บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] - บทที่ 1564 พลังที่เพิ่มขึ้น
บทที่ 1564 พลังที่เพิ่มขึ้น
……….
บทที่ 1564 พลังที่เพิ่มขึ้น
รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์คุนเผิงปรากฏขึ้นบนกำแพงหิน
กำแพงหินสูงมาก อย่างน้อยก็สูงราวหกจั้ง แต่ก็ยังมีขีดจำกัด ในขณะที่รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์คุณเผิงกลับปลดปล่อยกลิ่นอายสูงส่งออกมา
เหมือนว่ากำแพงหินได้กลายเป็นโลกใบหนึ่ง มีเพียงวิธีนี้ถึงจะสามารถรับรูปปั้นศักดิ์สิทธิ์คุนเผิงได้ไหว
“นี่คือ…” เฉินซีรีบเก็บสายตากลับ ไม่กล้ามองกำแพงหินอีก เพราะแค่มองแวบเดียวก็ทำให้วิญญาณสั่นสะท้านจนแทบหลุดออกจากร่าง คล้ายจะถูกกำแพงหินนั่นกลืนกินเข้าไปได้แล้ว!
มันเป็นความรู้สึกที่น่ากลัว ทำให้เฉินซีรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง
“ผนึกคุนเผิงที่สร้างขึ้นจากแก่นแท้โลหิตของจ้าวเต๋าคุนเผิง ที่เผ่าพันธุ์ของข้าสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้โดยปราศจากอันตรายจากกฎแห่งเต๋าสวรรค์ก็เพราะได้ผนึกคุนเผิงนี้คุ้มครองไว้” หญิงชราผมขาวเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ก็เป็นเพราะเช่นนี้ลูกหลานเผ่าจุลบรรพกาลถึงได้ถูกกักขังอยู่ที่นี่ หากอยากออกไปก็ต้องทำลายผนึกคุนเผิงเสีย”
“ทำไมเล่า?” เฉินซีถามเสียงประหลาดใจ
“เพราะกระแสจิตวิญญาณของลูกหลานทุกคนจะถูกผนึกไว้ในผนึกคุนเผิงนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะมีใครหนีไปได้บ้าง?” หญิงชราผมขาวถอนหายใจเสียงเบา ตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” เฉินซีดูตกอยู่ในห้วงความคิด
“พ่อหนุ่ม ข้าจะใช้ความสามารถของข้าดึงเอากระแสวิญญาณของอาเหลียงออกมาจากผนึกคุนเผิงให้ ถึงตอนนั้นบนผนึกคุนเผิงจะเกิดรอยแตก พลังแก่นแท้สสารภายในจะไหลออกมา เจ้าต้องฉวยโอกาสนี้ไว้ แต่จะได้มากน้อยเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า” หญิงชราผมขาวพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พลังแก่นแท้สสารของผนึกคุนเผิงหรือ?” เฉินซีเลิกคิ้ว
“ไม่หรอก พูดให้ตรงคือมันเป็นกระแสพลังแก่นแท้สสารภายในแก่นโลหิตของจ้าวเต๋าคุนเผิง หากเจ้าฉวยจังหวะนี้ไว้ได้ เช่นนั้นต่อไปจะขึ้นสู่ขอบเขตเทวารู้แจ้งวิญญาณก็คงเป็นไปได้ไม่ยาก” หญิงชราผมขาวอธิบายเสียงเรียบเรื่อย ก่อนร่างนางจะหายไป แล้วปรากฏอยู่อีกทีหน้ากำแพงหิน
ชิ้ง!
กระแสความศักดิ์สิทธิ์สีเทาอ่อนอันน่าเกรงขามพุ่งออกมาจากร่างนาง มันส่องสว่างเจิดจ้าไปรอบกาย ทำให้กลิ่นอายรอบตัวแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คล้ายว่านางมีอำนาจควบคุมโลก เคลื่อนตะวันและจันทราได้
ส่วนตัวเขาเป็นเหมือนเม็ดฝุ่นเล็ก ๆ เพียงเม็ดหนึ่ง กลิ่นอายดุดันของนางทำให้เฉินซีรู้สึกว่าหญิงชราตรงหน้าสูงส่งเหนือใครยิ่งนัก
เทวารู้แจ้งวิญญาณหรือ?
ไม่ใช่!
นางดูเหนือกว่าเทวารู้แจ้งวิญญาณ อย่างน้อยลุงเก้าผู้นั้นก็เทียบนางไม่ติดเลย!
หรือนางจะเป็นบรรพเทวารู้แจ้งจักรวาล?
