อัคคีที่อยู่บนท้องฟ้า แต่เจ้าตัวไม่คาดคิดว่าเฉินซีจะเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว ตอนนี้ชายหนุ่มได้สูบเอาแก่นแท้อัคคีเกือบทั้งหมดเข้าร่างของเขาไปเสียแล้ว หลินโม่เซวียนกัดฟันกรอดจนใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้น
อันที่จริง มิใช่เพียงหลินโม่เซวียนเท่านั้น ทั้งหวงฝู่ฉงหมิง เซียวหลิงเอ๋อร์ พี่น้องตระกูลเถิงและแม้แต่ถันไถหง ต่างพากันหยิบสมบัติวิเศษของตนออกมาแล้วด้วยความตั้งใจที่จะฉกฉวยแก่นแท้อัคคี แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเฉินซีจะเร็วนัก แค่ชั่วอึดใจแก่นแท้อัคคีที่ลอยอยู่ในบริเวณรัศมีร้อยจั้งกลับถูกเฉินซีสูบเข้าร่างกายจนเกลี้ยง
ทันใดนั้นสีหน้าและการแสดงออกของพวกเขาก็กลายเป็นน่าเกลียดน่ากลัว ทั้งหมดมองดูเฉินซีด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
กระทั่งการต่อสู้มาถึงจุดหนึ่ง เหล่าปีศาจอสรพิษเพลิงที่หลากมาเป็นกระแสเริ่มลดน้อยถอยลงจนเกือบจะไม่เหลือแล้วนั้น ทุกคนจึงสังเกตเห็นพฤติกรรมของเฉินซีได้อย่างชัดเจน
จากที่เห็น เฉินซีเปรียบได้ดั่งหลุมลึกที่ถมเท่าไรก็ไม่รู้จักเต็ม ด้วยเขาดูดกลืนแก่นแท้อัคคีอย่างสบายไร้กังวล และโดยไม่เพียงไม่ส่งผลข้างเคียงเท่านั้น แต่กลับทำให้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นทีละน้อยด้วย!
‘นี่มันเป็นการแปรสภาพร่างกายอะไรกันแน่? คนผู้นั้นไม่ได้กลัวว่าแก่นแท้อัคคีที่เข้าไปจะทำลายอวัยวะภายในจนกระทั่งระเบิดตายเลยหรือ?’ เซียวหลิงเอ๋อร์มองอย่างตกตะลึง จริงอยู่นางใช้ทักษะการบ่มเพาะพลังที่เป็นธาตุไฟและมีความเข้าใจในธาตุไฟอย่างลึกซึ้ง แก่นพลังประเภทนี้เกิดขึ้นจากฟ้าดินที่มีอำนาจยำเกรงและเหี้ยมโหด อีกทั้งยังเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับแปรสภาพสมบัติวิเศษขั้นสุดยอดทีเดียว อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่ผู้บ่มเพาะถูกทำให้มัวหมองด้วยธาตุไฟ เมื่อนั้นเนื้อหนังมังสาของเขาจะถูกเผาไหม้ ต่อจากนั้นกระดูกจะหลอมละลายเหลือเพียงเถ้าถ่านในทันที
ถึงกระนั้นเฉินซีกลับใช้แก่นแท้อัคคีนี้ในการขัดเกลาร่างกายและเสริมพลังบ่มเพาะของตนเอง ซึ่งเป็นทักษะการแปรสภาพร่างกายที่แปลกประหลาดอันเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของนางเสียอีก
‘เมื่อผู้บ่มเพาะที่เป็นคนธรรมดาดูดกลืนพลังจากโลกอื่นเพื่อเสริมทักษะการแปรสภาพร่างกาย สิ่งที่ต้องระวังคือการดูดกลืนพลังนั้นอาจส่งผลทำลายรากฐานแห่งเต๋าของตนเองได้ แต่ดูเจ้าเด็กหนุ่มนั่นกลับไม่เป็นอันตรายและยังทำให้ข้าได้เห็นทักษะแปรสภาพร่างกายระดับนี้เป็นครั้งแรกด้วย’ แววตาลึกล้ำที่มองดูเฉินซีของหลินโม่เซวียนก็ปะทุให้เห็นความโลภที่แผดเผาขณะที่เจ้าตัวนิ่งคิด ‘พลังบ่มเพาะปราณแปรสภาพของข้าเวลานี้เกือบถึงขีดสุดแล้ว ข้าจะต้องเพิ่มพลังบ่มเพาะของตัวเอง จากนั้นพลังบ่มเพาะทักษะการแปรสภาพก็จะทวีคูณขึ้นซึ่งไม่นับว่าแย่นัก แต่ถ้าข้าสามารถยึดทักษะบ่มเพาะพลังของเด็กหนุ่มคนนั่นมาได้ จะส่งผลให้โดดเด่นที่สุดในชุมนุมดาวรุ่งที่จะมีขึ้นในอีกห้าปีข้างหน้าอย่างแน่นอน!’
