บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1565 ซุ่มโจมตี
บทที่ 1565 ซุ่มโจมตี
……….
บทที่ 1565 ซุ่มโจมตี
มีใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้? หัวใจของคนในเผ่าจุลบรรพกาลพลันสั่นสะท้าน
ตอนนั้นเอง รัศมีที่น่าเกรงขามได้กวาดกลืนไปทั่วบริเวณ เจตจำนงของมันไขว้กันไปมาในทุกแนวระนาบราวกับกำลังค้นห้าบางสิ่งอย่างถี่ถ้วน
เฉินซีได้ใช้อักขระผนึกเต๋าเพื่อปกปิดพลังชีวิตของตนมาพักใหญ่แล้ว และเขาก็ตั้งใจที่จะอำพรางกลิ่นอายของคนจากเผ่าจุลบรรพกาลเอาไว้ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ลงมือ คนของเผ่าดังกล่าวก็โฉบกายลงมาซ่อนตัวที่ใต้ต้นหญ้าวารีสีฟ้าอ่อนแล้ว
ท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่ถูกเจตจำนงเหล่านี้ตรวจพบเลย!
สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้ หรือว่าเผ่าจุลบรรพกาลจะมีวิชาลับอำพรางกาย?
สิ้นความคิด ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าที่แท้ก็เป็นเพราะหญ้าวารีเหล่านั้น จริงอยู่ที่หน้าตาของพวกมันธรรมดา ทว่าทันทีที่เจตจำนงเหล่านั้นกวาดออกไป เส้นแสงสีฟ้าอ่อนก็ปรากฏขึ้นจากเรียวใบหญ้า และแยกทุกสรรพสิ่งที่อยู่ภายใต้แสงนั่นออกจากเจตจำนง
มันคือวัตถุเทวะประเภทไหนกัน? เหตุใดจึงให้ผลที่น่าอัศจรรย์เพียงนั้น? ความสงสัยผุดขึ้นในใจของเฉินซี เขาตัดสินใจว่าจะเก็บมันไว้บางส่วนเผื่อมีโอกาสได้ใช้ในอนาคต
“เขาไม่อยู่ที่นี่”
“ค้นต่อ! หาต่อไป! ต่อให้ต้องทุบภูเขาทั้งลูกให้แหลกเป็นจุณ ก็ต้องลากคอไอ้เด็กนั้นออกมาให้ได้!”
“รับทราบ!”
“นายน้อยสามจะร้อนใจเกินไปหรือเปล่า?”
“แน่ละ ตอนนี้ท่านยังรวบรวมกองกำลังมาอย่างเต็มอัตราเพื่อปิดตายที่นี่แล้วด้วย”
“ดีเลย! เริ่มดำเนินการได้”
คลื่นเสียงสนทนาผ่านกระแสปราณถูกดักฟังได้โดยเฉินซี ตอนนั้นหัวใจของเขาสั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้ ชายหนุ่มตระหนักดีว่าหากฝ่ายนั้นระดมสรรพกำลังมาเพื่อค้นหาแทบจะทุกซอกทุกมุมเช่นนี้ การซ่อนตัวอยู่ที่นี่ก็ย่อมไม่ปลอดภัย
อันที่จริงแล้ว เฉินซีเดิมทีตั้งใจจะซ่อนตัวในหนองน้ำเพื่อมองหาจังหวะในการล่าสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ขอบเขตเทวาซึ่งกำลังตามหาตนอยู่ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้รู้จักกับคนของเผ่าจุลบรรพกาลโดยบังเอิญ มันทำให้แผนของเขาสูญเปล่าไปโดยสิ้นเชิง
แต่ถึงอย่างนั้น จะบอกว่าเขารู้สึกผิดหวังก็ไม่ถูกนัก เพราะสิ่งที่ได้รับในครั้งนี้ค่อนข้างคุ้มค่าอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังลึกลับที่ได้มาจากผนึกคุนเผิง มันไม่เพียงแต่ช่วยให้ฟื้นคืนความแข็งแกร่งเท่านั้น หากยังช่วยให้การบ่มเพาะพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นความผิดแผนที่น่ายินดีไม่น้อย
…
“ออกไปกันเถอะ” หลังจากที่เจตจำนงเหล่านั้นค่อย ๆ หายใจ เฉินซีก็ตัดสินใจก่อนจะมองไปยังอาเหลียงเพื่อถามความเห็น
“ได้!” อาเหลียงพยักหน้า ร่างของนางกลายเป็นแสงก่อนจะหายไป
หลังจากนั้น เฉินซีก็เริ่มรู้สึกคันยิบ ๆ ในหู ที่แท้อาเหลียงก็กำลังนั่งอยู่ตรงใบหูของเขา