เฉินซีใจสั่นสะท้าน
“พ่อหนุ่มเอ๋ย ตั้งสมาธิเตรียมตัวเสีย!” สิ้นน้ำเสียงเรียบเรื่อยเอ่ยมา หญิงชราผมขาวก็สร้างกระแสแสงสีขาวพุ่งซัดเข้าใส่กำแพงหิน
ครืน!
อึดใจต่อมา พลังผันผวนระลอกหนึ่งก็ปะทุออกมาจากกำแพงหิน มันรุนแรงมากจนเหมือนภายในเกิดศึกสะท้านใต้หล้าอยู่
คลื่นพลังนี้ลึกล้ำนัก คล้ายว่ามีเสียงอสูรคำรามอยู่ภายใน มันเป็นเสียงที่พิเศษไม่เหมือนใคร คล้ายคุนเผิงกำลังส่งเสียงออกมาจนสะท้านโลกา
เฉินซีมีสัมผัสเหนือกว่ายอดฝีมือคนอื่น แต่ก็ยังไม่อาจรู้ได้แน่ชัดว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นภายในกำแพงหินกันแน่
ไม่ธรรมดาเลย ไม่รู้ว่าจ้าวเต๋าคุนเผิงเมื่อก่อนเก่งกาจขนาดไหนกันแน่ กระทั่งกระแสแก่นโลหิตที่เขาทิ้งไว้ยังมีอำนาจสูงขนาดนี้ แทบไม่อยากเชื่อเลย…. เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วทำสมาธิ หยุดคิดเรื่องอื่นและเริ่มโคจรพลัง สองตาก็มองกำแพงหินไปด้วย ตอนนี้เขาเป็นเหมือนคันธนูที่โก่งจนสุด กำลังสั่งสมพลังรอยิงศรออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงลั่นครืนก็ดังก้องขึ้น ก่อนจะกระจายตัวออกมารอบทิศ จากนั้นบนกำแพงหินก็เกิดรอยแตกเหมือนใยแมงมุมขึ้น
ทันทีที่ปรากฏรอยแตกขึ้น กระแสพลังอันน่าเกรงขามก็แผ่ออกมาจากรอยแตกเหล่านั้น มันเป็นพลังที่ลึกลับมืดมน เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ที่พลุ่งพล่าน ส่องสว่างเหมือนตะวันเดือด เป็นพลังที่กว้างใหญ่ไพศาลเหนือกว่าสิ่งใด! เห็นได้ชัดว่านี่คือโอกาสที่หญิงชราผมขาวกล่าวไว้!
ครืน!
ตอนนี้เฉินซีเต็มไปด้วยความตื่นรู้ ชายหนุ่มโคจรวิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิง ทำให้เกิดอักขระยันต์จำนวนมากพุ่งออกจากร่าง แต่ละอักขระแปรเปลี่ยนเป็นอักขระแห่งการกลืนกิน ก่อนมันจะกลั่นแน่นเข้าด้วยกันแล้วกลายเป็นหลุมพลังดูดกลืนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยันต์อักขระ จากนั้นมันก็เริ่มหมุนเวียนบนส่งเสียงร้องครืน
ฟ่าว! ฟ่าว! ฟ่าว!
เกิดเหตุการณ์น่าตกใจขึ้น กระแสพลังลึกลับที่ไหลออกมาจากกำแพงหินนั้นราวกับม้าป่าหลุดจากเชือก มันพุ่งเข้าใส่เฉินซีโดยพร้อมกัน เข้าไปสู่แขนขา กระดูก และจักรวาลภายในร่าง ก่อนจะโคจรไปไม่หยุดหย่อน
พริบตาเดียว ทั่วร่างเฉินซีก็รู้สึกเหมือนอยู่ในเตาเผา ทั้งแก่นพลัง จิตวิญญาณ พลังทั้งหลาย ทุกส่วนในร่างกายรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด พลังลึกลับที่เขา ‘กลืนกิน’ เข้ามาไม่ต่างจากเปลวเพลิงในเตาเผา มันวิ่งพล่านอยู่ในกายเขา โคจรไปไม่รู้จบ
ทั่วร่างเขายังรู้สึกคล้ายกับว่าจะระเบิดอีกด้วย!
เป็นพลังงานที่น่ากลัวนัก! เฉินซีตกใจ รีบนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วรวบรวมจิตเพื่อนำพลังอันแข็งกล้านี้ไปขัดเกลาพื้นฐานเต๋าศักดิ์สิทธิ์และพลังบ่มเพาะในกาย
ไม่นานรอยแตกบนกำแพงหินก็หายไปอีกครั้ง แต่พลังที่พุ่งเข้าร่างเฉินซีไปก็แกร่งนัก ทำให้เขาไม่ทันเห็นเหตุการณ์นี้ เพราะจิตใจและความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายมุ่งอยู่แต่กับการบ่มเพาะพลัง…
หลังเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ความรู้สึกขยับขยายใกล้จะระเบิดก็หายไปในที่สุด ความศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่านหวีดหวิวอยู่ภายในจักรวาลภายในร่างของเฉินซีแทน มันโคจรไปมาไม่หยุด เพิ่มขึ้นเกือบเป็นสองเท่าหากเทียบกับในอดีต! ใช้เวลาเท่านี้พลังกลับสามารถเพิ่มขึ้นมาได้ระดับนี้นับว่าน่าตกตะลึงยิ่ง
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นผลมาจากกระแสพลังลึกลับกว้างใหญ่นั่นเอง!