‘ทักษะแปรสภาพร่างกายช่างล้ำลึกนัก ดูท่าว่าจะเหนือกว่าทักษะขัดเกลากายาเก้าพญาอสรพิษแปลงมังกรของข้าเสียด้วยซ้ำ แต่ทักษะขัดเกลากายาของข้านั้นเป็นทักษะแปรสภาพร่างกายที่ในหมู่เชื้อพระวงศ์ถือว่าเป็นทักษะที่สูงค่า!’ สายตาของหวงฝู่ฉงหมิงเป็นประกายวูบวาบด้วยห้วงความคิดที่วนเวียนอยู่มากมาย
ถันไถหงกวาดสายตามองใบหน้าคนอื่นรอบข้างทีละคน ๆ บัดนี้เขาตระหนักได้ทันทีว่าเฉินซีอาจตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว!
ความมั่งคั่งไม่ควรเปิดเผยให้คนอื่นรู้ นับประสาอะไรกับทักษะการแปรสภาพร่างกายที่เยี่ยมยอด!
‘ไม่แปลกที่จื่อเซวียนจะให้ความสำคัญแก่เขานักหนา! ถ้าเขาไม่ตามข้าเข้าสู่ห้วงทะเลทรายมรณะ บางทีอีกไม่กี่ปีเขาอาจกลายเป็นยอดฝีมือน่าเกรงขามสั่นสะเทือนโลกหล้าขึ้นมาอีกคนก็ได้ แต่เคราะห์ร้ายที่พลังของเขาในตอนนี้สู้กับใครคงยาก และต่อให้ทักษะบ่มเพาะพลังจะล้ำลึกแค่ไหน คนอื่นจะได้ประโยชน์เสียมากกว่า…’ ถันไถหงคิดแล้วได้แต่ถอนใจเงียบ ๆ
ขณะนั้นเฉินซีไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าวิชาร่างแปลงดาราสังหารเอกภพที่เขาฝึกฝนมา ได้กระตุ้นความละโมบและอยากที่จะแย่งชิงอย่างเอาเป็นเอาตายขึ้นในหัวใจของคนหลายคน แต่ผู้ที่สังเกตพบความผิดปกติกลับเป็นหลิงไป๋
“เฉินซี คนพวกนั้นท่าทางจะไม่หวังดีต่อเจ้า ระวังตัวด้วย” เฉินซีเข้าใจดีว่าความแข็งแกร่งที่เปลี่ยนไปของเขาทำให้ตนต้องใช้ความระมัดระวัง หลังจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้ ขนาดของแก่นแท้ดาราภายในอักขระจ้าววิญญาณอัคคีที่สามขยายใหญ่ขึ้นและสว่างสดใสมากขึ้นทุกที ๆ ราวกับมีกองไฟลุกโชนอยู่ข้างใน เส้นสายวิบวับและโปร่งแสงปรากฏขึ้นในนั้น หากเพียงไม่นาน เส้นสายเหล่านั้นได้ก่อร่างเป็นแก่นแท้ดาราลอยอยู่เหนืออักขระจ้าววิญญาณทันที
เฉินซีพอได้ยินคำเตือนของหลิงไป๋ ชายหนุ่มยังถึงกับชะงักงันด้วยความตกตะลึง พลันเหลือบตามองคนอื่นชั่วแวบอย่างไม่ตั้งใจ จึงทำให้ในใจสัมผัสได้อย่างชัดเจน หากภายนอกกลับนิ่งเฉยและประสาทรับรู้เพิ่มความระมัดระวังอย่างจริงจังมากขึ้น
หึ่ม! หึ่ม! หึ่ม!