หญิงสาวในชุดสีม่วงอ่อนก้มหน้าลงขณะที่นั่งอยู่บนใบหู ดูเหมือนว่านางจะเขินอายเสียจนตกประหม่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะวางไม้วางมือไว้ตรงจุดไหน ด้วยเหตุนี้นางจึงทำได้เพียงจับชายผ้าของตนบิดไปบิดมาอยู่เช่นนั้น มองไปแล้วก็ชวนให้นึกเอ็นดูขึ้นมาไม่น้อย
รูปร่างของนางกะทัดรัดอย่างเม็ดทราย หากไม่จับสังเกตให้ดีแล้ว ก็คงไม่มีทางสังเกตเลยว่านางอาศัยอยู่ที่นั่น
“เอ่อคือ…” เฉินซีชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าอาเหลียงจะเลือก ‘ตรงนั้น’ จริง ๆ
“มีอะไรหรือคุณชาย?” อาเหลียงถามเสียงประหม่า
“ฮ่า ๆ ๆ! คุณชายอย่าได้แปลกใจไป ในเผ่าของข้า นี่เป็นวิธีที่เราจะแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจต่อสหาย” ใต้เท้าเหยียนรับรู้ถึงความสับสนของเฉินซี จึงเลือกอธิบายด้วยรอยยิ้ม
เฉินซีเข้าใจในทันที
ใบหน้าเล็ก ๆ ของหญิงสาวแดงระเรื่อ ดวงตาที่ทอประกายอย่างแสงดาวหยีลงด้วยความเขินอาย นางแลบลิ้นเล็ก ๆ ออกมาก่อนจะรู้สึกว่าการกระทำของตนชวนให้รู้สึกจั๊กจี้นัก
“ทุกท่าน ข้าขอตัวลา” เฉินซีประสานมือก่อนจะกล่าวอำลาใต้เท้าเหยียนและคนอื่น ๆ
“คุณชายโปรดรักษาตัวด้วย!”
“คุณชายโปรดช่วยดูแลองค์หญิงอาเหลียงด้วย หากเราได้พบกันอีกในภายหน้า พวกข้าไม่มีทางลืมความเมตตาของท่านในครานี้อย่างแน่นอน”
พวกเขาพูดขึ้นตามลำดับ
…
ที่ด้านนอกหนองน้ำ น้ำตกไหลซู่ราวมังกรขาว ทำให้ละอองน้ำกระเด็นไปรอบ ๆ
ร่างของเฉินซีกะพริบพร่างก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งบนหน้าผาเหนือน้ำตก สายตาทอดไกลเนิ่นนาน เมื่อไม่เห็นถึงภยันตรายใด เขาก็พูดขึ้น “อาเหลียง บอกตามตรงว่าข้ากำลังถูกตามล่าอยู่ การเดินทางต่อจากนี้คงไม่ราบรื่นนัก”
“หือ?” อาเหลียงเบิกตากว้างด้วยนึกกังวล
“ถึงอย่างนั้น เจ้าก็อย่าได้กังวลใจไป อยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจเถอะ” เฉินซียิ้มปลอบใจอาเหลียง
“อื้อ อาเหลียงเชื่อฟังคุณชายอยู่แล้ว” อาเหลียงพยักหน้าหงึกหงักทั้งสีหน้าจริงจัง
ไม่จำต้องกล่าวว่าอาเหลียงเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ชวนให้ผู้คนหลงรัก แม้แต่รูปลักษณ์ของนางก็งดงามละเอียดอ่อน น้ำเสียงบริสุทธิ์สดใสของนางทำให้ใครก็ไม่แม้จะกล้าพูดเสียงดังกับนาง
เฉินซียิ้มและไม่พูดสิ่งใดต่อ
ชายหนุ่มจ้องมองไปยังระยะไกล ในขณะที่เขาทอดสายตาไปยังท้องฟ้าสีแดงเลือด ดวงตาก็ค่อย ๆ สงบลง ไร้ซึ่งอารมณ์แปรปรวนอีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ หญิงชราผมขาวเคยกล่าวไว้ว่าหากอาศัยพลังที่ได้รับจากผนึกคุนเผิง เขาก็จะสามารถต้านทานพลังต้องห้ามบนเส้นทางที่นำไปสู่แดนเทพโบราณได้
นี่คือเหตุผลที่สมาชิกของเผ่าจุลบรรพกาลกล่าวไว้ว่าด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา เฉินซีจะมีโอกาสเพิ่มมากถึงแปดในสิบส่วนที่จะได้เข้าสู่แดนเทพโบราณได้สำเร็จ
น่าเสียดายที่คนของเผ่าจุลบรรพกาลเหล่านี้ถูกแยกจากโลกภายนอกมานาน จึงไม่รู้เลยว่านิกายอำนาจเทวะได้เข้าควบคุมเส้นทางไปสู่แดนเทพโบราณมานานแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น พลังต้องห้ามที่อยู่ในทางเดินพวกนั้นก็ถูกกำจัดไปแล้วเช่นกัน