แน่นอนว่าหากเป็นทวยเทพคนอื่นก็คงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ แต่ที่เฉินซีทำได้เป็นเพราะรากฐานเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเขามีความลึกซึ้งและมั่นคงมาก แต่ที่สำคัญที่สุดคือวิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิง
วิชานี้เป็นวิชาที่สืบทอดมาจากคุนเผิง มีความลึกล้ำแห่งการกลืนกินอยู่ และกลายเป็นว่ามันเข้ากันได้กับพลังของจ้าวเต๋าคุนเผิง คล้ายว่ามาจากแหล่งเดียวกัน ดังนั้นเฉินซีจึงสามารถดูดซับพลังได้มากกว่าใครในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนี้!
เพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่ความแข็งแกร่งของข้าไม่เพียงขึ้นสู่จุดสูงสุด กระทั่งพลังบ่มเพาะยังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกไม่นานคงได้บรรลุขอบเขตเทวารู้แจ้งโลกาขั้นสมบูรณ์… เฉินซีลืมตาขึ้น สัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังที่เติมเต็มร่าง ในใจได้แต่ร้องตกตะลึง อีกทั้งตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าผนึกคุนเผิงนั้นลึกล้ำเพียงใด
เพียงพลังแก่นแท้สสารภายในกระแสแก่นโลหิตจ้าวเต๋าคุนเผิง ก็ทำให้พลังบ่มเพาะของเขาสูงขึ้นในระดับนี้ทั้งที่ใช้เวลาเพียงเล็กน้อยได้แล้ว ไปบอกใครก็คงไม่มีใครเชื่อ
“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีวิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิง… ฮะ ๆ หรือว่ามันจะเป็นกรรมกันนะ?” ทันใดนั้น เสียงของหญิงชราผมขาวก็ดังขึ้น
แต่ในตอนนี้น้ำเสียงของนางแหบแห้งดูอ่อนแรงยิ่ง ทั้งยังแฝงความประหลาดใจที่ไม่อาจอธิบายได้อยู่
หลายล้านปีก่อน บรรพบุรุษของเผ่าจุลบรรพกาลนำพาเผ่าติดตามจ้าวเต๋าคุนเผิงมายังแดนเต๋าโลกาวินาศ ผลสุดท้ายคือตายกันหมด
ก่อนจะสิ้นใจ จ้าวเต๋าคุนเผิงใช้กระแสแก่นโลหิตสร้างผนึกคุนเผิงที่จะปกปักรักษาทายาทเผ่าจุลบรรพกาลขึ้นมา ให้พวกเขาได้พ้นภัย แต่ก็เป็นเพราะผนึกคุนเผิงที่ทำให้ลูกหลานสืบต่อมาไม่อาจออกไปจากสถานที่นี้ และไม่อาจกลับไปยังสุสานบรรพบุรุษแดนเทพโบราณได้
ทว่าตอนนี้หญิงชราผมขาวเริ่มมองเห็นแสงแห่งความหวัง นางได้เฉินซีมาช่วย หมายจะส่งองค์หญิงอาเหลียงออกไปจากที่นี่ เพื่อหนีชะตาที่กักขังพวกเขาทุกคนไว้ แต่ใครจะคิดว่าชายหนุ่มที่นางมองว่าเป็นพระผู้มาโปรดกลับมีวิชาศักดิ์สิทธิ์คุนเผิงอยู่ในครอบครอง นับว่ามีความเกี่ยวข้องกับจ้าวเต๋าคุนเผิงอยู่บ้าง?
หรือนี่ก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง?
หญิงชราผมขาวเห็นดังนั้นแล้วก็รู้สึกวางใจ เหมือนปลดห่วงที่อยู่ลึกลงภายในใจออกได้จนไม่ต้องกลับไปคิดเรื่องนั้นอีก
เพราะนางเห็นหมดแล้ว นี่คือโชคชะตา!
เฉินซีลุกขึ้นยืนแล้วมองหญิงชราผมขาวที่อยู่ไกลออกไป เมื่อเห็นใบหน้าของนางดูสงบสุขนัก ในใจเขากลับรู้สึกอยู่ไม่สุขขึ้นมา
เป็นโชคชะตางั้นหรือ?