เมื่อปีศาจอสรพิษเพลิงตัวสุดท้ายถูกปลิดชีพด้วยฝีมือของเฉินซี ทันใดนั้นเกิดเสียงกระหึ่มแปลกประหลาดมาจากขอบฟ้าไกล ครู่เดียวปรากฏไอน้ำเกาะกลุ่มเคลื่อนบ่าตรงมาอย่างบ้าคลั่งระลอกแล้วระลอกเล่า หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเจ้ากลุ่มไอน้ำที่ว่านั้นที่แท้เป็นฝูงสัตว์ประหลาดที่เป็นผลึกใสแจ๋วจำนวนมากรูปร่างเหมือนค้างคาว!
ขณะนั้นพวกเขาอยู่ห่างไปราวสองลี้ คลื่นไอน้ำที่จับตัวกันอย่างหนาแน่น และความเย็นจัดราวหิมะที่หนาวเน็บจนเข้ากระดูกดำยังพุ่งมาปะทะใบหน้าของทุกคน ส่งอากาศรอบข้างกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งกระจายเป็นหย่อม ๆ
“ฝูงค้างคาวผลึกเหมันต์อย่างนั้นหรือ” ถันไถหงสัมผัสได้ว่าสภาพแวดล้อมมีอุณหภูมิลดลงอย่างฮวบฮาบ เขาครางออกมาด้วยความตกใจ “พวกเราเพิ่งจัดการปีศาจอสรพิษเพลิงเสร็จไปหยก ๆ ยังจะมีสัตว์ประหลาดโผล่เข้ามาใหม่อีก ดูจากจำนวนของพวกมัน คงมากกว่าปีศาจอสรพิษเพลิงเป็นสิบ ๆ เท่า แล้วเมื่อไรมันจะจบสิ้นเสียที”
กลุ่มไอน้ำนั้นกลายเป็นฝูงค้างคาวผลึกใสจำนวนมาก
ว่าปีศาจอสรพิษเพลิงก่อนหน้านี้ไหลบ่ามาดั่งระลอกคลื่นแล้ว ฝูงค้างคาวผลึกเหมันต์ที่ปรากฏขึ้นในเวลานี้ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งฟ้าดิน และห่อหุ้มโลกด้วยน้ำแข็งเอาไว้ภายใน ทุกที่ที่ฝูงค้างคาวผลึกเหมันต์เคลื่อนผ่าน ซากปรักหักพังห้าธาตุ จะถูกห่อหุ้มด้วยเกล็ดน้ำแข็งที่หนาวเย็นเข้ากระดูกดำ แม้แต่บนพื้นดินก็มีน้ำแข็งเกาะตัวจับกันเป็นชั้นหนา ในขณะที่ก้อนหินบางก้อนไม่สามารถทนทานต่ออุณหภูมิที่ลดต่ำลงเช่นนี้ได้ จึงระเบิดกระจุยแตกกระจายกลายเป็นเศษน้ำแข็ง!
