บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1566 จิตสังหารทุกย่างก้าว
บทที่ 1566 จิตสังหารทุกย่างก้าว
……….
บทที่ 1566 จิตสังหารทุกย่างก้าว
สายธารใหญ่พรั่งพรู เกลียวคลื่นสีแดงเลือดถาโถม
ยอดฝีมือขอบเขตเทวากลุ่มหนึ่งผ่านมา หากพินิจให้ดี ทั้งคณะมีทั้งสิ้นสี่คน และทุกคนล้วนมีสีหน้าระแวดระวังพร้อมออกศึก ประหนึ่งคันศรที่ถูกดึงจนตึง พร้อมโจมตีทันทีที่เห็นการเคลื่อนไหว
“ช้าลงกว่านี้สักหน่อยเถิด อย่าผลีผลาม” ชายวัยกลางคนชุดดำคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้นำกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แม้จะไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใด ในใจก็เผยความหวาดผวาขึ้นจาง ๆ แล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้สีหน้าของเขายิ่งทวีความตื่นตัว เม้มปากกล่าวว่า “หนนี้ ข้าไม่หวังให้สำเร็จ หวังเพียงไร้ความผิดพลาดใด ๆ ขอให้ทุกคนระมัดระวังตัวไว้ ข้าได้ยินว่าเจ้าเด็กนี่มากเล่ห์และไร้ปรานี เทียบกับเทวารู้แจ้งโลกาธรรมดาไม่ได้เลย”
“เข้าใจแล้ว”
“พี่ใหญ่หวังทาพูดถูก”
อีกสามคนตอบรับตามกัน พวกเขาออกตามหาชายหนุ่มจากภพเบื้องล่างผู้นี้มาตลอดหลายวัน ทีแรกพวกเขารู้สึกเฉยชานัก และรู้สึกกระทั่งว่านายน้อยสามอี้เทียนขี่ช้างจับตั๊กแตน
ทว่าเมื่อพวกเขาได้เข้าใจความแข็งแกร่งของชายหนุ่มผู้นั้นมากขึ้น พวกเขาก็เริ่มถือเหยื่อผู้นี้เป็นจริงเป็นจัง ไม่กล้าประเมินอีกฝ่ายต่ำแม้แต่น้อย
เพราะแม้แต่นายน้อยสามอี้เทียนยังส่งกำลังทั้งหมดของเขามาจัดการกับเจ้าเด็กนี่ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเจ้าเด็กนี่รับมือยากเพียงไร!
หลังจากนั้น พวกเขาก็เลิกพูดคุย ตั้งขบวนตั้งรับอันเยี่ยมยอด ค้นหาขณะเคลื่อนไหวต่อไปอย่างระมัดระวัง
ซ่า!
ทันใดนั้น วารีสายหนึ่งก็พุ่งจากสายธารสู่เวหา แล้วคลื่นสีเลือดก็ระเบิดออกจากเกลียวนที ประหนึ่งศรคมอันยิงทะลวงสู่หวังทาซึ่งเป็นผู้นำ
เหตุนี้เกิดขึ้นกะทันหันนัก ทำให้หัวใจของหวังทาและคณะสั่นกระตุก พวกเขาซึ่งเตรียมพร้อมรับศึกมานานจู่โจมพร้อมเพรียงโดยสัญชาตญาณ
เปรี้ยง!
รัศมีศักดิ์สิทธิ์เรืองรอง สมบัติศักดิ์สิทธิ์โผนทะยาน
เพียงพริบตา เงาสีแดงที่พุ่งเข้ามาก็ถูกป่นเป็นผงกลางเวหาตรงหน้าพวกตน
“ที่แท้ก็แค่ปลาหน้ายาวเกล็ดชาดตัวหนึ่ง”
คนอื่น ๆ เหลือบมองกันยิ้ม ๆ รู้สึกว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของพวกตนดูเหมือนกระต่ายตื่นตูมนัก
ฟิ่ว!