นั่นหมายความว่าพลังที่เฉินซีได้รับจากผนึกคุนเผิงนั้นไม่สามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าสู่แดนเทพโบราณได้มากนัก
อย่างไรก็ตาม เฉินซีไม่ได้บอกหญิงชราผมขาวและคนอื่น ๆ ถึงเรื่องทั้งหมดนี้ ประการแรก เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นคนเหล่านี้รู้สึกหดหู่ และประการที่สอง เขายังมุ่งมั่นที่จะเข้าสู่แดนเทพโบราณ ซึ่งเขาได้เตรียมการไว้ค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับผลกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นเหล่านี้มากนัก
การบ่มเพาะของข้าพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าข้าจะไม่สามารถขัดเกลากฎแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ให้อยู่ในขั้นต้นได้ในตอนนี้ แต่ลุงเก้านั่นก็คงจะไม่สามารถทำอะไรข้าได้อีกแม้ว่าเขาจะใช้แท่นบูชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เพื่อต่อสู้กับข้าด้วยชีวิต… เฉินซีครุ่นคิดในใจ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงต้องหาทางออกจากพื้นที่ล่า และพยายามในการผ่านทางที่ถูกควบคุมโดยนิกายอำนาจเทวะไปให้ได้!
ฟิ่ว!
ทันทีที่เฉินซีตัดสินใจ เขาก็ไม่ลังเลที่จะเคลื่อนย้ายผ่านมิติในทันที
…
ณ พื้นที่ล่า ภายในหุบเขาที่เต็มไปด้วยหินสีแดงเข้มรูปร่างประหลาด
อี้เทียน นายน้อยสามแห่งตระกูลอี้ผู้สวมอาภรณ์สีขาวและมีใบหน้าเลิศโฉม กำลังอ่านแผนที่ในมือของตนก่อนจะถามขึ้น “กองกำลังของเรามาถึงหรือยัง?”
“ยอดฝีมือทั้งสามสิบห้าคนของตระกูลอี้มาถึงแล้วขอรับ พวกเขาได้เข้าควบคุมสถานที่ต่าง ๆ ในพื้นที่ล่าตามที่คุณชายสั่งเป็นที่เรียบร้อย” ลุงเก้ารีบรายงาน “ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ร่วมมือกับตระกูลอี้ของพวกเราในครั้งนี้ นอกจากเพียงไม่มีคนที่ไม่ยินดีจะร่วมต่อสู้แล้ว ก็มีอีกราวห้าสิบสามคนที่เหลือที่มาถึงยังพื้นที่ล่าแล้วขอรับ”
“ไม่เลว เราได้ระดมกำลังมากมายและสร้างตาข่ายที่แทบจะครอบคลุมไปทั้งสวรรค์แล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเด็กคนนั้นจะยังสามารถหลบหนีไปได้” อี้เทียนถอนสายตาจากแผนที่ ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “จนถึงตอนนี้เรายังไม่พบร่องรอยของเด็กนั่นเลยหรือ?”
“ตามข้อมูลที่ฉินถงและลู่ถิงให้มา เด็กคนนั้นได้ปรากฏตัวที่เทือกเขาเขี้ยวเวหา เจ้านั่นเปิดการโจมตีที่น่าประหลาดใจและสังหารสมาชิกสองคนของพวกเรา ตอนนี้ฉินถงและคนอื่น ๆ กำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาทุกซอกทุกมุมในเทือกเขาเขี้ยวเวหา ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานพวกเราคงได้รับข่าวดี” ลุงเก้าพูดช้า ๆ
“เทือกเขาเขี้ยวเวหา?” อี้เทียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโบกมือ “จะรอแบบนี้ต่อไปไม่ได้ บอกคนที่เหลือให้ล้อมรอมเทือกเขาเขี้ยวเวหาเอาไว้ กำชับว่าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ปิดกั้นเส้นทางหลบหนีของเจ้าเด็กนั่นด้วยความระมัดระวัง!”