เมื่อฝูงค้างคาวผลึกเหมันต์มองเห็นพวกเฉินซี ทันใดนั้นพวกมันก็ทะยานตรงดิ่งเข้าใส่ทันที
สัตว์พวกนี้คล้ายปีศาจอสรพิษเพลิง ด้วยค้างคาวผลึกเหมันต์มีพลังระดับขอบเขตเคหาทองคำขั้นสมบูรณ์เช่นกัน ยิ่งกว่านั้นพวกมันยังมีทักษะในการกระพือปีกเพื่อปล่อยลำแสงคมกริบดั่งแท่งน้ำแข็งพุ่งออกพร้อมกันสองสาย ดังนั้นเมื่อฝูงค้างคาวผลึกเหมันต์พร้อมใจกันกระพือปีกพึ่บพั่บ ทำให้ท้องฟ้าถึงกับฉีกเป็นจุณและเสียงระเบิดดังเปรี้ยงปร้างทันที มองดูเผิน ๆ เหมือนกับทางช้างเผือกไหลหลั่งลงมาจากท้องฟ้า แค่มองดูไกล ๆ ก็ยังทำให้รู้สึกชาตั้งแต่หนังศีรษะจรดปลายเท้าแล้ว
“พี่ใหญ่ เวลานี้องค์ชายหวงฝู่ และคนอื่น ๆ ต่างอยากจะได้ครอบครองทักษะแปรสภาพร่างกายของเจ้าหมอนั่น ข้าคิดอะไรดี ๆ ออกอย่างหนึ่งแล้วขอรับ พวกเราออกจู่โจมและจับตัวเจ้าหมอนั่นเอาไว้และชิงสมบัติวิเศษมาจากมัน จากนั้นก็บังคับให้มันเปิดเผยทักษะการแปรสภาพร่างกาย พวกเราจะได้เรียนรู้ไปพร้อมกับคนอื่น อย่างนี้คงไม่มีใครคัดค้าน ท่านเห็นด้วยไหม” ในช่วงเวลาคับขันเถิงหัวซวี่ถ่ายทอดความคิดของตัวเองผ่านกระแสเสียงปราณไปยังเถิงหัวจีทันที
“เป็นความคิดที่ดี! ค้างคาวผลึกเหมันต์มาได้จังหวะจึงทำให้มันหมดหนทางหลบหนี พวกเราลอบเข้าไปข้างหลังและจัดการมันเสีย!” เถิงหัวจีตัดสินใจได้อย่างฉับพลัน
เปรี้ยง!
พี่น้องตระกูลเถิงมองหน้ากัน สีหน้าเหี้ยมเกรียมแววตาอำมหิต จากนั้นทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้ง พวกเขาก้าวออกไปพร้อมกับกระแทกหมัดตรงใส่เฉินซีจากด้านหลังพร้อมกัน
การเคลื่อนที่รวดเร็วกว่าปานสายฟ้าฟาด พลังหมัดที่ส่งออกไปของทั้งคู่บังเกิดเป็นเสียงคำรามดั่งเสียงร้องของมังกรพร้อมกับกลุ่มหมอกสีดำม้วนตัวลอยขึ้นมา บริเวณที่พวกมันแล่นฝ่าแม้กระทั่งช่องยังแยกออกอย่างแรงและแตกกระจัดกระจาย การจู่โจมครั้งนี้เป็นการรวมพลังความแข็งแกร่งของพี่น้องตระกูลเถิง โดยมีจุดประสงค์คือกำจัดเฉินซีด้วยพลังจู่โจมเพียงครั้งเดียว!
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังจู่โจมด้วยวิธีการต่ำทรามและเจ้าเล่ห์เพทุบายอีกด้วย เพราะฉวยโอกาสในช่วงที่เฉินซีกำลังรับมือกับกองทัพค้างคาวผลึกเหมันต์และเข้ามาทางด้านหลัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่หวงฝู่ฉงหมิงและหลายคนในที่นั้นยังแปลกใจเป็นที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับเฉินซี
“เฉินซี! ระวัง! เจ้าพี่น้องตระกูลเถิงมันลอบกัด!” แต่หลิงไป๋สังเกตเห็นเสียก่อน ดังนั้นตอนที่พี่น้องตระกูลเถิงออกเคลื่อนไหว เขาจึงได้เตือนเฉินซีไว้แล้วเช่นกัน
ฟิ้ว!