ทว่าขณะที่หัวใจและความคิดของพวกเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อยนั้นเอง ปราณกระบี่สายหนึ่งก็เผยโฉมเบื้องหลัง ฟาดฟันมาอย่างกะทันหัน
“แย่แล้ว!”
“บัดซบ!”
สีหน้าของหวังทาและคณะแปรเปลี่ยนเฉียบพลัน ม่านตาหดตัววูบ มิคาดคิดเลยว่าจะถูกลอบโจมตีกะทันหันอีกครั้งในขณะนี้ ยิ่งกว่านั้น การโจมตีนี้ยังเฉียบคมและฉวยโอกาสเพียงเสี้ยวลมหายใจอย่างแม่นยำ ดูเปี่ยมประสบการณ์ยิ่ง
“โจมตี!” หวังทาตวาดดังลั่น ขณะที่สามง่ามสีเงินในมือฟาดฟันกวัดไกว ปะทะปราณกระบี่สายนั้นอย่างรุนแรง
แทบจะพร้อมกันนั้น คนอื่น ๆ ต่างโจมตีตามกันเพื่อคุ้มกันหวังทา จากนั้นก็ไหวกายหนีออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มระยะห่าง ป้องกันมิให้ถูกโจมตีกะทันหัน
ทว่าพวกเขาประเมินความร้ายกาจของปราณกระบี่สายนี้ต่ำไป!
หวังทาหยุดการโจมตีนี้ไว้ได้ก็จริง ทว่าร่างของเขาก็ถูกอำนาจในปราณกระบี่นี้ฟาดฟัน ทำให้ร่างสะท้านรุนแรง ขณะที่พลังชีวิตถูกสับเป็นเสี่ยง ๆ โลหิตคำโตถูกพ่นกระเซ็นจากปาก ส่งเสียงแผดร้องดังสนั่น ถูกฟาดกระเด็นไป แม้แต่สามง่ามเงินยังกระเด็นหลุดจากมือ
“พี่ใหญ่หวังทา!”
“บัดซบ!”
“นี่มันเต๋าแห่งกระบี่อันใดกัน!?”
คนอื่น ๆ อุทานอย่างตกใจ คิดจะเข้าไปช่วยเหลือหวังทา
“ไอ้พวกบื้อ! ฆ่าศัตรูก่อนเซ่!” หวังทาคำรามลั่น พร้อมกันนั้น เขาก็กระอักเลือดออกมาอีกคำ ร่างกายกระแทกลงสู่สายธารราวกระสอบทรายอย่างไม่อาจควบคุม พลังชีวิตพังทลาย ตกตายอย่างอนาถกลางสายชล!
คนอื่น ๆ เหมือนจะฟื้นจากความฝัน ทั้งกราดเกรี้ยวและตื่นตัว นำสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของพวกตนออกมาป้องกันตัว
เปรี้ยง!
ขณะนั้นเอง ปราณกระบี่อีกสายโผนทะยานเข้ามาอีกครั้ง ประหนึ่งธารดาราโปรยลงจากเก้าชั้นฟ้า ไพศาลทรงพลังไร้ขอบเขต กวาดซัดพร้อมเจตจำนงกระบี่อันดูไร้ขอบเขตภายใน
อำนาจที่มาพร้อมกันนั้นดูประหนึ่งเจียนจมฟ้าดินในมหาสมุทรกระบี่
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
สามยอดฝีมือขอบเขตเทวาคำรามลั่นขณะปะทะมันตรง ๆ ทว่าทันทีที่ปะทะปราณกระบี่สายนี้ สมบัติศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาต่างสั่นสะท้านจากแรงกระแทก ร่างกายซวนเซ ประหนึ่งจอกแหนละล่องท่ามกลางคลื่นลมกระหน่ำเหวี่ยง จวนเจียนจมดิ่งได้ทุกเมื่อ
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตื่นตะลึง สีหน้าเผยความหวาดผวา อำนาจนี้ไม่แข็งแกร่งไปหน่อยหรือ? เหตุใดนี่จึงเป็นสิ่งที่เทวารู้แจ้งโลกาจะมีได้? ต่อให้เป็นเทวารู้แจ้งวิญญาณ การโจมตีของเทวารู้แจ้งวิญญาณยังน่าจะด้อยกว่ายามเทียบกับการโจมตีนี้เลย
ตู้ม!
ปราณกระบี่สายนั้นพลุ่งพล่านไม่รู้จบ ดูประหนึ่งแต่ละเกลียวคลื่นทวีความทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้ที่มิอาจทนได้ก่อนใครเป็นชายในอาภรณ์สีเลือด ร่างผอมดุจท่อนไผ่จมลงในสมุทรปราณกระบี่ ถูกฟาดฟันบังเกิดแผลลึกสีเลือดนับไม่ถ้วน หลังจากนั้น ทั้งร่างและกระทั่งวิญญาณยังถูกสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย สลายไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวนสนั่นลั่น
“สารเลว!”
“เวรเอ๊ย!”
อีกสองคนต่างขวัญเสีย รู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่อาจอธิบาย ต่างคนล้วนทุ่มสุดกำลังเพื่อหนีให้พ้นจากปราณกระบี่นี้
พวกเขาต่างขวัญหนีดีฝ่อ ไม่คิดต่อสู้ต่อไป ตั้งใจหนีไปให้ไกลเท่าที่ทำได้ เพราะคู่ต่อสู้น่ากลัวเกินไป ไม่แม้แต่จะเผยโฉม แต่แค่สองปราณกระบี่ก็กำจัดพวกเขาไปแล้วสองคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ย่อมมิอาจทนความน่าสะพรึงกลัวถึงตายนี้ได้
เปรี้ยง!
ท้ายที่สุด หลังแสดงฝีมือสุดกำลัง พวกเขาทั้งสองก็พุ่งหนีการขัดขวางของปราณกระบี่สายนั้นพ้นมาได้
ทว่าก่อนจะทันได้คว้าความหวังอันริบหรี่นี้ไว้ พวกเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อสังเกตเห็นปราณกระบี่อีกสายซึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุอีกครั้ง…..
ฉับ! ฉัวะ!
การโจมตีนี้บังเกิดขึ้นในลมหายใจเดียวกับที่พวกเขาพ้นการกักกันของปราณกระบี่มาได้ และเหมือนจะมารออยู่แต่แรกแล้ว ทำให้พวกเขามิทันตั้งตัว ถูกปราณกระบี่นี้เฉือนคอโดยไม่มีแม้แต่โอกาสไหวตัว
สองศีรษะกระเด็นหลุดจากบ่า โลหิตสาดกระเซ็นรุนแรง
ศึกนี้เปิดฉากเพียงชั่วประเดี๋ยวก็ปิดฉากลง รวดเร็วจนมิอาจตรวจจับ อันตรายของศึกนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงกลุ่มสี่คนของหวังทาซึ่งสิ้นใจไปแล้วเท่านั้นที่เข้าใจ
วูบ!
หนึ่งร่างปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือเฉินซี
ชายหนุ่มมิได้ทอดถอนใจหรือลังเล วูบไหวร่างไปเก็บสินสงครามและใช้ตาข่ายครอบคลุมสวรรค์จับดวงแสงแปดดวงไว้ทันที ซึ่งมีสี่ดวงบรรจุกฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไว้ และสี่ดวงเก็บสารพัดทักษะวิชาซึ่งกฎแห่งเต๋าสวรรค์ฉีกกระชากออกมา
นอกจากนั้น เฉินซียังรวบรวมผลึกศักดิ์สิทธิ์ได้อีกเจ็ดสิบเก้าชิ้น สมบัติวิญญาณประดิษฐ์เสียหายสามชิ้น สมบัติวิญญาณประดิษฐ์สมบูรณ์หนึ่งชิ้น และวัตถุเทวะทั่วไปสารพัดอย่างอีกกองหนึ่ง
หลังทำทั้งหมดนี้เสร็จสิ้น ร่างของเฉินซีก็วูบไหวจากสมรภูมิไป มิได้เสียเวลาแม้แต่น้อยแต่ต้นจนจบ
…
ทว่าเพียงครู่สั้น ๆ ถัดมา เฉินซีก็ต้องหยุดเคลื่อนไหว กำยันต์ศัสตราในมือไว้แน่น ขณะจิตสังหารแผ่ออกจากสีหน้าแววตาอย่างช่วยไม่ได้
เพราะเขาสังเกตพบปราณอันแข็งแกร่งมากมายมุ่งหน้ามาจากทั่วทิศอย่างรวดเร็ว
ดุจตาข่ายใหญ่หดตัวลงสู่ใจกลาง ป้องกันมิให้วารีหลุดลอดแม้เพียงหยด ขณะที่เฉินซีกลายเป็นมัจฉาในร่างแห ไม่ว่าจะหนีไปหนใด ก็ไม่อาจหลบการปะทะพ้น
“คุณชาย ข้ามิคาดเลยว่าความแข็งแกร่งของท่านจะเลิศล้ำเพียงนี้” ดวงตาเรืองประกายของอาเหลียงเบิกกว้าง อุทานขึ้นอย่างตื่นตะลึง นางยังไม่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ และยังจมอยู่กับเหตุการณ์ที่เฉินซีแผลงอำนาจไร้เทียมทาน สังหารกลุ่มศัตรูลง
“นี่เป็นเพียงโหมโรง งานเลี้ยงที่แท้จริงกำลังจะเปิดฉากต่างหาก” เฉินซีแย้มยิ้ม ทว่ารอยยิ้มที่มุมปากกลับเย็นเยียบเช่นคมมีด
อาเหลียงผงะไป ก่อนจะอ้าปากกว้าง เห็นได้ชัดว่าสังเกตเห็นแล้วว่าสถานการณ์มิสู้ดี จึงเอ่ยว่า “มีศัตรูมาเพิ่มหรือ?”
“มิต้องประหลาดใจไปหรอก ผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจน”
เคร้ง!
นิ้วของเฉินซีวาดไปบนยันต์ศัสตราอันเรียบง่ายดำสนิท พริบตาต่อมา ร่างสูงใหญ่ก็พุ่งทะยานรวดเร็วดุจศรพ้นสาย
…
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
ศึกอันเข้มข้นเปิดฉากขึ้น ทว่าเพียงครู่สั้น ๆ ยอดฝีมือขอบเขตเทวาอีกห้าคนก็ถูกสังหารลงตามกัน ทำให้โลหิตไหลย้อมฟ้าดิน
ขณะเดียวกัน เฉินซีเก็บกวาดสมรภูมิอย่างสุขุม นับสินสงครามแล้วจึงจากไป
ขณะนี้ ใบหน้าหล่อเหลาเยือกเย็นเฉยชา ขณะที่สภาพจิตใจสงบเงียบ การกระทำของเขาถูกวางแผนไว้อย่างเหมาะสม มิได้กังวลหรือเสียขวัญใด ๆ
มีเพียงความเงียบงันอันเปี่ยมจิตสังหารแรงกล้า!
นับแต่เริ่มบ่มเพาะจนบัดนี้ ชายหนุ่มเผชิญศึกหนักมาแล้วเกินคณานับ ขัดเกลาจิตต่อสู้อันดื้อดึงยิ่งมาเนิ่นนาน ดังนั้นเขาย่อมไม่สับสนในสถานการณ์อันเปี่ยมจิตสังหารทุกย่างก้าวเช่นนี้
กล่าวคือ เมื่อมิอาจเลี่ยงศึก เฉินซีก็ไม่เคยกลัวสงคราม!
…
“สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง?”