ตั้งแต่บ่มเพาะพลังมา เฉินซีก็ไม่เคยเชื่อในโชคชะตามาก่อน!
“พ่อหนุ่ม นี่คือกระแสวิญญาณของอาเหลียง รับอาเหลียงออกไปกับเจ้าด้วยเถอะ” หญิงชราผมขาวหยิบขวดหยกออกมาส่งให้เฉินซี
เสร็จแล้วนางก็นั่งขัดสมาธิลงด้วยใบหน้าสงบนิ่ง จากนั้นก็สวดมนต์ลึกลับบางอย่าง ไม่สนสิ่งใดแล้วเข้าสู่ห้วงสมาธิ
“โชคชะตาดั่งมหาสมุทร เรือจำนวนมากหลั่งไหลไปตามนที ทว่าหากยังไม่ถึงอีกฟากฝั่ง กรรมย่อมตามทันเสมอ….”
ด้วยความรู้ของเฉินซีในตอนนี้ เขาพอจับใจความคำที่นางเอ่ยออกมาได้บ้าง ชายหนุ่มถือขวดหยกไว้ในมือด้วยความระมัดระวัง ในใจรู้สึกพิศวงยิ่ง
โชคชะตาดั่งมหาสมุทร ทุกชีวิตต่างต้องข้ามพ้นมันไป… หรือจะหมายความว่าเราต้องข้ามมหาสมุทรแห่งนี้ไป เพื่อไปถึง ‘อีกฟากฝั่ง’ เพื่อหนีกงล้อแห่งโชคชะตากัน? แต่ที่นั่นมันที่ไหนกันแน่ล่ะ?
……
ฟ่าว!
ที่ใต้บ่อน้ำพลันเกิดกระแสพลังผันผวนพุ่งออกมาจากหญ้าน้ำสีฟ้าต้นหนึ่ง
จากนั้นก็ปรากฏร่างสูงของเฉินซีขึ้นมา
“เขาออกมาแล้ว!” องครักษ์ทั้งหลายที่มีหัวเป็นรูปเห็ดซึ่งยืนอยู่บนใบหญ้าน้ำร้องขึ้นพร้อมกัน
“คุณชาย แล้ว… แล้วท่านยายของข้าเล่า?” อาเหลียงยืนขึ้นเช่นกัน เอ่ยถามด้วยใบหน้าเป็นกังวล “เหตุใดนางจึงไม่ออกมากับเจ้าด้วย?”
“ผู้อาวุโสปิดด่านบ่มเพาะไปแล้ว” เฉินซีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ พูดจบก็ส่งขวดหยกไปให้อาเหลียง “ผู้อาวุโสขอให้ข้านำสิ่งนี้มาให้เจ้า”
ขวดหยกมีขนาดเล็กมาก เล็กเหมือนเส้นผมเท่านั้น อาเหลียงรับมาวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกอดมันไว้แล้วสะอื้นไห้ หยาดน้ำใสไหลรินลงจากใบหน้า ดูเป็นภาพที่เศร้าโศกยิ่ง
“องค์หญิงอาเหลียง ราชินียึดวิญญาณท่านคืนจากผนึกคุนเผิงได้แล้ว รีบออกไปเถอะ อย่าให้ความพยายามของนางต้องเสียเปล่าเลย” ใต้เท้าเหยียนเอ่ยขึ้นเสียงเบาด้วยสีหน้าหมองหม่นอยู่บ้าง
“เจ้าค่ะ” อาเหลียงสะอื้นอยู่อีกเล็กน้อย ก่อนจะปาดน้ำตาแล้วคำนับอีกฝ่าย “อาเหลียงไปแล้ว ใต้เท้าเหยียนโปรดดูแลท่านยายให้ดีด้วย สักวันอาเหลียงจะกลับมาพาทุกคนไปสุสานบรรพบุรุษ”
“ฮ่า ๆ ! พูดได้ดี! อาเหลียง เจ้าก็ดูแลตัวเองด้วย ต้องเติบโตมาที่นี่ตั้งแต่ยังเด็ก ไม่รู้เรื่องราวของโลกภายนอก เมื่อออกไปแล้วก็จงเชื่อฟังคุณชายให้ดีล่ะ” ใต้เท้าเหยียนแผดเสียงหัวเราะแล้วสั่งสอนอาเหลียง
“เจ้าค่ะ อาเหลียงจะทำตามนั้น” อาเหลียงพยักหน้า
เฉินซีเห็นเหตุการณ์นั้นแล้วก็ยิ้ม กำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่างก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงเสียก่อน “ทุกคนระวังด้วย มีคนกำลังเข้ามาที่นี่!”
……….