“นายน้อยกล่าวได้ถูกต้อง” ลุงเก้าประสานมือก่อนจะจากไปเมื่อได้รับคำสั่ง
“ส่วนพวกเรานั้น…” อี้เทียนวางมือไพล่หลัง เขาไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งก่อนจะพูดขึ้น “เราจะเฝ้าระวังที่นี่ต่อไป หากเด็กคนนั้นสามารถฝ่าวงล้อมออกมาได้ เขาจะต้องเลือกมาที่นี่อย่างแน่นอน เพราะมีเพียงที่นี่เท่านั้นที่จะสามารถไปสู่เส้นทางของเอกภพมสิหิมได้ หากไม่โง่เกินเยียวยา เขาก็คงไม่ฝืนทนอยู่ในแดนโลกาวินาศและถูกพวกเราตามล่าเช่นนี้แน่นอน”
“นายน้อยหลักแหลมยิ่งนัก!” ผู้คุ้มกันทุกคนต่างชื่นชมอี้เทียน
อี้เทียนยิ้ม ดวงตาเผยประกายเด็ดเดี่ยวและชั่วร้าย เพื่อการนี้ เขาได้ใช้ทรัพยากรรวมไปถึงพันธมิตรทั้งหลายที่มี เป้าหมายเดียวก็คือการสังหารเฉินซีและครอบครองสมบัติวิญญาณธรรมชาติทั้งสองที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย!
…
หลังจากผ่านไปสี่ชั่วยาม ร่างของเฉินซีก็ปรากฏขึ้นเหนือภูเขาสูงตระหง่านซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย สีหน้าพลันมืดมนลงเล็กน้อย
ตลอดเส้นทางเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายจากศัตรูถึงสองกลุ่ม กลุ่มเล็กมีสมาชิกราวห้าคน ในขณะที่กลุ่มใหญ่นั้นมีสมาชิกทั้งหมดมากกว่าสิบคน พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จากแดนเทพโบราณ และไม่ใช่บรรดาเทพทั้งหลายที่มาจากมิติที่ต่ำกว่าและถูกนำไปยังพื้นที่ล่า
เพื่อไม่ให้เส้นทางของตนถูกเปิดเผย เฉินซีเปลี่ยนเส้นทางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าในท้ายที่สุด เขาก็ได้พบกับความจริงอันโหดร้าย ไม่ว่าจะเส้นทางไหน ก็ล้วนแต่ถูกกองกำลังของนายน้อยสามปิดกั้นไว้หมดแล้ว
นายน้อยสามของตระกูลอี้ไม่คิดจะละเว้นข้าจริง ๆ! จิตสังหารปะทุพล่านในใจของเฉินซี มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคนที่เก็บงำความขุ่นเคืองได้มหาศาลเช่นนี้ เพียงเพื่อไล่ล่าล้างแค้นใครบางคนที่อยู่ในภพเบื้องล่าง เขาไม่ลังเลที่จะระดมสรรพกำลังจำนวนมาก สิ่งนี้ทำให้เฉินซีอดมีโทสะขึ้นมาไม่ได้
น่าเสียดายที่เฉินซีเหมือนจะเข้าใจบางอย่างผิดไป อี้เทียนไม่ได้ไล่ล่าเขาเอาเป็นเอาตายเช่นนี้เพื่อการแก้แค้น หากแต่เป็นเพราะเหรียญทองแดงโปรยสมบัติและตาข่ายครอบคลุมสวรรค์ในความครอบครองต่างหาก!
“คุณชาย กำลังเจอปัญหาอยู่หรือเจ้าคะ? อาเหลียงช่วยท่านได้นะ” ทันใดนั้น เสียงอ่อนหวานของอาเหลียงก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“ไม่มีอะไรหรอก” เฉินซีส่ายหน้า
“คุณชาย ถึงข้าจะอยู่ในขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาเท่านั้น แต่ท่านยายเคยกล่าวไว้ว่าข้ามีร่างกายและพรสวรรค์ที่เยี่ยมยอดที่สุดในเผ่าของเรา และเมื่อข้าเติบโต ข้าจะกลายเป็นคนที่สามารถเทียบเทียมกับบรรพชนของเราได้อย่างแน่นอน” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
“ข้ารู้ แต่ข้ายังไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าในตอนนี้ หากข้าเผชิญกับอันตรายจริง ๆ ไว้ข้าจะนึกถึงเจ้าเป็นคนแรกนะ” เฉินซีพูดทั้งรอยยิ้ม
“อื้อ!” อาเหลียงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
“มาเถอะ คนพวกนั้นชักจะทำเกินไปแล้ว หากข้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็รังแต่จะถูกข่มเหงอยู่เช่นนี้…” เฉินซีสูดลมหายใจลึก สีหน้าเผยรอยเยือกเย็น ประกายในดวงตาเอ่อล้นซึ่งจิตสังหาร
ฟิ่ว!
ร่างสูงมใหญ่พุ่งไปยังทิศเหนือ
จากสัมผัสของเขา ที่ริมแม่น้ำสายใหญ่มีกลุ่มของผู้เยี่ยมยุทธ์ขนาดใหญ่อยู่ห่างออกไปราวสองหมื่นลี้
แน่นอน คราวนี้พวกเขาคือเป้าหมายของเฉินซี!
……….