“เราเสียไปเก้าคนแล้วนับแต่เหยื่อเผยตัว”
“ไล่ตามไป! ไม่ว่าอย่างไร เราต้องหยุดและสังหารผีร้ายนี่ให้ได้!”
“ขอรับ!”
“แจ้งคนอื่น ๆ ด้วยว่าเหยื่อเผยตัวแล้ว เริ่มปิดบัญชีได้ ผู้ใดฆ่าสัตว์ร้ายนี่ได้จะได้รับบำเหน็จผลึกศักดิ์สิทธิ์พันชิ้น และสมบัติวิญญาณประดิษฐ์อีกชิ้น!”
“ขอรับ!”
ภายในช่องเขาสีเลือด อี้เทียนออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด
หลังจากนั้น อี้เทียนก็สูดหายใจลึก ๆ ขณะที่ดวงตาเรืองโรจน์ด้วยความลุ้นรอ “เป็นเหยื่อที่แข็งแกร่งยิ่งนัก หากมาเป็นทาสเทพของข้า เข้าร่วมการชุมนุมล่าดาราที่จักรพรรดินีอวี้เชอจะจัดขึ้นได้ล่ะก็ เจ้าจะมอบผลลัพธ์อันเจิดจรัสแก่ข้าได้แน่ น่าเสียดาย เพื่อสมบัติวิญญาณธรรมชาติสองชิ้นนั่น ข้าทำได้เพียงต้องฆ่าเจ้าเสีย….”
“นายน้อย เจ้าเด็กนั่นแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ซ้ำยังมีสมบัติวิญญาณธรรมชาติสองชิ้น จะเลินเล่อมิได้นะขอรับ” ลุงเก้าขมวดคิ้วขณะกล่าวขึ้นจากข้าง ๆ
“ฮ่า ๆ! มีลุงเก้าอยู่ มีหรือเจ้าเด็กนั่นจะทำอะไรข้าได้?” อี้เทียนหัวเราะร่า “ไม่ต้องพูดถึงว่าข้าส่งยอดฝีมือขอบเขตเทวามาร้อยกว่าคนในหนนี้ คงแปลกน่าดูหากเรายังไม่อาจจับเจ้าเด็กนั่นได้!”
“นายน้อย ระวังตัวไว้หน่อยก็ดีกว่านะขอรับ ยามเรามายังแดนโลกาวินาศ มิใช่บรรพบุรุษให้สมบัติช่วยชีวิตกับท่านมาหรือ…?”
ก่อนลุงเก้าจะทันพูดจบ อี้เทียนก็แค่นเสียงเย็นขัดขึ้นก่อนอย่างไม่สบอารมณ์ “สมบัติช่วยชีวิต? ลุงเก้า ข้ารู้สึกเหมือนเจ้ายิ่งแก่ยิ่งฟั่นเฟือนนะ เทวารู้แจ้งวิญญาณเช่นเจ้าพูดเช่นนี้ ไม่ตาขาวไปหน่อยหรือ!?”
ลุงเก้าผงะไป ท้ายที่สุด เขาก็ทำได้เพียงยิ้มเจื่อนขณะรำพึงในใจ ว่าเด็กนั่นสามารถบีบให้ข้าสู้ตายใช้แท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในกาลนั้น มีหรือจะรับมือง่าย?
แต่เห็นได้ชัดว่าอี้เทียนเอาแต่ใจ ทะนงตนไม่ฟังข้อแนะใด ๆ ลุงเก้าจึงทำได้เพียงทุ่มสุดกำลังเพื่อปกป้องนายน้อยสามผู้หยิ่งผยองนี้ไว้
ขณะเดียวกัน ในที่สุดร่างซึ่งรุดหน้าของเฉินซีก็ถูกศัตรูล้อมไว้ในทะเลทรายสีเลือดแห่งหนึ่ง
ศัตรูมีสี่สิบกว่าคน และยังเพิ่มจำนวนขึ้นไม่จบสิ้น….
……….