เฉินซีได้เตรียมรับมือการลอบกัดของพี่น้องตระกูลเถิงไว้อยู่แล้ว และเมื่อมีเสียงหลิงไป๋บอกมาเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงตอบโต้ทันทีตามสัญชาตญาณโดยไม่มีลังเล เขาเอี้ยวตัวพร้อมขยับหลบออกด้านข้างก่อนที่จะกดปลายเท้าลงบนพื้นเบา ๆ จากนั้นร่างได้แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าทะยานวูบหายไปในจุดนั้นอย่างรวดเร็ว ขณะเขาเหินไปกลางอากาศส่งผลให้สองพี่น้องตระกูลเถิงจู่โจมพลาดเป้าหมายอย่างสิ้นเชิง
“บ้าชะมัด! มันหนีไปได้อย่างไร” สองพี่น้องตระกูลเถิงทำท่าฟึดฟัดอย่างหัวเสีย
“คนที่รอดตายจากนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิต สุดท้ายแล้วพวกเจ้าก็ไม่อาจยับยั้งชั่งใจหวนกลับมาแว้งกัดข้าจนได้สินะ” เสียงคำรามของเฉินซีดังก้องสะท้านฟ้า เวลานั้นเสียงของชายหนุ่มดังสนั่นปานฟ้าร้องฟ้าผ่ากึกก้องทั่วซากปรักหักพังห้าธาตุ
ภายในซากปรักหักพังห้าธาตุมีผู้บ่มเพาะและสัตว์อสูรจำนวนมากกำลังต่อสู้กันในที่ต่าง ๆ เขาจึงใช้โอกาสอันเหมาะเจาะนี้เปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของพี่น้องตระกูลเถิงเพื่อให้ทุกคนได้รับรู้ทั่วกัน
นอกจากนี้เขามั่นใจอยู่อย่างว่า ต่อให้ตนเปิดโปงพวกมันสองพี่น้อง ทว่าคนพวกนั้นไม่กล้าเปิดเผยตัวตนของเขาแน่ เพราะที่นี่ไม่มีใครที่ครอบครองเจดีย์บำเพ็ญทุกข์และยันต์สยบวิญญาณเก้าพยางค์แห่งสัจธรรมนอกจากเฉินซี และนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตมุ่งมั่นที่จะได้มันมาอยู่ในครอบครอง ถ้าคนอื่นได้รับรู้ว่าพี่น้องตระกูลเถิงรวมหัวกันเพื่อฉกสมบัติล้ำค่าเหล่านี้จะเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นถ้าสองพี่น้องตระกูลเถิงไม่ใช่คนโง่จนเกินไป พวกเขาจะไม่มีวันเปิดเผยตัวตนของเฉินซีอย่างเด็ดขาด
ขณะที่คนพูดอยู่นั้น ฝูงค้างคาวผลึกเหมันต์ได้ปกคลุมไปทั่วทั้งสวรรค์และพื้นพิภพจนหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งพวกมันยังทำท่าจะกระหน่ำซัดลงมาที่พวกเขาด้วย และคนที่ได้จะต้องปะทะพลังกระหน่ำที่รุนแรงนี้ก่อนใครก็คือเฉินซีนั่นเอง!
ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกหวาดเกรงเลยสักนิด จากนั้นเขาก็ผลักฝ่ามือมหาดารากวาดเข้าไปหาแท่งน้ำแข็งคมกริบจำนวนมหาศาล เพียงแค่กวาดเป็นแนวนอน ฝ่ามือยักษ์ก็สามารถสกัดการจู่โจมที่เข้ามาไว้ทั้งหมด และยังทำให้ค้างคาวผลึกเหมันต์นับสิบถูกบดขยี้ด้วย สัตว์อสูรร่วงหล่นโปรยปรายเป็นสายฝนก่อนที่จะแตกกระจายกลายเป็นมวลน้ำให้เฉินซีได้ดูดซับเข้าสู่อักขระจ้าววิญญาณวารีที่เก้าของเขา
“เอาล่ะ ทุกคน…กำจัดพวกนิกายอสูรจันทร์เสี้ยวโลหิตให้หมด พี่น้องตระกูลเถิง…ถ้าเจ้าแน่จริง ตามมาสู้กับข้านี่!” เฉินซียกยิ้ม ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ว่าปราณจ้าววิญญาณวารีที่เก้าในตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เมื่อนั้นจึงเปล่งเสียงตะโกนดังพร้อมกับหมุนรอบตัว ก่อนจะมุ่งหน้าตรงเข้าไปยังฝูงค้างคาวผลึกเหมันต์ที่ปกคลุมทั่วท้องฟ้าและปฐพีเป็นอันดับแรก ในขณะที่พวกมันเคลื่อนทะลักเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย!