บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1567 กลองตะบันเทพ
บทที่ 1567 กลองตะบันเทพ
……….
บทที่ 1567 กลองตะบันเทพ
ด้วยการบ่มเพาะปัจจุบันของเฉินซี และความช่วยเหลือจากอักขระผนึกเต๋า ยอดฝีมือในขอบเขตบ่มเพาะเดียวกันจึงไม่อาจหยุดเขาได้เลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ การตรึงเขาจึงย่อมเป็นไปไม่ได้
ทว่าหนนี้ ชายหนุ่มถูกตรึงไว้ในทะเลทรายสีเลือดจริง ๆ เหตุผลนั้นเป็นเพราะคนเพียงหนึ่ง ซึ่งก็คือชายหนุ่มตาสีทอง!
ชายหนุ่มผู้นี้ผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้าหล่อเหลา ซึ่งก็คือฉินถง ผู้นำกลุ่มของลู่ถิงซึ่งถือครองเคล็ดเทวะสืบวิญญาณ
ดวงตาสีทองของเขาผนึกมิติ สะกดนิ่งสรรพสิ่งได้ น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ทันทีที่ร่างของเฉินซีมาถึงทะเลทรายสีเลือดนี้ เขาก็เห็นเป้าหมายและใช้เนตรสีทองผนึกแดนดินในระยะล้านลี้ลงทันที!
ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันของเฉินซี ทันทีที่มาถึง เขาก็เหมือนชาวบ้านตกหล่มโคลน ยากเคลื่อนไปเบื้องหน้า และความเร็วก็ลดลงอย่างมาก
โชคยังดี วิชาผนึกมิตินี้เล็งเป้าเพียงความเร็วการเคลื่อนย้ายมิติของเป้าหมาย มิได้ส่งผลต่อศักยภาพศึกของเฉินซี หาไม่ แค่สิ่งนี้ลำพังก็เพียงพอเป็นอันตรายถึงตายแล้ว
หลังศึกดำเนินไปครู่สั้น ๆ เมื่อสังเกตพบว่าคณะของเขาไม่อาจกระทำสิ่งใดต่อเฉินซีได้เลย ฉินถงก็ถอยร่นไปซ่อนแสนไกล ขณะเตรียมพร้อมรับศึกทันที
ขณะเดียวกัน เขาก็ส่งสัญญาณเรียกพรรคพวก
จึงเกิดเป็นเหตุการณ์นี้
…
ยอดฝีมือขอบเขตเทวาสี่สิบกว่าคนยืนเรียงรายรอบทิศดุจเมฆาทมิฬ ต่างผู้แผ่จิตสังหารร้ายกาจขณะขวางทางหนีทั้งหมดของเฉินซีไว้
หากขบวนทัพยิ่งใหญ่เช่นนี้ปรากฏขึ้นในมิติที่สาม ก็เพียงพอล้างโลกา ครองทั่วหล้าในมิติที่สามได้อย่างไม่ยากเย็น
ทว่าที่นี่คือแดนโลกาวินาศ กฎเต๋าแห่งสวรรค์แตกต่างออกไป ตัวตนขอบเขตเทวากลายเป็นผู้ที่หาได้ง่ายดาย ทว่าเมื่อเทพทั้งสี่สิบกว่าคนย่างสามขุมหมายสังหาร อำนาจยิ่งใหญ่ที่พวกเขาแผลงออกมาก็ยังน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญที่สุดคือ เฉินซียังอยู่ในมิติอันนิ่งค้างจนบัดนี้
เต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งมิติที่คนผู้นี้คือครองอยู่สูงกว่าข้าแน่แท้ อาจกระทั่งบรรลุสู่ขั้นต้นไปแล้ว… เฉินซีย่นคิ้ว รู้สึกว่ารับมือยากเล็กน้อย
ทว่ามันก็แค่รับมือยาก หากมิใช่ต้องพะวงเรื่องการสิ้นเปลืองพลังศักดิ์สิทธิ์ เฉินซีก็ยังสามารถทำลายมันได้โดยอิงเพียงกำลังตนเช่นกัน
“เจ้าหนู ความแข็งแกร่งของเจ้าถือได้ว่าไม่เลว ในเมื่อเจ้าถูกเราไล่ล่า แต่ยังดิ้นรนได้จนบัดนี้ น่าเสียดายที่วันนี้ เจ้าไร้ทางเลือกนอกจากตาย” ฉินถงฉีกยิ้มขณะเอ่ยขึ้นจากไกล ๆ “โอ้ จริงสิ นี่คือเนตรทองเทวะที่ข้าฝึกสำเร็จ ไม่มีทางใช้ได้หากไม่บรรลุขั้นต้นของเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งมิติ อย่าเข้าใจผิด ข้าในยามนี้มิได้โอ้อวด แต่แค่อยากให้เจ้าตายโดยไร้กังขาคาใจ”
เนตรทองเทวะ? เฉินซีไม่เคยได้ยินชื่อวิชาเช่นนี้มาก่อน
แต่จากคำพูดของอีกฝ่าย เขาก็ยืนยันได้อย่างหนึ่ง ว่าเจ้าคนตรงหน้านี้บรรลุขั้นต้นของเต๋าศักดิ์สิทธิ์แห่งมิติ และสามารถถือได้ว่าเป็นตัวตนแข็งแกร่งไม่ธรรมดาจริง ๆ
อย่างน้อยที่สุด ก็นับเป็นตัวตนสูงสุดในขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาได้
แน่นอน แม้จะใช้วิชาเนตรทองเทวะ แต่ฉินถงก็ยังไม่อาจเทียบชั้นเฉินซีได้ เพราะถึงอย่างไร เฉินซีก็เคยบีบให้เทวารู้แจ้งวิญญาณสู้ตายมาแล้ว ขณะที่เห็นได้ชัดว่าฉินถงมิอาจทำได้เช่นเขา
เฉินซีไม่ได้โจมตี ขณะที่คณะของฉินถงเองก็ไม่ได้จู่โจมบุ่มบ่าม ทั้งหมดต่างกำลังรอ
คณะของฉินถงรอความช่วยเหลือมาถึง ยิ่งมากยิ่งดี เพราะพวกเขาจะยิ่งมีความมั่นใจว่าจะจัดการกับเหยื่อได้
เช่นกัน เฉินซีก็กำลังรอโอกาสอันเหมาะสมในการทะลวงให้พ้นจากอุปสรรคนี้
ทว่าขณะนี้เฉินซีไม่อาจรอได้ ไม่ใช่เพราะเขาสิ้นความอดทน แต่กลับกัน เป็นเพราะหากสถานการณ์ยืดเยื้อ ความเสียเปรียบจะยิ่งโถมทวี ถึงยามนั้น ต่อให้โอกาสอันเหมาะสมมาถึง ก็ยังสายไปแล้ว
สิ่งนี้ทำให้เขาขมวดคิ้วทันใด หรือสาวน้อยผู้นี้จะกลัว?
“คุณชาย ข้า… ข้า…” เสียงของอาเหลียงตะกุกตะกักเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางทราบแล้วว่าเฉินซีไม่ชอบใจเล็กน้อยที่จู่ ๆ นางก็พูดในเวลาเช่นนี้
“อาเหลียง ไว้คุยกันหลังข้าบุกพ้นวงล้อมได้หรือไม่?” เฉินซีส่งกระแสปราณหานาง
“แต่ข้า… ข้ามีวิธีแหวกมิตินิ่งค้างนี่ออกไปนะ” อาเหลียงสูดหายใจลึก ๆ แล้วรวบรวมความกล้าพูดขึ้น
ชายหนุ่มเลิกคิ้วทันควัน เขาประหลาดใจอย่างยิ่ง กระทั่งสงสัยว่าตนหูฝาดหรือไม่….
“คุณชาย ดูให้ดีเถิด”
วูบ!
อาเหลียงแปรเปลี่ยนเป็นเส้นแสงวูบไหวจากหูของเฉินซี ยืนอย่างสง่างามข้างกายเขา ขณะที่กลองสำริดลูกหนึ่งปรากฏขึ้นในมือนาง
กลองสำริดลูกนี้เล็กจ้อยอย่างยิ่ง เล็กเสียยิ่งกว่าเมล็ดข้าว ทว่ายามนางยกกลองลูกนี้ขึ้น สีหน้าของอาเหลียงพลันเคร่งขรึมจริงจังทันใด
บรรยากาศของกลองนี่เป็นเอกลักษณ์ยิ่ง ดูเหมือนจะเป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติชิ้นหนึ่ง… เฉินซีเลิกคิ้ว ดวงตาวูบไหวด้วยความฉงนสงสัย
“หือ? นั่นอันใดกัน?”
“เหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดจ้อยดุจมดนะ….”
“ไม่สิ นั่นเหมือนจะเป็นเผ่าจุลบรรพกาล!”
“เผ่าจุลบรรพกาล? มิใช่เผ่านั้นสาบสูญไปในแดนเทพโบราณนับแต่สองสามล้านปีก่อนแล้วหรือ? เหตุใดจึงมาโผล่อยู่ข้างกายเจ้าเด็กนั่นได้เล่า?”
ขณะนั้น ฉินถงและคณะต่างก็สังเกตเห็นการปรากฏตัวของอาเหลียงแล้วเช่นกัน ทว่าพวกเขาหากลัวไม่ และส่วนใหญ่ที่รู้สึกก็มีเพียงความฉงนใจ
คนบางผู้กระทั่งกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ รู้สึกเหมือนเฉินซีหมดลูกไม้ จึงไร้หนทางนอกจากต้องอาศัยความช่วยเหลือจากบุคคลตัวจ้อยนี้ ดูน่าขันยิ่งนัก
เพราะถึงอย่างไร อาเหลียงก็ตัวเล็กจ้อยเหลือเกิน พานให้ผู้อื่นเข้าใจผิด คิดไปว่านางไม่อาจรับการโจมตีได้แม้แต่น้อย นิ้วเดียวก็บี้ตายแล้ว
ก๊อง!
หลังจากนั้น เสียงกลองทุ้มลึกก็สะท้อนออกมาอย่างเนิบช้า
เสียงนั้นในทีแรกสุดแสนแผ่วเบา ไร้ผู้ใดให้ความสนใจ ทว่าเพียงพริบตาต่อมา เสียงกลองพลันทวีความดัง ประหนึ่งอัสนีเทพขยี้ลงจากเต๋าสวรรค์ กึกก้องครืนคลั่งทั่วทิศ
ชั่วขณะนั้น ฟ้าดินดูสั่นสะท้านทั่วทิศ สั่นพ้องไร้สิ้นสุดสนองรับเสียงกลอง ประหนึ่งเสียงคำรามเทพอสูรโบราณ เขย่าสรวงสะท้านแดน
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
หลังจากนั้น มิติในระยะล้านลี้ซึ่งถูกสะกดนิ่งพลันเริ่มสั่นสะท้าน ดุจมีอำนาจไร้ลักษณ์ฟาดกระแทกลงอย่างแรง ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเกินรับแรงกดดันหนักหน่วง ก่อนจะสั่นสะท้านแหลกสลายไป
หากมองลงมาจากท้องนภา จะสังเกตเห็นว่าแดนดินที่มีเฉินซีเป็นศูนย์กลางเป็นดั่งแก้วซึ่งถูกทุบแหลกเป็นเสี่ยง แปรเปลี่ยนเป็นเศษเสี้ยวกระจุยกระจายไปทั่วทิศทาง
เพียงพริบตา มิติในระยะล้านลี้อันนิ่งค้างก็ถูกเสียงกลองนี้บดขยี้พังทลาย!
ตู้ม!
หลังมิติอันนิ่งงันถูกทลายลง เสียงกลองก็ยิ่งทวีฤทธิ์ชวนสะพรึง ประหนึ่งทวยเทพกู่คำรามคลั่ง เหมือนเต๋าแห่งสวรรค์แผลงฤทธา ฟ้าดินเลื่อนลั่นไปด้วยสำเนียงกลองลั่น
มันสั่นสะท้านทั่วฟ้าดินเสียจนเขย่าโคลงแหลกกระจาย นอกจากเฉินซี แก้วหูของคนทั้งมวลล้วนเจียนแหลกเป็นเสี่ยง จิตใจถูกกระทบอย่างร้ายแรง ขณะที่แก่นโลหิตทั่วกายปั่นป่วนไร้สิ้นสุด
“นั่นมันกลองอะไรกัน?”
“บ้าเอ๊ย! เหตุใดจึงมีฤทธิ์ร้ายกาจเพียงนี้?”
“กลองตะบันเทพ! นั่นคือสมบัติสูงสุดของเผ่าจุลบรรพกาล เป็นสมบัติวิญญาณธรรมชาติอันเลื่องลือสูงสุดในยุคบรรพกาล! เมื่อนานมาแล้ว ยามจ้าวเต๋าคุนเผิงแห่งเอกภพอุดรลึกล้ำมุ่งหน้าสู่แดนโลกาวินาศ เขาไร้หนทางนอกจากต้องพึ่งสมบัติล้ำค่านี้เผชิญอันตราย!”
“หรือว่า… หรือนางจะเป็นราชินีแห่งเผ่าจุลบรรพกาล?” ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างช่วยมิได้ ขณะเร่งโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกตนเข้าต้านเสียงกลองอันชวนสะพรึง
กลองตะบันเทพ? ขณะเดียวกัน เฉินซีเองก็เหลือบมองอาเหลียงอย่างตกใจเล็กน้อย แต่เขาก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของนางซีดขาวราวกระดาษ ร่างน้อยเจียนร่วงลงจากกลางอากาศ เหมือนสิ้นกำลังทั้งปวง
เขาหยุดคิดเรื่องทั้งหมดในทันที และรีบร้อนสั่งให้อาเหลียงกลับมาซ่อนตรงหูของเขา
“คุณชาย อาเหลียงมิได้ไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่เจ้าคะ?” อาเหลียงอ่อนแรงเล็กน้อย แต่ก็ยังเชิดหน้าอย่างภาคภูมิขณะพูดเสียงเบา
“ใช่แล้ว! อาเหลียงช่วยข้าได้มากจริง ๆ! หากเราเข้าสู่แดนเทพโบราณได้ อาเหลียงจะมีผลงานในความสำเร็จของเราแน่นอน” เฉินซีตอบยิ้ม ๆ
อาเหลียงเก้อเขินกับคำชมของชายหนุ่มเล็กน้อย นางก้มหน้างุดอย่างเอียงอายทันที ทว่าในใจกลับสุดแสนยินดี เพราะนางมิเคยได้รับการยอมรับจากคนนอกมาก่อน
เคร้ง!
พริบตาต่อมา เฉินซีดึงยันต์ศัสตรา โผทะยานร่างพุ่งโจมตีอย่างไร้ลังเล
อาเหลียงช่วยเขาปลดพันธนาการแล้ว หากไม่ฉวยโอกาสนี้ลงมือ เฉินซีย่อมทำให้ความพยายามของสาวน้อยผู้นี้เสียเปล่าโดยแท้
“บ้าเอ๊ย! ทุกท่านรีบลงมือเร็ว เรารอต่อไปมิได้แล้ว!”
“นายน้อยสามบอกว่า ผู้ใดฆ่าเจ้าเด็กนี่ได้จะได้รางวัลเป็นผลึกศักดิ์สิทธิ์พันชิ้น และสมบัติวิญญาณประดิษฐ์อีกชิ้น!”
“ร่วมมือกันโจมตี!”
“ฆ่า!”
ฉินถงและคณะทั้งตะลึงและเดือดดาล ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังมิกล้าโอ้เอ้ จึงชักอาวุธออกมาโจมตีโดยพร้อมเพรียง
เพียงพริบตา ศึกก็ปะทุขึ้น
ทวยเทพสี่สิบกว่าคนจากแดนเทพโบราณล้อมเฉินซีไว้จากทั่วทิศ แผลงอำนาจยิ่งใหญ่กดดันอันตรายถึงขีดสุด
ขณะเดียวกัน ทะเลทรายสีเลือดนี้ตกสู่ความโกลาหลในพริบตา เต็มไปด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขตและสารพัดสมบัติศักดิ์สิทธิ์เรืองโรจน์ กลบรัศมีฟ้าดินหมองลง
…
ขณะนี้ เฉินซีฟื้นความเยือกเย็นกลับมาอีกครั้ง จิตสังหารพลุ่งพล่านทะลักไหลในดวงตา ประหนึ่งศิลาหลอมแผดผลาญเจียนหลอมนภาสู่จุณ
เปรี้ยง!
ยันต์ศัสตราแหวกนภา สองเท้าก้าวเดิน แม้ศัตรูจะโจมตีเข้ามาจากทั่วทิศ ทว่าชายหนุ่มกลับเผยบรรยากาศยิ่งผยองดุจผู้เหนือกว่า
มากจำนวนกว่าแล้วเช่นไร?
ต่อหน้าอำนาจต่อสู้อันยิ่งยง จำนวนไม่อาจตัดสินชัยชนะได้
ในประสบการณ์ต่อสู้ของเฉินซีที่ผ่านมา มิได้ขาดศึกที่เขาลำพังต้องเผชิญกลุ่มศัตรูมากมาย ถึงขนาดที่เขาสร้างความคุ้นชินกับสถานการณ์นี้มาเนิ่นนาน แล้วมีหรือจะกลัวในยามนี้?
ฆ่า!
เส้นผมยาวของเฉินซีฟาดสะบัด นำเหรียญทองแดงโปรยสมบัติออกมาเผชิญหน้ากับสมบัติศักดิ์สิทธิ์อันประดังเข้ามาเต็มนภาอย่างไร้ลังเล
ฮึ่ม!
มันแปรเป็นแสงสีทองเรืองโรจน์ทะยานออกไป
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
สมบัติศักดิ์สิทธิ์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าถูกมันกระแทกใส่อย่างรุนแรง พวกมันดูประหนึ่งต้องอัสนีฟาด สั่นสะท้านก่อนจะหลุดจากควบคุมของนายมัน ร่วงกระแทกลงจากนภาในทันใด
นี่เป็นภาพ ‘โปรยสมบัติ’ โดยแท้จริง ดุจพิรุณสมบัติศักดิ์สิทธิ์โปรยปราย เป็นที่ตกตะลึงของผู้คนรอบข้างจนอุทานอื้ออึงด้วยตกใจไม่รู้จบ
ยิ่งกว่านั้น คนส่วนใหญ่กระทั่งรับผลกระทบยามสมบัติของตนถูกฟาดร่วง พากันกระอักเลือดตาม ๆ กัน
ศึกนี้เพิ่งเกิดเพียงพริบตา ทว่าสมบัติศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ซึ่งโจมตีเฉินซีเข้ามาก็ถูกเหรียญทองแดงโปรยสมบัติสกัดร่วงเสียแล้ว ยิ่งกว่านั้น ยอดฝีมือสิบกว่าคนยังถูกผลกระทบบาดเจ็บสาหัสตามไปด้วย
เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้สีหน้าของฉินถงและคณะแปรเปลี่ยนไปทันที แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตน
……….